ดีลแลกประเทศวันแรกเดือด! “ณัฐพงษ์” ซัดรัฐบาลแพทองธารเลวร้ายกว่ายุค คสช. ยึดแต่ผลประโยชน์คนตระกูลชินวัตรและครอบครัวเป็นแกนกลาง พร้อมเอื้อกลุ่มทุนใกล้ชิด “บิ๊กป้อม” เชือดประเทศไม่ใช่เวทีมือสมัครเล่น “วิโรจน์” ข้องใจนิติกรรมอำพราง ปมออกตั๋วพีเอ็น 9 ใบเพื่อเลี่ยงภาษี “นายกฯ เจนวาย” ถือไอแพดโต้ บอกแม้อายุน้อยแต่มั่นใจว่าเสียภาษีให้รัฐมากกว่าตัวตึงแน่นอน “ปชน.” เรียงหน้าสับตั้งแต่สนามกอล์ฟอัลไพน์-ปลาหมอคางดำ-เหมืองทองอัครา-PM2.5-ค่าไฟ จนถึงทางด่วนและรถไฟเชื่อม 3 สนามบิน
เมื่อวันจันทร์ที่ 24 มีนาคม 2568 มีระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26 ปีที่ 2 ครั้งที่ 26 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน กับคณะ 165 คน เป็นผู้เสนอ
โดยก่อนการประชุม เมื่อเวลา 08.15 น. น.ส.แพทองธารได้เดินทางเข้าร่วมประชุมด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม โดยมีรัฐมนตรีต่างๆ มารอต้อนรับ พร้อมยืนยันว่าไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นมาก แต่อาจตื่นเช้า ตื่นก่อนนาฬิกาปลุกเล็กน้อย
เมื่อถามว่า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ระบุว่าได้มีการติวการบ้านกับนายกฯ น.ส.แพทองธารกล่าวว่า คุณพ่อแวะมาเจอที่บ้านก่อนไปร่วมงานแต่งเมื่อวันที่ 23 มี.ค. มาคุยกันว่าประเด็นนี้คิดอย่างไร ประเด็นนั้นคิดอย่างไร ก็มีหลายประเด็นที่คุยกัน มีการถามเรื่องเศรษฐกิจว่ามีความคิดเห็นอย่างไร ซึ่งมีหลายประเด็นพูดคุยกัน ส่วนเรื่องการอภิปรายก็มีหัวข้อแค่นิดหน่อย ก็ถามว่าเข้าใจตรงกันนะ แบบนี้ใช่ไหม
“เมื่อสักครู่คุณพ่อได้โทรศัพท์ให้กำลังใจ พร้อมระบุว่าถ้ามีอะไรก็โทร.มา เพราะวันนี้คุณพ่อจะสแตนด์บาย มีอะไรก็โทร.ไปถามได้ ซึ่งก็เป็นอย่างนี้มาตลอดทั้งชีวิตอยู่แล้ว”
ขณะที่นายณัฐพงษ์กล่าวว่า มั่นใจว่าฝ่ายค้านจะกรีดแผล และหลังเสร็จสิ้นการอภิปราย แม้รัฐบาลจะมีเสียงข้างมาก ฝ่ายค้านไม่สามารถโหวตถอดนายกฯ ได้ แต่การดำเนินการหลังจากนี้จะสร้างแรงสะเทือนถึงรัฐบาลได้ เพราะประเด็นที่จะอภิปรายนอกจากการบริหารงานล้มเหลวแล้ว ยังมีเรื่องการทุจริตระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล และการขาดคุณสมบัติของนายกฯ หรือตัวรัฐมนตรี และมีข้อมูลที่ไม่เคยถูกเปิดเผยมาก่อน และมีความเป็นไปได้สูง ที่จะนำไปสู่การถอดถอนนายกฯ ได้จริง
สำหรับบรรยากาศการประชุมสภา โดยตามระเบียบวาระจะเริ่มเปิดประชุม 08.00 น. แต่เมื่อถึงเวลากลับยังไม่สามารถเปิดประชุมได้ เนื่องจากองค์ประชุมยังไม่ครบ มีเพียง 210 คนเท่านั้นจาก สส.ทั้งหมด 493 คน จนกระทั่งเวลา 08.20 น. มีสมาชิกมาประชุม 349 คน นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร จึงเปิดประชุม
ทั้งนี้ ก่อนเข้าสู่ญัตติปรากฏว่ามีความวุ่นวายเล็กน้อย โดย น.ส.วรรณวิภา ไม้สน สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชน. ลุกขึ้นหารือเรียกร้องสิทธิแรงงานให้ลูกจ้างรัฐสภา ทำให้จากนั้นนายอดิศร เพียงเกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) ลุกขึ้นกล่าว ตามมาด้วยนายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม สส.สุรินทร์ พรรค พท. สุดท้ายนายวันมูหะมัดนอร์ได้ชี้แจงต่อที่ประชุมถึงข้อบังคับการประชุมต่อการอภิปรายในญัตติดังกล่าว
