ไชน่าฯอ้างรัฐบาลจีน ส่งมาลงทุนจ่าย120ล.เยียวยา ศาลให้ประกัน‘ชวนหลิง จาง’

“ดีเอสไอ” คุมตัว “ชวนหลิง จาง” ฝากขังผัดแรก ไม่คัดค้านประกันเหตุจำคุกแค่ 3 ปี ทนายเตรียมยื่นหลักทรัพย์ 1 ล้านสู้ ปัดทุกข้อกล่าวหา แต่ยอมรับรู้จัก 3 หุ้นส่วนคนไทย สะพัด! รัฐวิสาหกิจจีนไฟเขียว 120 ล้านบาทเยียวยา ส่วน “3 นอมินี” คนไทยมอบตัวปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา “ซิน เคอ หยวน” ส่งทนายแจงแล้ว ลั่นบริษัทไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกชี้นำเหล็กเส้นบริษัทต้นตอทำตึกถล่ม โวทำธุรกิจจ่ายภาษีกว่า 800 ล้านบาท อึ้ง! คนร้องเรียกค่าเสียหายบ้าน-คอนโดฯ เสียหายกว่า 3.2 หมื่นราย กทม.ตรวจได้แค่กว่า 800 ราย

เมื่อวันจันทร์ที่ 21 เมษายน 2568 ยังคงมีความต่อเนื่องในกรณีการจับนายชวนหลิง จาง สัญชาติจีน  กรรมการบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด ในข้อหาเป็นคนต่างด้าวที่ประกอบธุรกิจซึ่งต้องห้ามมิให้คนต่างด้าวประกอบกิจการ หรือต้องได้รับอนุญาตก่อน และเป็นนิติบุคคลซึ่งรู้เห็นเป็นใจกับการกระทำความผิดนั้น ตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542

โดยในเวลา 09.45 น. ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ นำทีมเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการพิเศษ (ปพ.) และพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ร่วมกันควบคุมตัวนายจางไปขอศาลอาญาฝากขังผัดแรก ซึ่งระหว่างเจ้าหน้าที่ดีเอสไอควบคุมตัวนายจางออกจากห้องสำนักงานรองอธิบดีฯ เพื่อไปศาลอาญา ผู้สื่อข่าวต่างพยายามสอบถามนายจาง ซึ่งนายจางไม่ตอบคำถามใดๆ

ในเวลา 10.00 น. ร.ต.อ.สุรวุฒิได้ควบคุมนายจางไปขอศาลฝากขัง 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 21 เม.ย.-2 พ.ค. 2568 โดยคดีมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ประกอบกับมีหนังสือจากสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนในราชอาณาจักรไทย ยืนยันนายจางเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจของจีน ดีเอสไอจึงไม่คัดค้านการปล่อยชั่วคราว

ทั้งนี้ ทนายความของนายจาง และตัวแทนบริษัทบริษัท ไชน่า เรลเวย์ฯ ได้เตรียมหลักทรัพย์เป็นเงินสดประมาณ 1 ล้านบาทยื่นขอปล่อยตัวชั่วคราว

มีรายงานข่าวแจ้งว่า จากการสอบปากคำเบื้องต้นนายจางยืนยันว่า รัฐวิสาหกิจจีนได้อนุมัติเงินเยียวยาผู้เสียหายและผู้ได้รับผลกระทบจากอาคาร สตง.ใหม่ถล่มประมาณ 120 ล้านบาท อยู่ระหว่างจะประสานกระทรวงยุติธรรมในการส่งมอบเงินเยียวยา ขณะที่ พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.กองคดีคุ้มครองผู้บริโภค ในฐานะรองหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ และโฆษกดีเอสไอ กล่าวว่า จากการสอบปากคำนายจางให้การปฏิเสธ โดยยืนยันว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐวิสาหกิจของจีนที่ถูกส่งมาลงทุนในไทยในนามรัฐบาลจีน โดยถือหุ้นในบริษัท 49% ส่วนที่คนไทยถือหุ้นนั้นไม่ทราบรายละเอียด แต่ยอมรับว่ารู้จักกรรมการคนไทยทั้ง 3 ราย และยอมรับเรื่องเงินที่มาจากต่างประเทศ แต่ก็ไม่ได้ให้รายละเอียดมากนัก รวมถึงไม่ได้ให้การเกี่ยวกับการจ้างคนไทยเป็นนอมินี ส่วนประเด็นเรื่องนายตง เซี่ย ดีเอสไออยู่ระหว่างการขยายผล และต้องขอสงวนรายละเอียดภายในสำนวนไว้ก่อน 

