"ภูมิธรรม" พอใจยกคณะไปเยี่ยม "อุยกูร์" ยันทำดีที่สุด ไม่มีจัดฉาก โต้ดรามา “น้ำตาไหล” โต้กลับไม่ใช่หนังฮอลลีวูด มั่นใจจีนทำตามคำพูด ฝ่ายค้านเชื่อพิสูจน์ความจริงไม่ได้ “กัณวีร์” บอก จม.ผิดซอง หวังจับโป๊ะจัดฉาก เตรียมข้อสงสัยไปอภิปรายในศึกซักฟอก
เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 สื่อมวลชนที่ติดตามรายงานภารกิจวันที่สอง ของคณะนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม, นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ในการเดินทางเยี่ยมชาวอุยกูร์ ที่เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ สาธารณรัฐประชาชนจีน ว่าคณะได้เดินทางไปยังมัสยิดอิดกะฮ์ พร้อมกับหารือผู้นำศาสนาในพื้นที่ ทั้งนี้ ผู้นำศาสนาระบุว่า ดีใจมากที่มีการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับมา และหากมีโอกาสอยากไปเยี่ยม พร้อมบอกว่าคนไทยไม่ต้องกังวล ทุกคนเหล่านี้อยู่กับครอบครัวก็มีความสุข และรัฐบาลจีนจะดูแลอย่างดี ให้มีชีวิตอย่างปกติ
จากนั้น นายภูมิธรรมยังได้นำคณะไปเยี่ยมชาวอุยกูร์ 1 ใน 40 คน ที่ถูกส่งตัวกลับจากไทย ซึ่งพักอาศัยอยู่เมืองคาซือ เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ โดยมีชายชาวอุยกูร์และครอบครัวรอต้อนรับ พร้อมเล่าว่า พ่อแม่และพี่สาวไปรอรับถึงเครื่องบิน และตรงกลับมายังบ้านทันที ไม่ได้ถูกกักตัวไว้ ส่วนตัวคิดถึงครอบครัวมาก เพราะไม่ได้เจอกันมา 12 ปี โดย ชายชาวอุยกูร์เล่าสาเหตุที่เดินทางออกจากซินเจียงขณะที่ยังเป็นวัยรุ่น และมีคนหัวรุนแรงชวนไปต่างประเทศ จุดหมายปลายทางคือประเทศตุรกี แต่ถูกจับกุมตัวก่อนขณะเปลี่ยนเครื่องที่ประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ขณะถูกกักตัวที่ไทย ได้รับการดูแลดี แต่คิดถึงครอบครัว และเป็นห่วงแม่ที่สุขภาพไม่ดี อีกทั้งภรรยาก็เพิ่งจะมีลูกคนที่ 2 อายุได้เพียง 2 ขวบ เมื่อกลับมาอยู่กับครอบครัวแล้ว ลูกสาวคนเล็กอยู่กับตนเอง ส่วนลูกสาวอีก 1 คนอยู่กับภรรยาซึ่งได้หย่ากันไป และจะพยายามตามกลับมาให้ได้
นายภูมิธรรมได้สอบถามว่าระหว่างถูกกักตัวอยู่ที่ประเทศไทย ได้ส่งจดหมายออกมาบ้างหรือไม่ รวมถึงคนอื่นที่ถูกกักตัวอยู่ด้วยกัน ได้รับคำตอบว่า ไม่ได้เขียนจดหมายสักฉบับ และไม่ได้ข่าวว่าเพื่อนเขียนจดหมายเช่นกัน แต่ขอขอบคุณรัฐบาลไทยและจีน ที่ร่วมมือกันส่งตัวกลับบ้าน เวลานี้รู้แล้วว่าอยู่กับครอบครัวมีความสุข ปลอดภัยดี ไม่ต้องกังวล ขณะที่ พ่อและแม่ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ดีใจมากไม่ได้เจอลูกมา 12 ปี คิดถึงมาก ตอนนั้นไม่รู้ว่าลูกไปไหน แต่เมื่อกลับมาได้แล้วก็ดีใจ