ในเวลา 08.37 น. นายณัฐพงษ์ได้กล่าวเปิดญัตติตามที่ได้เสนอไว้ ระบุว่ารัฐบาลชุดนี้เริ่มต้น ดำรงอยู่ และเดินหน้าต่อเพื่อให้เกิดดีลแลกประเทศ ซึ่งผลประโยชน์ของคนตระกูลชินวัตรและครอบครัวยึดเป็นแกนกลาง และมีผลประโยชน์กลุ่มทุนใกล้ชิด เครือข่ายการเมืองเป็นแกนรอง ประเทศและประชาชนต้องรอออกไปก่อน
“พฤติกรรมที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัยนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกฯ ต่อมาถึง น.ส.แพทองธาร หลายคนวิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐบาลเพื่อไทยยอมเป็นนั่งร้านให้กับกลุ่มอำนาจเดิม เพื่อใคร เพื่อคนตระกูลชินวัตรใช่หรือไม่ เพื่อให้บุคคลในครอบครัวได้กุมอำนาจรัฐบาล ให้บริวารได้เป็นรัฐมนตรี ถึงเวลานี้เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่พวกเขาสงสัยไม่เป็นความจริง รัฐบาลเพื่อไทยไม่ได้เป็นนั่งร้านให้กับใคร เพราะอันที่จริงแล้วพวกเขาได้หลอมรวมกันกลายเป็นพวกเดียวกันทั้งหมดไปแล้ว ทำงานร่วมกันเป็นปี่เป็นขลุ่ย หัวเราะร่วมวงไปด้วยกันได้ ไม่เกี่ยวกับเจเนอเรชันหรือภูมิหลังใดๆ เพราะพวกเขาใช้วิธีจัดการผลประโยชน์ที่เหมือนกัน ต่อรองกันผ่านสนามกอล์ฟเหมือนๆ กัน นายกฯ คณะรัฐมนตรี (ครม.) และพรรคร่วมรัฐบาลพูดภาษาเดียวกัน และเล่นเกมเดียวกันมาตั้งแต่แรก” นายณัฐพงษ์กล่าว
เลวร้ายกว่ายุคประยุทธ์
นายณัฐพงษ์อภิปรายต่อว่า ดีลแลกประเทศไม่ได้หมายถึงแค่พานายทักษิณกลับบ้าน แต่ยังหมายรวมถึงเรื่องอื่นๆ ที่ประชาชนคนไทยต้องแลกด้วยผลประโยชน์ของประเทศมากมายมหาศาลที่เกิดขึ้นภายใต้ดีลนี้ ซึ่งภายใต้รัฐบาลชุดนี้ดูเผินๆ เหมือนประเทศอาจจะได้อะไรดีขึ้นกว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่พอเวลาผ่านไป 2 ปี เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าสิ่งที่เหมือนจะได้กลับเสียมากกว่าเดิม การเริ่มต้นและตั้งอยู่ของรัฐบาลแพทองธาร ทำให้ประเทศต้องจ่ายต้นทุนราคาแพง ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม นายกฯ กำลังทำให้ความเป็นประชาธิปไตยของประเทศเสื่อมถอยลง ภายใต้เปลือกของคำว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
“การบริหารประเทศที่ได้นายทักษิณกลับมาอีกครั้งเหมือนได้ผู้นำแพ็กคู่ คนหนึ่งมีประสบการณ์ อีกคนอยู่ในตำแหน่งเป็นคนรุ่นใหม่ สิ่งที่เกิดขึ้นมีผู้นำนอกระบบ ทำงานนอกทำเนียบฯ เป็นคนชี้นำวาระ ให้ข้อมูลและนโยบายนำหน้ารัฐบาล โดยปราศจากความรับผิดชอบใดๆ เพราะไม่ถูกถ่วงดุลตรวจสอบ คนนอกระบบพูดไปเรื่อย ส่วนคนในระบบแทนที่จะเป็นพลังคนรุ่นใหม่ กลับขาดความรู้ความสามารถ ขาดวุฒิภาวะ และเจตจำนงทางการเมือง 6 เดือนที่ผ่านมาเราเคยเห็นการผลักดันอะไรที่นายกฯ ตัวจริงผลักดันให้เกิดการแก้ปัญหาได้บ้าง มีแต่การลอยตัวหนีปัญหา ไม่สนไม่แคร์ แต่ความเดือดร้อนของประชาชน เมื่อรวมนายทักษิณกับ น.ส.แพทองธารแล้วประเทศไทยเสีย 2 ต่อ เพราะมีคนที่ลอยตัว ส่วนคนที่ถืออำนาจรัฐที่ขาดคุณสมบัติ” นายณัฐพงษ์กล่าว
นายณัฐพงษ์กล่าวว่า น.ส.แพทองธารทำตัวแบบเดียวกับนายกฯ ที่มาจากการปฏิวัติรัฐประหาร มองการเมืองเป็นแค่เรื่องน่ารำคาญ ภาระในสภาเปรียบเสมือนก้อนกรวดในรองเท้า มอง สส.ในสภาเป็นเพียงแค่จำนวนนับให้จัดตั้งรัฐบาล ดีลแลกประเทศครั้งนี้มีคนไม่ถึง 1% ได้รับผลประโยชน์ เป็นรัฐบาลที่ตกต่ำยิ่งกว่ารัฐบาลของ คสช. ซึ่งอนาคตมีสิ่งที่ประเทศไทยต้องจ่ายมหาศาล ทั้งนี้สิ่งที่เราได้รับคือพวกเราอ่อนแอ ไม่กล้าหวังอนาคตที่ดีกว่า ทั้งนี้การจัดตั้งรัฐบาลของดีลแลกประเทศ ทำให้ได้พรรคร่วมคณะรัฐประหารหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกัน จึงไม่อาจไว้วางใจได้
