สอบพยานคดีฮั้วสว.ทุกราย!

0-0x0-0-0#

“แสวง” แจงทำหน้าที่คุมเลือก สว.ตามกฎหมาย ด้าน “กกต.” ยกคำร้องเลขาธิการ กกต.ไม่ปฏิบัติหน้าที่ “ดีเอสไอ" ถกนัดแรก คดีฟอกเงินปมฮั้วเลือก สว. เร่งสอบสวนให้จบเร็ว  จ่อเรียกสอบพยานทั้งหมด “ยุทธนา” ย้ำเป็นหน้าที่ ไม่ใช่เรื่องการเมือง

เมื่อวันที่ 21 มี.ค. นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)  กล่าวถึงกรณีถูกฟ้องร้องเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 ในการกำกับดูแลการจัดการเลือก สว.67 ว่า ก่อนการเลือก สว. กกต.ได้ออกระเบียบให้แนะนำตัวเฉพาะทางเอกสาร ผู้สมัครไม่สามารถพูดคุยหรือขอคะแนนกันเองได้ และห้ามนำเอกสารเข้าสถานที่เลือก แต่ในท้ายที่สุดศาลปกครองมีคำพิพากษาให้ยกเลิกระเบียบดังกล่าว ดังนั้นผู้สมัครทุกคนจึงมีเสรีภาพตามคำพิพากษาศาลในการแนะนำตัวและนำเอกสารเข้าสถานที่เลือก ส่วนที่ กกต.ไม่ระงับยับยั้งเหตุการณ์ในวันที่มีการเลือกระดับประเทศนั้น  ศาลชี้เอาไว้ว่าสิ่งที่ไม่ได้ขัดต่อกฎหมาย กกต.ไม่สามารถจะกระทำอันใดได้ โดยในวันเลือก กกต.ได้วางมาตรการป้องกันที่อาจจะเกิดเหตุไม่สุจริตและเที่ยงธรรม มีการตั้งโต๊ะรับเรื่องคัดค้านกรณีที่มีการเห็นว่าอาจจะมีการกระทำที่ผิดปกติ ยืนยันการปฏิบัติหน้าที่สามารถตรวจสอบจากกล้องวงจรปิดได้

"โพยอาจเป็นเรื่องของผู้มีสิทธิเลือก หรือบันทึกช่วยจำ เขาศึกษาจากเอกสารแนะนำตัว สว.3 เพราะการเลือกไม่ได้กากบาท เหมือนกับเลือกตั้ง สส. หมายเลขต้องเขียนเอง เลือกรอบแรกต้องเขียน 40 คน ซึ่งบางคนอาจจะจำไม่ได้ มาจากต่างจังหวัด ศาลคงเห็นตรงนี้ ถึงยกเลิกระเบียบ กกต. และให้สามารถนำเอกสารเข้าไปได้" นายแสวงระบุ

นายแสวงกล่าวว่า ส่วนข้อสังเกตการทำงานของ กกต.ในการตรวจสอบสำนวนล่าช้านั้น มีสำนวน 577 เรื่อง ซึ่งกระบวนการทั้งหมดใช้เวลาไม่เกิน 1 ปี พิจารณาเสร็จสิ้นไปแล้ว 319 เรื่อง สำนวนอยู่ระหว่างการพิจารณาใน 2 ชั้น เรียกว่า 3+2 โดย 3 คือ สำนวนปกติ เป็นสำนวนเกี่ยวกับคุณสมบัติทั้งสิ้น ส่วน 2 คือ สำนวนพิเศษที่ตั้งรองเลขาธิการ กกต.กับตำรวจ ขึ้นมาดูแลเรื่องฮั้ว กับอีก 1 คณะที่ตั้งล่าสุด 2 คณะ โดยคณะแรกดูเรื่องสำนวนฮั้วทั้งหมด ส่วนคณะที่ 2 ดูเรื่องฮั้วที่รับมาจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในชั้นสอบสวนเหลือแค่นี้ ขณะที่ในชั้นสำนักงาน มี 77 เรื่อง คือสรุปสำนวนและทำความเห็นโดยเลขาธิการ กกต. ซึ่งเลขาฯ กกต.ไม่ได้ทำสำนวนเองทุกสำนวน เป็นหน้าที่ของรองเลขาธิการ กกต.ด้านการสืบสวนสอบสวน เป็นผู้ทำความเห็น ขณะที่สำนวนนอกจากนั้นส่งไปให้คณะอนุวินิจฉัย 105 สำนวน และมีสำนวนที่อยู่ระหว่างการเสนอเข้าสู่ที่ประชุม กกต. 60 สำนวน เลขาธิการ กกต.มีหน้าที่เร่งรัดหากต้องทำสำนวนให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี 