 “ประเด็นเงิน 2,000 ล้านบาท จากการสอบสวนทราบว่าตัวเงินเป็นของคนไทย ที่มีการกู้ยืมเงินเพื่อใช้ทำธุรกิจ ซึ่งดีเอสไอต้องไปขยายผลว่าแหล่งเงินจริงมาจากไหน เป็นของใคร เพราะดีเอสไอมีการตรวจสอบสถานะของคนไทยทั้ง 3 รายที่เป็นกรรมการในบริษัท พบว่าทั้งหมดไม่ได้มีสถานะเพียงพอที่จะไปดำเนินธุรกิจ หรือมีวิชาชีพหรือมีความเชี่ยวชาญในเรื่องดังกล่าว จึงต้องเร่งหาที่มาของเงิน 2,000 ล้านบาทนี้” พ.ต.ต.วรณันระบุ

ดีเอสไอพร้อมคุ้ย 'ตง เซี่ย'

พ.ต.ต.วรณันยังกล่าวถึงกรณีนายบินลิง วู อยู่เบื้องหลังหรือไม่ว่า เรื่องนี้ยังคงอยู่ในสำนวนและอยู่ระหว่างการตรวจสอบ ขอให้เจ้าหน้าที่ได้ทำการสืบสวนสอบสวนก่อน ส่วนนายตง เซี่ย ซึ่งเป็นกรรมการคนแรกของบริษัท ไชน่า เรลเวย์ฯ จะมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้หรือไม่นั้น ก็อยู่ระหว่างขยายผลตรวจสอบเช่นเดียวกัน

พ.ต.ต.วรณันยังกล่าวถึงกรรมการคนไทยทั้ง 3 รายว่า ได้ติดต่อขอเข้ามอบตัวแล้ว คือ นายมานัส ศรีอนันท์ ผู้ถือหุ้น 0.0003% นายประจวบ ศิริเขตร ถือหุ้น 10.2% และนายโสภณ มีชัย ถือหุ้น 40.7997%

ซึ่งเบื้องต้นทั้งหมดให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา แจ้งว่าไม่ได้เป็นนอมินีถือหุ้นแทน แต่ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการสอบสวนปากคำ รวมถึงประเด็นความเกี่ยวข้องระหว่างนายจางกับ 3 กรรมการชาวไทยด้วยว่า จะให้การสอดคล้องกันมากน้อยเพียงใด จึงจะทำให้เห็นความชัดเจน ซึ่งตอนนี้ทั้ง 3 คนไทยยอมรับว่ารู้จักกันเอง แต่จะรู้จักกับคนจีนหรือไม่นั้น ต้องรอสอบสวนปากคำให้แล้วเสร็จก่อน

พ.ต.ต.วรณันยังกล่าวถึงประเด็นที่ต้องสอบสวนปากคำ 3 กรรมการชาวไทยว่า จะยึดตามองค์ประกอบของความผิด พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.  2542 ตั้งแต่เรื่องทุน เรื่องของการดำเนินกิจการ ใครมีอำนาจในการดำเนินกิจการอย่างไรบ้าง ใครเป็นผู้ชักชวนเข้ามาในบริษัท อีกทั้งในเรื่องข้อมูลที่ดีเอสไอได้สืบสวนสอบสวน พบว่าพื้นเพแบ็กกราวด์ของพวกเขาเป็นเพียงพนักงานภายในบริษัท ไชน่า เรลเวย์ฯ แต่ก็ต้องขยายผลไปอีก เพราะในคำให้การมันจะแตกย่อยประเด็นอื่นไปได้อีก โดยเฉพาะเรื่องทุน

 “การให้ปากคำของผู้ต้องหาย่อมจะให้การอย่างไรก็ได้ แต่คำให้การของผู้ต้องหา สำคัญคือสามารถหักล้างในข้อกล่าวหาได้หรือไม่ ถ้าให้การแล้วมันหักล้างได้ ก็จะเป็นประเด็นเฉพาะของแต่ละราย แต่ถ้าคำให้การมันหักล้างข้อกล่าวหาไม่ได้ก็ต้องสั่งฟ้อง ซึ่งเราเพิ่งเริ่มกระบวนการสอบสวนปากคำ เพราะเพิ่งได้ตัวมาสักครู่นี้ ทั้งนี้ยังเร็วเกินไปที่จะตอบว่า นายโสภณมีเครดิตดีที่สุดใน 3 กรรมการคนไทย” โฆษกดีเอสไอระบุ