ต่อมา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) อภิปรายว่า พยายามเอาใจช่วยให้นายกฯ ช่วยแก้ปัญหาปากท้องได้สำเร็จ เพราะเห็นว่าเคยบริหารงานด้านธุรกิจมาก่อน คงมีประสบการณ์ที่จะมาช่วยประเทศได้บ้าง แต่ปรากฏว่านายกฯ ไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้ดีขึ้น ซ้ำยังถอยหลังจนจีดีพีของไทยรั้งท้ายในกลุ่มอาเซียน และที่ห่วงอย่างมากและไม่สบายใจต่อการดำเนินนโยบายต่างประเทศและความมั่นคง คือเรื่องเอ็มโอยู 44 ที่วันนี้ท่านพาประเทศชาติสู่ความเสี่ยงต่อการสูญเสียดินแดนและทรัพยากรทางทะเลมูลค่ามหาศาล และที่น่าเสียใจลูกเรือคนไทยที่นายกฯ รับปากจะนำกลับมา แต่นี่ผ่านมา 4 เดือนแล้วก็ยังไม่ได้กลับ
“ในฐานะที่ทำงานด้านความมั่นคงมาตลอดชีวิต ทราบดีว่างานด้านความมั่นคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ จำเป็นต้องอาศัยความรู้และประสบการณ์ในหลายมิติ เห็นใจนายกฯ ที่ต้องมาตัดสินใจในเรื่องที่ไม่มีประสบการณ์ ประเทศชาติไม่ใช่เวทีที่จะให้มือสมัครเล่นมาซ้อมได้”
ลุงป้อมลุกขึ้นอภิปราย
พล.อ.ประวิตรยังอภิปรายถึงร่างกฎหมายประกอบธุรกิจสถานบันเทิง หรือเอนเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ ว่า กาสิโนจะนำชาติไปสู่ความหายนะและเป็นอันตราย เพราะจะทำให้สังคมอ่อนแอและเกิดธุรกิจสีเทาตามมาอีกมาก เพราะทุกวันนี้การที่ไทยปล่อยปละละเลยก็ทำให้เป็นแหล่งฟอกเงินอยู่แล้ว และที่สำคัญนายกฯ ขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา160 (4) (5) ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ท่านได้ทำนิติกรรมอำพรางยื่นบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง เรื่องการถือหุ้นบริษัท อัลไพน์ กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ตคลับ จำกัด ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นที่ดินธรณีสงฆ์ นอกจากนั้นได้ปล่อยปละละเลยให้คนในครอบครัวมากระทำให้เกิดผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ การที่บุคคลในครอบครัวได้เรียกคนของพรรคการเมืองไปพูดคุยในการจัดตั้งรัฐบาลที่บ้านจันทร์ส่องหล้า และบุคคลในครอบครัวทำตัวเป็นคนมีอิทธิพลเหนือพรรคในทางครอบงำหรือไม่ เรื่องนี้ขอให้เป็นไปตามการตรวจสอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ส่วนผลจะเป็นอย่างไรเชื่อว่าประชาชนจะเป็นคนตัดสินเอง ทั้งหมดที่กล่าวมาไม่ใช่เป็นการกล่าวหาด้วยความอคติ แต่ตามหลักฐานข้อเท็จจริงทุกประการ
“ผมเป็นคนพูดไม่เก่งเท่ากับตอนเป็นหนุ่มๆ จึงใช้ใจในการบันดาลแรงในการบริหารราชการแผ่นดินสำเร็จมาได้หลายอย่าง ส่วนนายกฯ เป็นคนหนุ่มสาว แข็งแรง เชื่อว่าท่านจะบริหารประเทศด้วยสติปัญญา มีความอ่อนน้อม แต่หนักแน่นในหลักการ ยึดถือประโยชน์ของประเทศชาติมากกว่าครอบครัวและพวกพ้อง” พล.อ.ประวิตรกล่าว
จากนั้น น.ส.แพทองธารกล่าวชี้แจงว่า สำหรับสมาชิกหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐพูดประมาณ 10 นาที และจะบอกว่าที่ท่านสมาชิกอาวุโสพูดเมื่อสักครู่นั้นไม่เป็นความจริง