มีรายงานข่าวจากสำนักงาน กกต.แจ้งว่า กกต.ได้มีมติยกคำร้อง กรณีผู้ร้องยื่นร้องนายแสวง โดยอ้างว่าก่อนการประกาศผลการเลือก สว. เลขาธิการ กกต.หลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ ทุจริตต่อหน้าที่ ซึ่ง กกต.ได้พิจารณารายงานสืบสวน ตลอดจนหลักฐานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องประกอบกันแล้ว เห็นว่าข้อเท็จจริงจากการสืบสวนรับฟังได้ว่า ผู้ร้องที่ยื่นคำร้องและให้ถ้อยคำว่า ในวันเลือกระดับประเทศได้เห็นผู้มีสิทธิ์เลือกทุกกลุ่มสวมเสื้อสีเหลือง และได้ตรวจสอบข้อมูลแนะนำตัวของกลุ่มที่ 13 ในส่วนประวัติการทำงานหรือประสบการณ์การทำงานในกลุ่มที่สมัครไม่ปรากฏหลักฐานที่แสดงได้ว่าผู้สมัครในกลุ่มดังกล่าวเป็นบุคคลที่มีประสบการณ์ในด้านที่สมัครไม่น้อยกว่า 10 ปี และมีการลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครเป็นกลุ่ม ซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติ โดยตามข้อมูลที่ผู้ร้องอ้างอิงเป็นเพียงข้อสันนิษฐานของผู้ร้อง และการตรวจสอบสถานภาพสมาชิกพรรคการเมืองของผู้มีสิทธิ์เลือกระดับประเทศในกลุ่ม 13 จำนวน 147 คน ไม่พบว่าผู้มีสิทธิ์เลือกนั้นเป็นสมาชิกพรรคการเมือง

“และประเด็นที่ผู้มีสิทธิ์เลือกได้สวมเสื้อที่มีสีเดียวกัน ก็ไม่ได้มีกฎหมายระเบียบห้ามการกระทำดังกล่าว อีกทั้งถือเป็นสิทธิส่วนบุคคลในการแต่งกาย ประกอบกับการเลือก สว.ครั้งนี้ เลขาธิการ กกต.ผู้ถูกร้องได้กำหนดมาตรการต่างๆ เพื่อควบคุมการเลือก การนับคะแนน การรายงานผลนับคะแนนให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ตามหน้าที่และอำนาจที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว.”

รายงานข่าวระบุว่า ไม่ปรากฏพยานหลักฐานว่า เลขาธิการ กกต.ในฐานะผู้ถูกร้อง หลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติหน้าที่ ทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำการอื่นใดอันเป็นการขัดขวางมิให้การเลือกเป็นไปตามกฎหมาย หรือตามรัฐธรรมนูญ หรือมีการจัดตั้งหรือส่งกลุ่มบุคคลมารับสมัครเลือกเพื่อลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครที่กำหนดไว้ล่วงหน้าตามที่มีการกล่าวหาแต่อย่างใด อีกทั้งไม่ปรากฏพยานหลักฐานที่ยืนยันได้ว่ามีการกระทำฝ่าฝืนกฎหมายตามข้อกล่าวหา ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า เลขาธิการ กกต.กระทำการเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. ปี 2561 มาตรา 32 ตามคำร้อง จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง

วันเดียวกัน มีความเคลื่อนไหวกรณีคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) มีมติเห็นชอบให้รับคดีความผิดอาญาฐานฟอกเงิน ในคดีฮั้ว สว.67 ไว้เป็นคดีพิเศษที่ 24/2568 ซึ่งต่อมาโดยอำนาจของอธิบดีดีเอสไอ ได้เซ็นคำสั่งแต่งตั้งคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ 41 รายชื่อ เพื่อสืบสวนและสอบสวนตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 นั้น ในช่วงบ่ายวันที่ 21 มี.ค. คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 24/2568 ที่มี พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีดีเอสไอ เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน ได้มีการประชุมเปิดคดีครั้งที่ 1