ทั้งนี้ ในคำบรรยายฟ้องของการฝากขังนายจางผัดแรกระบุว่า จากการสอบสวนพบว่านายโสภณ, นายประจวบและนายมานัส ทั้ง 3 คนเป็นลูกจ้างของบริษัทที่คนจีนเป็นเจ้าของ โดยที่ทั้ง 3 คนเป็นเพียงคนงานยกสินค้าและขับรถ ไม่เชื่อว่าบุคคลทั้ง 3 เป็นผู้ถือหุ้นในกิจการใด เนื่องจากมีอาชีพรับจ้างและมีรายได้น้อย

โดยภายหลังจำเลยยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์จำนวน 5 เเสนบาท ศาลพิเคราะห์จากการไต่สวนเเล้วอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว โดยกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศ เว้นได้รับอนุญาตจากศาล เเละให้รายงานตัวตามกำหนดนัด    

วันเดียวกัน นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวถึงเรื่องเหล็กตกคุณภาพที่ผลิตโดยบริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด (SKY) ซึ่งโรงงานได้ถูกปิดไปเมื่อเดือน ธ.ค. 2567 ว่าพบข้อพิรุธหลายประเด็นในการประกอบธุรกิจ โดยเฉพาะเรื่องฝุ่นแดง  ซึ่งได้ขยายผลไปสู่การเพิกถอนสิทธิประโยชน์ BOI และการสืบสวนร่วมกับดีเอสไอ โดยขอหมายศาลเข้าเก็บหลักฐานเพื่อดำเนินการทางกฎหมายต่อไป

นายเอกนัฏกล่าวอีกว่า อีกประเด็นที่มีความสำคัญต่อภาพรวมของอุตสาหกรรมเหล็ก คือการทบทวนให้ยกเลิกการรับรองมาตรฐานเหล็กที่ผลิตโดยกระบวนการใช้เตาอินดักชัน Induction Furnace (IF) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ดึงสิ่งสกปรกออกจากน้ำเหล็กได้ยาก รวมทั้งเป็นเตาแบบระบบเปิด สร้างมลภาวะฝุ่นและก๊าซพิษจากการผลิตเหล็กที่มากกว่า ถึงแม้ในทางทฤษฎีจะสามารถผลิตเหล็กที่มีคุณภาพได้ แต่ในกระบวนการผลิตจริง การควบคุมคุณภาพให้สม่ำเสมอนั้นทำได้ยาก ผู้ประกอบการจะต้องใส่ใจและเข้มงวดในการใช้วัตถุดิบคุณภาพดี มีกระบวนการปรับปรุงควบคุมคุณภาพอย่างละเอียด

 “ผมได้ลงนามในหนังสือ ขอให้ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมในฐานะประธาน กมอ.บรรจุวาระเพื่อพิจารณาทบทวนยกเลิก IF แล้ว และจนกว่าจะยกเลิก IF ก็คงจะต้องออกสำรวจตรวจจับ เสมือนแมวจับหนู สู้แก้ปัญหาแบบถอนราก จะได้ไปจัดการอุตสาหกรรมศูนย์เหรียญอื่นๆ ให้สิ้นซากต่อไป” นายเอกนัฏระบุ

'ซิน เคอ หยวน' โต้แหลก

ขณะเดียวกัน นายปิยะพงศ์ คงมะลวน, นายสุรศักดิ์ วีระกุล และนายปัทมากร ภิญโญชัยพลกุล จากสำนักงานกฎหมายเจ้าพระยาทนายความ ซึ่งเป็นตัวแทนบริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด (SKY) ออกมาชี้แจงเป็นครั้งแรก โดยนายสุรศักดิ์ชี้แจงว่า เรื่องดังกล่าวเป็นการกล่าวหาชี้นำประเด็นต้นตอตึก สตง.ถล่มเกิดจากเหล็กเส้นของ SKY ที่ใช้ในการก่อสร้างตึก สตง.ไม่ได้มาตรฐาน จนทำให้อาคารที่อยู่ระหว่างก่อสร้างถล่ม หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหว ทำให้บริษัทได้รับผลกระทบอย่างหนัก และรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมในกระบวนการตรวจสอบมาตรฐานเหล็กจากตึก สตง. เพราะบริษัทไม่ได้มีส่วนร่วมและรับรู้ผลการตรวจสอบแต่อย่างใด

 “ผลการตรวจสอบเหล็กจากตึก สตง.ถล่มของสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย เป็นเหล็กที่ถูกใช้งานแล้ว ไม่ใช่เหตุผลจะบอกว่าเหล็กตกมาตรฐาน เพราะการตรวจสอบอยู่นอกขอบข่ายของห้องปฏิบัติการ ผลการตรวจสอบเหล็กของอีก 2 บริษัทจะออกมาตรงตามมาตรฐานก็ตาม อีกทั้งบริษัทไม่ได้มีส่วนร่วมในกระบวนการตรวจสอบด้วย บริษัทจึงไม่รับรู้ผลการตรวจสอบแต่อย่างใด” นายสุรศักดิ์กล่าว