ด้าน น.ส.พิมพ์พร พรพฤฒิพันธุ์ สส.เพชรบูรณ์ พรรค พปชร. ได้อภิปรายตอกย้ำเรื่องบัญชีแสดงรายการหนี้สินอื่นจำนวนกว่า 4,434 ล้านบาท ซึ่งเป็นหนี้ของตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อชำระค่าหุ้นให้กับพี่น้อง เครือญาติและบุคคลในครอบครัวของนายกฯ 9 ฉบับ ที่ไม่มีกำหนดระยะเวลาชำระหนี้คืนและไม่มีการคิดดอกเบี้ย ซึ่งกรณีนี้ไม่เข้าใจว่านายกฯ มีเจตนาผ่องถ่ายทรัพย์สินโอนหุ้นกันระหว่างเครือญาติหรือไม่ และหากคิดดอกเบี้ยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จะคิดดอกเบี้ยได้เป็นจำนวนเงินถึง 132 ล้านบาทต่อปี
ในเวลา 09.38 น. นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชน. อภิปรายย้ำการทำนิติกรรมอำพรางเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีการรับให้มาตั้งแต่ปี 2559 โดยได้เกริ่นที่มาที่ไป พร้อมระบุว่าสามารถแกะรอยได้จากบัญชีทรัพย์สินของ น.ส.แพทองธาร ที่ยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งพบว่า น.ส.แพทองธารเป็นลูกหนี้อยู่ 9 รายการ มูลค่าหนี้สินรวม 4,434.5 ล้านบาท พอมาดูที่รายละเอียดของเอกสาร กลับมีเอกสารแนบมาเพียงแค่ 9 แผ่น รายการละ 1 แผ่น
“ตั๋วพีเอ็นทั้ง 9 ใบนี้ เป็นตั๋วสัญญาใช้เงินที่มีเงื่อนไขสุดว้าวมาก คือจะชำระเงินค่าซื้อหุ้นเมื่อทวงถาม หมายความว่าหนี้สินทั้ง 9 รายการจากการซื้อหุ้นจากพี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ เป็นหนี้สินที่ไม่มีกำหนดว่า น.ส.แพทองธารต้องจ่ายค่าซื้อหุ้นเมื่อไหร่ ถ้าชาตินี้ไม่มีใครทวงก็ไม่ต้องจ่าย ลืมไปได้เลยว่าเคยเป็นหนี้ เพราะดอกเบี้ยก็ไม่มีใครคิด พี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ ในกงสีก็เป็นเจ้าหนี้ที่แสนดีมากๆ ยอมนอนกอดกระดาษ 9 แผ่น โดยที่ไม่รู้ว่าเงิน 4,434.5 ล้านบาทจะได้คืนวันไหน”
วิโรจน์อัดเอาเปรียบสังคม
นายวิโรจน์ชี้ว่า ถ้าตั๋วพีเอ็นทั้ง 9 ใบมีรายละเอียดตามข้างต้น ก็แสดงว่าการซื้อหุ้นของ น.ส.แพทองธารในครั้งนี้ ต้องสงสัยว่ามีการใช้ตั๋วพีเอ็นเป็นเครื่องมือทำนิติกรรมอำพราง ทำธุรกรรมการซื้อปลอม ตบตาการได้หุ้นจากการให้ เป็นการซื้อหุ้น เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีการรับให้ที่ต้องจ่ายให้กับแผ่นดิน เป็นพฤติกรรมที่เอารัดเอาเปรียบประชาชน เอาเปรียบสังคม เม้มผลประโยชน์ของชาติ บ่อนทำลายการพัฒนาประเทศ
นายวิโรจน์กล่าวอีกว่า นิติกรรมอำพรางที่ใช้ตั๋วพีเอ็นหนีภาษีการรับให้มูลค่า 218.7 ล้านบาท ย่อมเป็นที่ประจักษ์ว่าคนอย่าง น.ส.แพทองธาร มีแต่ความทุจริตเป็นที่ประจักษ์ วันๆ เอาแต่เสาะหาช่องว่างทางกฎหมาย เพื่อตักตวงผลประโยชน์ให้กับตนเอง จุ๊บๆ จิ๊บๆ ก็เอา เล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่เว้น ไม่ใช่แค่เป็นนายกฯ ไม่ได้ เป็นแค่คนปกติก็ยังเป็นไม่ได้ น.ส.แพทองธารไม่ใช่แค่ไม่มีศักดิ์ศรีที่จะลุก เดิน ยืน นั่งในทำเนียบรัฐบาล แม้แต่ตามถนนหนทาง ตามตรอกซอกซอยในประเทศนี้ คนหนีภาษีก็ไม่มีหน้าที่จะเดินหน้าตั้ง คอตรง สู้หน้าประชาชนได้อีกต่อไป เพราะนายกฯ โดยตำแหน่งแล้ว ยังต้องดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติอีกตำแหน่งหนึ่งด้วย อยากรู้จริงๆ ว่าคนหนีภาษีอย่าง น.ส.แพทองธาร ยังจะกล้าแบกหน้าไปนั่งประชุมนั่งหัวโต๊ะคณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติอยู่อีกหรือ"