นายภูมิธรรมให้สัมภาษณ์ว่า ชาวอุยกูร์และทางการจีนขอความร่วมมือให้เบลอหน้าเวลานำเสนอข่าว แต่สื่อที่มาทำข่าวได้เห็นหน้าจริงๆ ได้เปรียบเทียบว่าเป็นคนที่อยู่ในเครือข่ายและมีชื่อถูกส่งมาจริงหรือไม่ ทั้งนี้ ตนได้สอบถามเหตุผลในการเบลอหน้า ซึ่งบางคนก็บอกว่า เพราะบางคนไม่สบายใจ เนื่องจากกลับมาแล้วก็ได้ชีวิตใหม่แล้ว เพราะฉะนั้นอยากอยู่อย่างสงบ ไม่อยากเป็นบุคคลที่ถูกจับตามองจากสาธารณะ อีกทั้งบางคนเคยถูกชักจูงจากกลุ่มมุสลิมที่ต้องการเปลี่ยนแปลง จึงกลัวว่าถ้ากลับมาแล้ว ก็ไม่อยากไปแตะหรือเกี่ยวข้องอีก จึงยินดีให้เราสัมภาษณ์ แต่ขอให้เขาได้ใช้ชีวิตส่วนตัว ซึ่งถือเป็นหลักสิทธิมนุษยชน และสิทธิส่วนตัว ที่พวกเขาสามารถทำได้
นายภูมิธรรมย้ำว่า เราเปิดกว้าง หากใครคิดว่ามีการจัดฉาก ก็ไปหาล่ามมานั่งดูได้ หรือถ้าคิดว่าจะเอาเรื่องนี้เป็นประเด็นหลัก ก็พิสูจน์ได้ทั้งหมด เพราะเราทำครั้งนี้เราโปร่งใสหมด ส่วนการแสดงความรู้สึกห้ามไม่ได้ เขาไม่ใช่ดาราฮอลลีวูด บอกให้ร้องไห้ก็ร้องได้เลย อันนี้มาถึงเขาน้ำตาซึม น้ำตาคลอ พอถามว่าดีใจไหม หรือรู้สึกอย่างไร น้ำตาก็ไหลออกมาอย่างที่เห็น ตนแตะมือเขาเบา แต่เขาบีบมือแน่น แม้กระทั่งผู้หญิงที่เป็นพี่สาว ก็บีบมือตน ซึ่งเป็นการแสดงออกได้ชัดเจนจริงๆ แทบไม่ต้องอธิบายอะไรเลย ดูภาพ ฟังเสียง ดูสายตา ดูอารมณ์ความรู้สึก ภาพมันตอบทั้งหมด และเป็นภาพที่เกิดขึ้นจากความจริง ตอบได้ง่ายกว่า และพวกเขาไม่ใช่ดาราหนังไทย หรือดาราซีรีส์ฮอลลีวูด เพราะฉะนั้นดูแล้ววิเคราะห์เอา พร้อมขอให้สื่อบางส่วนใจกว้างขึ้นหน่อย ตนให้ความสำคัญกับประชาชนมากที่สุด ดูแล้วก็ตัดสินใจได้
สำหรับผลลัพธ์จากการพูดคุย ยิ่งตอกย้ำหรือไม่ว่าเป็นการตัดสินใจถูกต้องในการส่งตัวกลับมา นายภูมิธรรมกล่าวว่า เดิมตนคิดว่าได้ตัดสินใจกับคณะที่เกี่ยวข้อง เราพยายามทำดีที่สุดแล้ว ถ้าพูดตามตรงเราไม่อาจรับประกันใครได้ 100% เพราะไม่ใช่ตัวเรา แต่เรามั่นใจในจีน ถือว่าสิ่งที่เขาให้คำมั่นกับเราตั้งแต่ระดับนายกรัฐมนตรี หรือผู้นำระดับสูงของเขา ก็ให้คำมั่นกับนายกรัฐมนตรีไทย ว่าไม่ต้องห่วง เขาจะดูแลอย่างดี นี่คือผู้นำระดับโลก ก็ควรรับฟังได้ และเราไม่ได้ปล่อยผ่านในรายละเอียด ขอให้เขาออกแถลงข่าวยืนยัน ซึ่งเขาก็ออกหนังสือสำคัญทางการทูตที่ทั่วโลกรับรองมาว่า เขาจะมารับและดูแลสุขภาพคนเหล่านี้ และก็หางานให้ทำ แต่ก็ยังมีคนตั้งคำถามอีก เราจึงให้คนตามไปทั้ง สมช.และทูตไทย และครั้งนี้ตนก็เดินทางมาเอง ในระดับรองนายกรัฐมนตรี และยังมีรัฐมนตรียุติธรรม พร้อมกับสื่อมวลชนอย่างอิสระ จากที่ได้ไปเยี่ยมมาผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจ
ทางด้าน พ.ต.ท.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม พร้อมด้วย พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้แยกไปพบชาวอุยกูร์ที่ถูกไทยส่งกลับเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ โดย พ.ต.อ.ทวี ได้สอบถามความเป็นอยู่หลังถูกส่งกลับมาบ้านเกิด ซึ่งชายชาวอุยกูร์ตอบว่ารัฐบาลท้องถิ่นได้พาตนไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจสุขภาพ ซึ่งไม่มีค่าใช้จ่าย และยังพาตนกับครอบครัวไปเที่ยวข้างนอกในเมืองอื่น ทำให้ตนรู้สึกสบายใจ ซึ่งสมาชิกในครอบครัวก็ปลอดภัย ตอนนี้ตนรู้สึกว่าได้ชีวิตใหม่เป็นปกติแล้ว ขณะนี้ตนอายุ 36 ปี ก่อนออกนอกประเทศ ก็ได้แต่งงานแล้ว มีลูก 3 คน โดยมีอาชีพเป็นช่างตัดผม และมีร้านตัดผมเป็นของตัวเอง