นายสุรศักดิ์กล่าวอีกว่า ยืนยันเหล็กของบริษัทที่ผลิตออกมาได้มาตรฐาน ISO 9001 ตามกฎหมายและที่บีโอไอกำหนดไว้ทุกอย่าง และตั้งแต่เปิดดำเนินกิจการในไทยมากว่า 10 ปี ไม่เคยถูกลูกค้าคืนสินค้าหรือร้องเรียนว่าสินค้าไม่มีมาตรฐานแม้แต่ครั้งเดียว ส่วนความพยายามชี้นำให้เห็นว่า SKY เป็นบริษัทของจีนจะเป็นจีนเทาหรือไม่ เป็นการพูดกล่าวหาด้านลบ ซึ่งตลอด 5 ปีที่ผ่านมา (2562-2566) บริษัทจ่ายภาษีเป็นเงิน  856 ล้านบาท ทำบัญชีรายรับรายจ่ายอย่างถูกต้อง ดังนั้นการกล่าวหาว่า SKY ประกอบธุรกิจลักษณะจีนเทา ไม่เคยเสียภาษีให้ไทยนั้นไม่จริง และควรให้ความเป็นธรรมกับบริษัทด้วย ส่วนกรณีที่ SKY ถูกกล่าวหาว่าใช้ใบกำกับภาษีปลอมนั้น บริษัทได้ฟ้องกลับกรมสรรพากรแล้ว อยู่ในระหว่างกระบวนการของตุลาการ ไม่สามารถก้าวล่วงได้ ขณะที่การถูกเพิกถอนใบอนุญาตส่งเสริมการลงทุน บริษัทจะใช้สิทธิอุทธรณ์ตามกฎหมายต่อไป

 “การที่รัฐบาลออกไปเชิญชวนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศ แต่กลับถูกสั่งปิดโรงงานและเพิกถอนใบอนุญาตลงทุนนั้น จะถึงขั้นที่ SKY จะถอนการลงทุนทั้งหมดออกจากไทยหรือไม่ ในฐานะทีมทนายไม่สามารถตอบแทนผู้บริหารได้ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของบริษัทเอง" นายสุรศักดิ์กล่าว

ด้านนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) กล่าวถึงกรณีปัญหาอาคาร สตง.ถล่มว่า ขอตั้งข้อสังเกต 3 เรื่องใหม่ เช่น คุณภาพคอนกรีตที่ไม่ได้มาตรฐาน เพราะมีการปรับแบบผนัง shear wall ให้แคบลง จากเดิมหนา 35 ซม. เหลือ 25 ซม., การตั้งค่าเผื่อค่าความปลอดภัย ซึ่งต่ำกว่าอาคารอื่น ว่ามีเหตุผลมาจากอะไร ซึ่งสงสัยว่ามีการล็อกสเปก เพื่อทำการคอร์รัปชันในการจัดซื้อเฟอร์นิเจอร์ราคาสูงหรือไม่ ทำให้เหลือโควตางบประมาณในการออกแบบที่จำกัด และการแก้ไขแบบซึ่งล่าสุดวิศวกรออกแบบ ระบุถูกปลอมลายเซ็นนั้น กลับไม่พบว่ามีการฟ้องบริษัทกลับ และการแก้แบบนั้นทำไปเผื่ออะไร

ส่วนที่รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.)ติดตามการบริหารงบประมาณ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) โดยมีนายอลงกต วรกี สว. ประธาน กมธ.เป็นประธานการประชุม ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้แจงความคืบหน้าในการดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับบาดเจ็บ เสียชีวิต และการเยียวยาอาคารบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ทั้งในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และจังหวัดอื่นๆ

กทม.เยียวยาอืด

นายสหรัฐ วงศ์สกุลวิวัฒน์ รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ชี้แจงว่า ขณะนี้มีผู้ประสงค์เข้าขอรับเงินช่วยเหลือจากอาคารหรือทรัพย์สินที่ได้รับความเสียหาย เพื่อขอเงินซ่อมแซมอาคารบ้านพักอาศัยจากแอปพลิเคชัน Traffy Fondue (ทราฟฟี ฟองดู) ประมาณกว่า 20,000 คน โดยกรุงเทพฯ จะเป็นผู้สำรวจความเสียหาย ก่อนทำเรื่องเบิกจ่ายมาที่ ปภ. ซึ่งได้รับงบประมาณมา 200 ล้านบาท ซึ่งยังไม่มีการเร่งรัดชัดเจน แต่มีความต้องการให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน คือวันที่ 27 เม.ย. 2568

ขณะที่นายศุภกฤต บุญขันธ์ รองปลัดกรุงเทพฯ ชี้แจงว่า ขณะนี้มีผู้ยื่นคำร้อง 32,279 คน (ข้อมูล ณ 19 เม.ย. 2568) หากกำหนดกรอบ 30 วันไม่น่าจะทัน  เพราะขณะนี้มีการตรวจสอบอาคารและรับรองแล้ว ประมาณ 878 ราย ซึ่งการตรวจสอบไม่ได้มีความง่าย และต้องใช้เวลาในการนัดหมาย เมื่อรับรองแล้วก็จะส่งให้ ปภ.เพื่อให้การอนุมัติจ่ายไปเรื่อยๆ ซึ่งคาดว่าจะจัดส่งเอกสารให้ ปภ.รอบแรกในวันที่ 28 เม.ย.นี้

ด้านนายสมาสภ์ ปัทมะสุคนธ์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน ชี้แจงว่า ทั่วประเทศมีสถานประกอบการได้รับผลกระทบกว่า 23 จังหวัด โดยมีสถานประกอบการประมาณ 198 แห่ง ส่วนกรณีมีผู้เสียชีวิตที่พื้นที่เกิดเหตุอาคาร สตง.ถล่ม ข้อมูลล่าสุดคือ 47 ราย ยืนยันอัตลักษณ์บุคคลแล้ว 34 ราย (คนไทย 23 ราย แรงงานต่างชาติ 11 ราย) และกำลังตรวจสอบอัตลักษณ์จำนวน 13 ราย ส่วนผู้บาดเจ็บ 8 ราย ออกจากโรงพยาบาลแล้ว 7 ราย และอยู่ระหว่างการรักษา 1 ราย

นายสมาสภ์กล่าวต่อว่า มีผู้เสียชีวิตได้จ่ายเงินจากประกันสังคมไปแล้ว 9 ราย โดยแบ่งเป็นการจ่ายเงินค่าจัดการศพรายละ 50,000 บาท เงินทุนสำรองเลี้ยงชีพร้อยละ 70 ของค่าจ้าง สูงสุดไม่เกินเดือนละ 14,000 บาท ในระยะเวลา 10 ปีให้แก่ทายาท และเงินทุนเลี้ยงชีพ บำเหน็จชราภาพกองทุนประกันสังคม ตามจำนวนการจ่ายเงินสมทบของผู้ประกันตน โดยพิจารณาจากผู้เสียชีวิตจำนวน 54 ราย ขณะที่ผู้ได้รับบาดเจ็บมีจำนวน 11 ราย กระทรวงแรงงานจะชดเชยค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดและค่าชดเชยการหยุดงาน หากทุพพลภาพจะได้รับการชดใช้ตามระเบียบกฎหมาย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบว่าผู้บาดเจ็บรายใดทุพพลภาพ

นายอลงกตกล่าวภายหลังการประชุม ถึงกรณีข่าวว่ามีผู้ได้รับความเสียหายได้รับการประเมินราคาเยียวยาอยู่ที่ 70 หรือ 300 บาทในราคาที่ค่อนข้างต่ำ ว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ยึดระเบียบจากกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง และกระทรวงพาณิชย์ ที่ได้กำหนดราคาความเสียหายไว้ ซึ่งจะคล้ายกับการเกิดกรณีเพลิงไหม้ หรือพายุฤดูร้อนและน้ำท่วมที่ทำให้บ้านเรือนเสียหาย จะเป็นการยึดตามระเบียบเดียวกัน และเจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติตามระเบียบ  โดยสามารถจ่ายเงินเยียวยาได้สูงสุดอยู่ที่ 49,500 บาทต่อหลัง และต่อให้บ้านมีราคา 10 ล้านบาท ตามระเบียบก็ให้วงเงินมาเพียงเท่านี้.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

‘นํ้าเงิน-ส้ม’เปิดศึก! ‘หนู’ลั่นพรรคใดแก้ม.112ไม่ร่วมด้วย-‘เท้ง’ท้าแข่งกันจัดตั้งรัฐบาล

“ภูมิใจไทย” ขยับใหม่ ประกาศแคนดิเดตนายกฯ 2 คน “อนุทิน-สีหศักดิ์” ผวา!  ส่งชื่อคนเดียวสุ่มเสี่ยง ต้องเผื่อเหลือเผื่อขาดเอาไว้