นายวิโรจน์กล่าวว่า หลังจากนี้ต้องมีการร้องไปที่ ป.ป.ช. มีอำนาจตามมาตรา 234 ของรัฐธรรมนูญ ในการไต่สวนและมีความเห็นต่อกรณีที่ น.ส.แพทองธารฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง และพิจารณาส่งสำนวนและความเห็นของ ป.ป.ช.ไปที่ศาลฎีกาต่อไป เชื่อว่าพฤติกรรมเช่นนี้ น.ส.แพทองธารก็ไม่รอด ส่วน สส.ที่จะยกมือไว้วางใจคนอย่าง น.ส.แพทองธาร ให้ดำรงตำแหน่งนายกฯ ต่อไป ก็อาจเข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงได้เช่นเดียวกัน ถ้ามีคนไปร้องก็อาจเข้าปิ้งตายตกตามไปด้วย
“การเสียภาษีอย่างถูกต้องเป็นหน้าที่พื้นฐานที่สุด คนคนนี้ยังทำอย่างตรงไปตรงมาไม่ได้ ประชาชนเขาหวังฝากความหวังไว้กับผู้นำ แต่กลับได้โจรใส่อาภรณ์ขุนนางสวมรองเท้าไข่มุก ปากที่ตัวเองเคยพูดว่ามีกินมีใช้ไปพร้อมๆ กัน ที่แท้ก็คือการหาช่องว่างทางกฎหมายเพื่อให้มีกินกันเฉพาะกงสี ให้ได้อิ่มหมีเฉพาะตระกูล แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ หนีภาษี ไม่มีศักดิ์ศรีที่จะดำรงตำแหน่งต่อไปได้อีกแล้ว” นายวิโรจน์ทิ้งท้าย
ทั้งนี้ ตลอดเวลาที่นายวิโรจน์อภิปรายมีการประท้วงเป็นระยะๆ อย่างดุเดือด โดยเฉพาะนางนุชนาถ จารุวงษ์เสถียร สส.ศรีสะเกษ พรรคเพื่อไทย และ สส.ฝ่ายค้าน รวมถึงประธานในที่ประชุมด้วย
จัดหนักอัลไพน์-ปลาหมอคางดำ
จากนั้นเวลา 11.30 น. นายจุลพงษ์ อยู่เกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชน. ได้อภิปรายว่า นายกฯ มีพฤติกรรมร่วมสมคบคิดกับคนในครอบครัว ใช้อิทธิพลทางการเมืองของบิดาเพื่อให้ที่ธรณีสงฆ์ที่บริษัท อัลไพน์ กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ตคลับ จำกัด ที่ยึดถืออยู่ไม่ต้องคืนเป็นที่ดินของวัด และเมื่อมีอำนาจเป็นนายกฯ ก็ใช้อำนาจหน้าที่กับข้าราชการเพื่อฮุบที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ต่อให้นานที่สุด และตอนนี้นายกฯ ยังนำเรื่องสนามกอล์ฟมาต่อรองกับพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อจะได้ค่าชดเชยจากกรมที่ดินกว่า 7 พันล้านบาท จากการที่ถูกเพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ของวัดหากต้องโอนที่ดินคืนให้แก่วัด
ในเวลา 12.45 น. นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ สส.กทม. พรรค ปชน. อภิปรายว่า น.ส.แพทองธารเป็นนายกฯ เจนวายที่ขึ้นมาบริหารงานกว่า 194 วัน ซึ่งประชาชนต้องทนทุกข์ทรมานลำบากยากเย็น ไม่มีกิน ไม่มีใช้ ไร้เกียรติ ไร้ศักดิ์ศรี ไม่เหมือนคำโฆษณาชวนเชื่อเมื่อครั้งหาเสียงเลือกตั้ง
นายณัฐชายังได้อภิปรายถึงปัญหาปลาหมอคางดำ พร้อมตั้งข้อสงสัยว่าทำไมถึงไม่กล้าสั่งให้ตามล่าหาความจริง รื้อเรื่องนี้มาตรวจสอบ หาผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหน หรือหากท่านเกรงใจไม่กล้าทำอะไรที่อาจจะไปกระทบกระทั่งกับกลุ่มทุนผู้ที่ช่วยตั้งไข่รัฐบาลนี้มา ก็ช่วยเห็นใจประชาชน โดยการหยิบเอารายงานของคณะกรรมาธิการการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่พิจารณาเรื่องนี้แล้วมาใช้ ไม่ต้องใช้ความรู้ความสามารถพิเศษใดๆ เพียงแค่นำรายงานเล่มนี้ เข้าคณะรัฐมนตรี แล้วสั่งการอ้อมๆ ได้เลย ซึ่งผู้ที่มีอำนาจเต็มในการสั่งการครั้งนี้คือ น.ส.แพทองธาร