โดย พ.ต.ต.ยุทธนาเปิดเผยว่า เป็นการประชุมคณะพนักงานสอบสวนร่วมกับอัยการครั้งแรกหลังจากรับเป็นคดีพิเศษ โดยที่ประชุมได้มีการกำหนดแนวทางการสอบสวน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการสรุปข้อเท็จจริงและหลักฐานที่ได้มาจากการสืบสวน เพื่อให้พนักงานสืบสวนและพนักงานอัยการได้ทราบข้อเท็จจริงพฤติการณ์ที่มีการกล่าวหาเพื่อให้มีข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะเพื่อรวบรวมพยานหลักฐานต่อไป ซึ่งข้อบังคับต้องมีการบันทึกปากคำพยาน รวมทั้งมีข้อยกเว้นบางเรื่องไม่สำคัญก็สามารถมอบหมายให้พนักงานสอบสวนไปสอบฝ่ายเดียวได้ แต่ต้องมาสรุปเพื่อให้อัยการได้ทราบในภายหลัง นอกจากนี้จะต้องดูตัวละครว่ามีใครที่มีส่วนในการรับโอนเงินบ้าง รวมถึงจะต้องตรวจสอบสเตทเมนต์ ตั้งแต่ปี 67 และเอกสารซึ่งอาจได้มาโดยที่ไม่ถูกต้อง

พ.ต.ต.ยุทธนากล่าวอีกว่า ในชั้นนี้เป็นการรวบรวมพยานร่วมกับพนักงานอัยการ และพยานบุคคลต่างๆ ต้องมีการเรียกสอบปากคำอีกครั้ง ส่วนจำนวนบุคคลมีค่อนข้างมาก แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ ส่วนที่ก่อนหน้านี้มีรายชื่อบุคคลหลุดออกมากว่า 7,000 รายชื่อนั้น พบว่ามีการเกี่ยวข้องกับเส้นทางการเงินหรือคดีก็ต้องเรียกมาสอบตามหลักการ ไม่มีข้อยกเว้น ส่วนปลายทางหากพบการกระทำความผิดทางคดีอาญาก็ต้องมีการดำเนินคดี แต่ต้องมีการให้ผู้ถูกกล่าวหาได้ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาได้

อธิบดีดีเอสไอกล่าวว่า จะพยายามประชุมกันเดือนละครั้งเป็นอย่างน้อย ส่วนพยานจะเรียกผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด เช่น กลุ่มโหวตเตอร์ หรือกลุ่มพลีชีพ เพื่อสอบว่ารับทราบ หรือรู้เห็นอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ นอกจากนี้กลุ่มที่เคยรับเงินจะกลับมาเป็นพยานให้ข้อมูลนั้นจะมีความผิดด้วยหรือไม่นั้น จะต้องพิจารณาร่วมกับพนักงานอัยการ โดยการนัดหมายพยานจะเริ่มให้เร็วที่สุด และจะพยายามเร่งรัดให้เร็วที่สุด ส่วนความผิดฐานอื่นที่เกี่ยวพันต่อเนื่องก็สามารถดำเนินคดีเพิ่มเติมได้ เพราะถือว่าเป็นคดีพิเศษด้วย

ส่วนที่มีการมองว่า เป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับการเมืองนั้น พ.ต.ต.ยุทธนาชี้แจงว่า มีผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษก็ต้องดำเนินการตามกระบวนการ ส่วนใครจะมองว่าเป็นเรื่องการเมืองก็สามารถที่จะคิดได้ ยืนยันว่าดำเนินการเป็นไปตามขั้นตอน

ด้านนายสุริยน ประภาสะวัต อัยการพิเศษฝ่ายการสอบสวน 1 กล่าวว่า พยานหลักฐานทั้งหมดถ้าสามารถระบุได้ว่าใครเป็นผู้กระทำความผิด เราต้องสอบให้หมด.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง