ศาล รธน.มีมติเอกฉันท์ตีตกคำร้อง "ธาริต-เมีย" ชี้คำสั่งยึดทรัพย์ไม่ขัด รธน. รับวินิจฉัยคดียุบพรรคไทรักธรรม ให้แก้ข้อกล่าวหาใน 15 วัน ไม่รับคำร้อง "เรืองไกร" กล่าวหา "สมชาย-ศรีสุวรรณ" ใช้สิทธิล้มล้างการปกครอง ปมค้านอภัยโทษนักการเมืองโกง
เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ศาลรัฐธรรมนูญประชุมปรึกษาหารือในคดีที่ศาลอุทธรณ์ส่งคำโต้แย้งของนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และนางวรรษมล เพ็งดิษฐ์ คู่สมรส 2 ผู้คัดค้านในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ปช. 1/2559 และคดีหมายเลขแดงที่ ปช. 1/2561 ร่ำรวยผิดปกติ เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 212 ว่า พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 81 วรรคสอง ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 25 มาตรา 26 และมาตรา 27 หรือไม่
โดยศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 81 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า ในคดีที่ร้องขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน ให้ผู้ถูกกล่าวหามีภาระการพิสูจน์ที่ต้องแสดงให้ศาลเห็นว่า ทรัพย์สินดังกล่าวมิได้เกิดจากการร่ำรวยผิดปกติ ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 25, 26, 27 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีดังกล่าว นายธาริต ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดฐานร่ำรวยผิดปกติ โดยพบว่ามีพฤติการณ์ให้ผู้อื่นถือทรัพย์สินแทนกว่า 346 ล้านบาท และถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดฐานจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงอันควรแจ้งให้ทราบ กรณีดำรงตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอด้วย ต่อมาในปี 2564 เจ้าตัวถูก ป.ป.ช.ชี้มูลอีกครั้ง ในคดีร่ำรวยผิดปกติ และส่งศาลแพ่งยึดทรัพย์รอบใหม่ วงเงินกว่า 53 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม มาตรา 81 ใน พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 ระบุว่า ให้อัยการสูงสุด หรือประธานกรรมการ แล้วแต่กรณี ดำเนินการยื่นคำร้องเพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน ตามมาตรา 80 ภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ได้รับเรื่องจากคณะกรรมการ ป.ป.ช.ในคดีที่ร้องขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน ให้ผู้ถูกกล่าวหามีภาระการพิสูจน์ที่ต้องแสดงให้ศาลเห็นว่าทรัพย์สินดังกล่าวมิได้เกิดจากการร่ำรวยผิดปกติ
วันเดียวกัน ศาลรัฐธรรมนูญประชุมปรึกษาหารือในคดีสำคัญ กรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (ผู้ร้อง) โดยนายทะเบียนพรรคการเมือง ยื่นคำร้องว่ากรณีมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าพรรคไทรักธรรม ชื่อเดิม พรรคไทยรักธรรม (ผู้ถูกร้อง) กระทำการฝ่าฝืน พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 30 โดยให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงินหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยทางอ้อม เพื่อจูงใจให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคอันเป็นเหตุให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อสั่งยุบพรรคผู้ถูกร้องตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 92 วรรคหนึ่ง (3) และขอให้ศาลรัฐธรรมนูญเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ของบุคคลผู้เป็นคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองผู้ถูกร้องและห้ามมิให้ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งคณะกรรมการบริหาร พรรคการเมืองของผู้ถูกร้องและถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งไปจดทะเบียนพรรคการเมืองขึ้นใหม่หรือเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองหรือมีส่วนร่วมในการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่ ภายในกำหนดสิบปีนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ยุบพรรคการเมืองของผู้ถูกร้องตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 92 วรรคสอง และมาตรา 94 วรรคสอง
ศาลพิจารณาข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องแล้ว เห็นว่า เป็นกรณีที่ผู้ร้องกล่าวอ้างว่าผู้ถูกร้องกระทำการฝ่าฝืน พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 30 เป็นเหตุให้ต้องดำเนินการยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อสั่งยุบพรรคผู้ถูกร้องตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 92 วรรคหนึ่ง (3) ประกอบมาตรา 30 จึงมีคำสั่งรับคำร้องนี้ไว้พิจารณาวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 7 (13) ประกอบ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 92 วรรคหนึ่ง แจ้งให้ผู้ร้องทราบ และส่งสำเนาคำร้องให้ผู้ถูกร้องยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้อง
นอกจากนี้ ศาลรัฐธรรมนูญประชุมปรึกษาหารือในคดีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ว่า การกระทำของนายสมชาย แสวงการ (ผู้ถูกร้องที่ 1) และนายศรีสุวรรณ จรรยา (ผู้ถูกร้องที่ 2) เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรคหนึ่งหรือไม่
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องเป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ ขั้นตอน และการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเสนอขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่ผู้ต้องราชทัณฑ์ที่ผู้ถูกร้องเห็นว่าไม่เหมาะสม อีกทั้งไม่ปรากฏข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานอื่นใด ที่แสดงให้เห็นได้ว่าผู้ถูกร้องทั้งสองมีพฤติการณ์หรือกระทำการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง โดยศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์มีคำสั่งไม่รับคำร้อง.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
กกต.หายห่วง! ชูเลือกตั้งอบจ. รู้สึก ‘ปลอดภัย’
"แสวง" ปลุกเจ้าหน้าที่ กกต.! ยันไม่ได้รู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยหลังจากที่ได้ลงตรวจเยี่ยมการสมัครรับเลือกตั้งที่ปราจีนบุรี ไม่คิดว่าผู้สมัครนายก อบจ.คนไหนจะสร้างความรุนแรง
ประเดิม 10 วันอตร. ตาย 52
ประเดิม 10 วันอันตราย เกิดอุบัติเหตุ 322 ครั้ง ผู้บาดเจ็บ 318 คน ผู้เสียชีวิตแล้ว 52 ราย สาเหตุส่วนใหญ่ขับรถเร็ว
เปิดของขวัญปีใหม่ แพทองโพยแจกยับ
รัฐบาลคืนความสุขให้ประชาชน หลังเครียดกับเศรษฐกิจและการเมือง ขุดของเก่ารวมของใหม่ เหมารวมเป็นของขวัญปีใหม่แต่ละกระทรวง ลดแลกแจกแถมไม่อั้น
ไม่กลัวรัฐประหาร ‘ภูมิธรรม’ ลั่น! จัดการได้รัฐบาลอยู่ครบเทอมแน่
“ภูมิธรรม” โวยเอ็มโอยู 44 ถูกปลุกปั่นไปไกล แทบจะออกนอกอวกาศอยู่แล้ว ไม่กังวลใจกับคำถามที่ว่าในปี 2568 สถานการณ์การเมืองจะวุ่นวายและโดนรัฐประหาร
บิ๊กต่อแจงบ้านลอนดอน รมว.ดีอีดีดรับพ่อนายกฯ
ป.ป.ช.เปิดขุมทรัพย์ “บิ๊กต่อ” หลังพ้นเก้าอี้ ผบ.ตร. ทรัพย์สิน 209 ล้าน
ภท.เฮรอดคดียุบพรรค! อิ๊งค์ขอเริ่มทำงาน2ม.ค.
“ภท.” เฮ รอดยุบพรรค กกต.ยุติสอบ “วันนอร์” ไม่หวั่นถูกเลื่อยขาเก้าอี้