“รัฐบาลเพื่อไทยหัวใจเพื่อใครกันแน่ ทำไมถึงปล่อยให้เสียงกระซิบของนายทุนมันดังสนั่นหวั่นไหวในประเทศนี้ แต่แทบจะไม่ได้ยินเสียงตะโกนโห่ร้องผ่านความเจ็บปวด ของพี่น้องประชาชนและเกษตรกรไทยเลย ก็ได้แต่ตั้งคำถามว่า รัฐบาลพรรคเพื่อไทยหัวใจคือนายทุนหรือไม่ เพราะแต่ละภาพที่ออกมามีความใกล้ชิดสนิทสนมชิดเชื้อระหว่างครอบครัวและบริษัท ที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องในการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำกันเสียเหลือเกิน”
ต่อมาเวลา 13.45 น. นายอิทธิพล ชลธราศิริ สส.ขอนแก่น พรรคประชาชน อภิปรายถึงเหมืองทองอัครา โดยระบุว่ายอมละทิ้งสัจจะเพื่อให้ได้เป็นรัฐบาล ยอมทุกอย่างเพื่อนำตัวบุคคลในครอบครัวกลับบ้าน แลกกับการเป็นนั่งร้านให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คอยระวังหลังไม่ให้ถูกดำเนินคดีตามกฎหมายที่มีการกระทำความผิดไว้
ทั้งนี้ การอภิปรายของนายอิทธิพลนอกจากจะถูกประท้วงจาก สส.พรรคเพื่อไทยแล้ว นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ก็ลุกขึ้นประท้วงว่า การเอ่ยชื่อบุคคลภายนอกไม่เหมาะสม ฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ ปัจจุบัน ไม่ใช่อภิปรายอดีตนายกฯ โดยต่อมานายอิทธิพลก็ยังอภิปรายโดยเอ่ยชื่อ พล.อ.ประยุทธ์อยู่ ทำให้ สส.พรรค รทสช.ต่างลุกขึ้นประท้วง จนประธานสั่งให้หลีกเลี่ยงเอ่ยชื่อบุคคลภายนอก
ต่อมานายภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ สส.เชียงใหม่ พรรค ปชน.ได้อภิปรายถึงการแก้ไขปัญหา PM2.5 โดยระบุว่ามนุษย์ที่ขึ้นมาบริหารประเทศ ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่มีความรู้ ความสามารถ ไม่มีความเป็นผู้นำ ไม่มีความตั้งใจจริงที่จะแก้ปัญหา แต่มาบริหารประเทศเพียงเพราะผลประโยชน์ของบิดาและคนในครอบครัว
นายกฯ โต้เสียภาษีมากกว่า
ในเวลา 15.15 น. น.ส.แพทองธารได้ลุกขึ้นชี้แจง พร้อมถือไอแพดถึงการอภิปรายของนายวิโรจน์ ที่กล่าวหาว่าทำนิติกรรมอำพรางและหนีภาษีโอนหุ้น ว่าขอลุกขึ้นชี้แจงจากท่านสมาชิกที่เข้าใจว่าตัวเองเป็นจอมยุทธ์ ขอยืนยันว่าทั้งการปฏิบัติและเจตนาที่ได้ดำเนินการทุกอย่าง อย่างตรงไปตรงมา ถูกต้องตามกระบวนการตามข้อกฎหมายทุกอย่าง การกล่าวหาว่านายกรัฐมนตรีคนนี้หนีภาษีไม่ได้เป็นความจริงเลย และเป็นเรื่องที่ตรงกันข้าม
“แม้ดิฉันจะอายุน้อยกว่าท่าน แต่ก็มั่นใจว่าดิฉันเสียภาษีให้รัฐมากกว่าท่านแน่นอน” นายกรัฐมนตรีกล่าว
นายกฯ กล่าวว่า ในเรื่องบัญชีทรัพย์สินและบัญชีหนี้สิน ขอชี้แจงว่าการแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. ตั้งแต่วันที่ดำรงตำแหน่งได้ยื่นครบถ้วนตามขั้นตอนทุกอย่าง ส่วนเรื่องของธุรกรรมก่อนการดำรงตำแหน่งที่สมาชิกได้อภิปราย ต้องพูดกันให้ชัดก่อนว่าทรัพย์สินกิจการของครอบครัว และหนี้สินกิจการทั้งหมดของตนเอง และครอบครัว มีการถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้นมาตั้งแต่การปฏิวัติรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ตรวจเข้มข้นมาตลอด และไม่เคยมีตอนไหนไม่เข้มข้นเลย ทุกบัญชีทุกธุรกรรมอยู่ในสายตา อยู่ในที่เปิดเผย และโปร่งใสมานานมากแล้ว และขอยืนยันว่าที่โดนตรวจสอบทั้งหมดถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง ที่ดินทุกแปลงทุกตารางวาที่ตนและครอบครัวมี มีการออกโฉนดโดยรัฐทั้งหมด ไม่มีการซื้อที่ดินที่ไม่มีโฉนด
“ส่วนเรื่องที่ดินอัลไพน์เกิดมาเป็นระยะเวลานานแล้ว ตอนที่ครอบครัวดิฉันซื้อที่ดินแปลงนี้ ซึ่งตอนนั้นอายุประมาณ 11 ขวบ ก็ไม่แน่ใจว่าท่านจะต้องอภิปรายไม่ไว้วางใจตั้งแต่ตอนนั้นหรือไม่ และหลังจากนั้นเมื่อมีคดีความ และขั้นตอนที่เกิดขึ้น ก็เป็นไปตามกระบวนการทุกอย่าง จนดิฉันมาเป็นนายกฯ ก็ไม่มีการไปแทรกแซงใด ๆ และไม่เคยไปสั่งหน่วยงานไหนให้แทรกแซง หรือทำเรื่องนี้ให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้”
ต่อมานายวิโรจน์ขอใช้สิทธิ์พาดพิงว่า นายกฯ จะเสียภาษีมากกว่าใคร นั่นเป็นหน้าที่อยู่แล้ว ตนมั่นใจว่าคนไทย 60 ล้านคนหรือมากกว่านั้น เสียภาษีน้อยกว่านายกรัฐมนตรีทั้งนั้น แต่ถ้ากลับไปดูมาตรา 50 (9) ของรัฐธรรมนูญ ประชาชนจะเสียมากหรือเสียน้อยทุกคนมีศักดิ์ศรีเท่ากัน ถือว่าทำได้ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ แม้เสียภาษีมาก แต่หาเทคนิคในการหลบเลี่ยงภาษีต่างหากที่น่ารังเกียจ
จากนั้นเวลา 15.30 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ชี้แจงกรณีที่ดินเขากระโดง และที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ว่า รัฐบาลและกระทรวงมหาดไทยไม่ใช่กิจการของคนใดคนหนึ่งหรือครอบครัวของใคร ดังนั้นจะมาแบ่งผลประโยชน์ไม่ได้ทั้งสิ้น และนายกฯ ไม่เคยแทรกแซงสั่งการใดๆ ทั้งตรงทางอ้อม
“โดยสรุปกรณีที่ดินเขากระโดงอยู่ในกระบวนการพิจารณาของศาลปกครองแล้ว ดังนั้น ทั้งกรณีที่ดินเขากระโดงและที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์จึงไม่มีความเกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด ไม่มีการตกลงแลกประโยชน์กัน และขอจบด้วยคำว่าสู้ๆ แพทองธาร” นายอนุทินกล่าว
อัดทุจริตเชิงนโยบาย
ในเวลา 15.35 น. นายวรภพ วิริยะโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชน.ได้อภิปรายกล่าวหาว่า โกงค่าไฟประชาชน ทุจริตเชิงนโยบาย สานต่อขบวนการค่าไฟแพง ปล้นเงินประชาชนคนทั้งประเทศไปแลกดีลจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนพลังงานที่สนิทสนมกับนายกฯ โดยเฉพาะการรับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียนระยะ 2 รอบ 3,600 เมกะวัตต์
ทั้งนี้ ในการอภิปรายของนายวรภพได้มีการประท้วงจาก สส.พรรค พท.ว่าไม่ควรใส่ร้ายพรรคเพื่อไทย ซึ่งนายวันมูหะมัดนอร์ก็วินิจฉัยว่า เป็นการอภิปรายรัฐบาลและนายกฯ ขอให้เว้นเรื่องชื่อพรรค ซึ่งก็ทำให้ สส.พรรค ปชน.มีการประท้วงการทำหน้าที่ของประธาน
ต่อมานายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน ได้ลุกขึ้นชี้แจงเรื่องค่าไฟแพง โดยยืนยันเดินหน้าแก้ปัญหามาตั้งแต่ยุคนายเศรษฐา ทวีสิน พร้อมยืนยันไม่มีการเอื้อประโยชน์ให้นายทุน และในเวลาต่อมานายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม ได้ชี้แจงกรณีเหมืองทองอัคราเช่นกันว่า ตั้งแต่เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ ไม่มีการไปดีลลับต่อรองเพื่อรักษาผลประโยชน์ของใคร นายกฯ ไม่เคยสั่ง ยืนยันว่าเรื่องนี้ดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย
ในช่วงเย็น นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชป. อภิปรายว่า นายกฯ ผู้ซึ่งไม่มีความรับผิดชอบต่อตำแหน่งหน้าที่ ไม่ปกป้องผลประโยชน์สาธารณะ จงใจสานต่อการทุจริตเชิงนโยบาย ประพฤติตนเสมือนหุ่นเชิดการเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้อง และกลุ่มทุน โดยมี 2 เรื่องที่เป็นการทุจริตเชิงนโยบาย และเป็น 2 เรื่องซูเปอร์ดีลระดับ 100,000 ล้านบาท ซึ่งสืบทอดมาจากขั้วอำนาจเก่า แต่มีการตัดสินใจดำเนินการอย่างมีนัยสำคัญโดยรัฐบาลปัจจุบัน ภายใต้การนำของนายใหญ่และนายน้อย
นายสุรเชษฐ์กล่าวว่า ดีลแรกเป็นเรื่องการแก้สัญญาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ที่มีการแก้สัญญาเพื่อหากินกับการปรับงวดเงินที่รัฐร่วมลงทุน 149,650 ล้านบาท และยอมให้นายทุนผ่อนชำระค่าสิทธิแอร์พอร์ตลิงก์ 10,671 ล้านบาท โดยลักษณะของทุนใหญ่ที่เข้ามาหากินกับโครงการรัฐในสัมปทานนี้คือ คว้าสัมปทานให้ได้ก่อน และค่อยหาประโยชน์เพิ่มด้วยการแก้สัญญา ซึ่งโครงการนี้นายทุนใหญ่เพื่อนของนายใหญ่คว้าสัมปทานไว้ในมือแล้ว
“โครงการนี้ไม่ดีจริงก็ขอให้ยกเลิกไป เพราะเอกชนผิดสัญญาไปแล้ว ไม่ใช่เลื่อนปล่อยให้ปัญหาคาราคาซังแบบนี้ ซึ่งรัฐบาลเปลี่ยนท่าทีจากไม่เลื่อน ไม่แก้ เป็นเลื่อนเพื่อแก้ ทำให้เอกชนได้ประโยชน์ แล้วใครคือหัวโจกใหญ่ดีลระดับแสนล้านแบบนี้ ก็ท่านนายกฯ กับพ่อนั่นแหละ ท่านนายกฯ หากินกับเขาด้วยหรือไม่” นายสุรเชษฐ์กล่าว
สำหรับซูเปอร์ดีลเรื่องที่ 2 ที่หลอกกินต่อ ไม่ยอมลุกจากโต๊ะสักที คือการขยายสัมปทานทางด่วน ที่กำลังมีการแก้สัญญาเพื่อหาต่อจากสัมปทานเดิมที่มีกำไรงาม ทุนใหญ่ไม่อยากคืนรัฐที่ได้สิทธิ์กินเต็มที่แล้ว แต่อยากกินต่อ จึงขอขยายสัมปทานไปเรื่อย และยิ่งสบโอกาสจากการเมืองตระกูลชิน โดยมีความพยายามหาเหตุในการขยายสัมปทานอีกครั้ง คือทางด่วนซ้อนทางด่วน บริเวณถนนงามวงศ์วาน ไปถนนพระราม 9 และยังเส้นอื่นๆ อีกด้วย ที่เป็นทางพิเศษชั้นที่ 2 คร่อมขั้นที่ 2 (Double Deck) ซึ่งรัฐบาลและนายทุนประเมินว่า Double Deck เพียงอย่างเดียว ขาดทุนยับแน่ แต่ก็อยากหาสร้าง เป็นการลงทุนเพื่อบังหน้า แต่เนื้อแท้แล้วอยากกอดก้อนทุนเดิมที่กำไรงามให้นานขึ้น
“ดีลขยายสัมปทานทางด่วน คือจะมีกินมีใช้ไปพร้อมๆ กันระหว่างนายทุนกับนายใหญ่ แต่คนที่ต้องจ่ายคือประชาชน ที่ต้องจ่ายค่าทางด่วน เพื่อให้เอาไปแบ่งระหว่างนายทุนกับนายใหญ่มากขึ้นและนานขึ้น”.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
‘อ้วน-ทวี’ระทึก! ศาลรับร้องจุ้นสว.
เซ่นพิษฮั้วเลือก สว. ศาล รธน.มติเอกฉันท์รับคำร้องสอบ "ภูมิธรรม-ทวี"
10เม.ย.ชี้ชะตาชั้น14 หมออมรสรุปสอบชงแพทยสภา/อิ๊งค์ฉลุย319เสียงไว้ใจ
ผ่านฉลุย โหวตลงมติไว้วางใจ "แพทองธาร" ท่วมท้น 319 ต่อ 162 เสียง งดออกเสียง 7 เสียง
บิ๊กเต่าสยบนาคี รวบ‘แก๊งโกงยา’ ทำรัฐสูญ60ล้าน
"บิ๊กเต่า" นำทีม ป.ป.ช.-ป.ป.ท. เปิดปฏิบัติการ “สยบนาคี” จับ “พ.อ.หญิง-หมอหญิง” ตัวการทุจริตยา รพ.ทหารผ่านศึก
จับตาครม.เคาะ‘กาสิโน’
จับตา! คลังชง “กาสิโน” เข้า ครม. “จุลพันธ์” เผยส่งกลับร่างพ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ ถึงมือเลขาฯ ครม. ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว
ตรึงค่าไฟงวดใหม่4.15บาท
กกพ.ประกาศตรึงค่าไฟงวดใหม่ พ.ค.-ส.ค.68 ที่ 4.15 บาท/หน่วย
'สมชัย' ให้คะแนน 'ผู้นำฝ่ายค้าน' สรุปซักฟอก เกือบดีแต่ไม่ดีพอ
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า เกือบดีแต่ไม่ดีพอ