ชายชาวอุยกูร์ยังเล่าถึงเหตุการณ์ก่อนถูกจับว่า กลุ่มก่อการร้ายได้โกหกทำให้ตนหลบหนีออกนอกประเทศผิดกฎหมายแต่ตอนนี้ได้กลับบ้านแล้ว ตอนนี้ปัจจุบันมาเป็นชาวนา ยืนยันว่าไม่มีการบังคับ มีเสรีภาพร้อยเปอร์เซ็นต์ และมีเสรีภาพ พร้อมยืนยันว่าไม่เคยถูกทำร้าย โอกาสนี้ก็ต้องขอบคุณประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจากประเทศไทย ตนรู้สึกประทับใจและขอบคุณรัฐบาลท้องถิ่นอีกครั้ง กลับมาครั้งนี้ไม่เพียงแต่ซินเจียงพัฒนา แต่ทั้งประเทศจีนทันสมัยมาก
“ตอนที่ไปไทย ก็หลบหนีข้ามชายแดนแบบผิดกฎหมาย ไม่แน่ใจโดนจับที่ไหน (คิดว่าคงเป็นหาดใหญ่) ตอนที่โดนจับ มีผมคนเดียว และเมื่อกลับจากไทยแล้ว ไม่ได้เคยติดต่อกับคนอื่นใน 40 คนเลย”
สำหรับบรรยากาศการพูดคุยกับครอบครัวชาวอุยกูร์นี้ มารดาดูมีความสุขหลังได้พบกับลูกชาย และกอดหอมแก้ม แสดงความคิดถึง ในขณะที่ลูกสาวของชายคนนี้ก็ได้สวมกอดพ่อตัวเอง เพราะขณะที่เขาถูกจับลูกสาวมีอายุเพียง 4 ขวบเท่านั้น จากนั้นครอบครัวนี้ได้ร้องเพลงพื้นถิ่นโชว์ซึ่งมีความหมายของเพลงว่า ดวงดาวที่สองสว่างบนฟ้า เป็นประกายเหมือนตาของแม่ ก่อนที่มารดาจะร้องอีก 1 บทเพลง ซึ่งเป็นเพลงที่ชื่นชมและขอบคุณคุณแม่ที่ดูแลลูกมาจนเติบโต
ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม สส.พรรคประชาชน กล่าวว่า การพูดคุยและได้พบหน้าเพียงพอที่จะเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดได้หรือไม่ ตนคิดว่าไม่ใช่ เพราะเท่าที่ตนทราบว่าการไปครั้งนี้ สื่อมวลชนก็ไม่ได้มีอิสระ หรือสื่อมวลชนที่ไปไม่ได้มีเสรีภาพในการทำข่าวขนาดนั้น ดังนั้นคิดว่าโดยภาพรวมทั้งหมดไม่ได้ตอบอะไร การส่งกลับครั้งนี้ ทำให้ประเทศไทยทำงานกับประเทศอื่นที่มีจุดยืนคนละแบบยากยิ่งขึ้น ทำให้การเจรจาการค้ามีอุปสรรคยิ่งขึ้น ทำให้ถูกมองในมิติสิทธิมนุษยชนยากยิ่งขึ้น จึงอยากให้ช่วยกันตั้งคำถาม
นายกัณวีร์ สืบแสง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม กล่าวว่า ชาวอุยกูร์เป็นชาวมุสลิม จากภาพที่ออกมาน่าตกใจพอสมควร ที่มีการกอดแขนท่านรองนายกฯ โดยผู้หญิงชาวอุยกูร์ที่บอกว่าเป็นคุณแม่ และน้องสาว หรือพี่สาว ตอนที่ตนเองไปเจอผู้หญิงมุสลิม ต้องใส่ฮิญาบ จึงมองว่าไม่สามารถเป็นขนาดนั้นได้ ในภาพรวม เป็นภาพที่ย้อนแย้งกับความเป็นจริง ถ้าบอกว่าความพัฒนาเกิดขึ้นแล้ว ตนเองว่าพี่น้องมุสลิมทั่วโลก คงบอกว่าอันนี้ไม่ใช่การพัฒนาในเชิงศาสนา แต่เป็นการสร้างภาพหรือไม่ ดังนั้น จึงมีอะไรหลายอย่าง และเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่แสดงให้เห็นว่ามันไม่จริง ตอนแรกในการอภิปรายไม่ไว้วางใจเตรียมไว้ 3 เรื่อง คือ ชายแดนใต้, ชายแดนไทย-เมียนมา และเรื่องอุยกูร์ แต่ตอนนี้เห็นว่าเป็นประเด็นที่มีรายละเอียดเยอะ จึงจะมุ่งเน้นอภิปรายเรื่องอุยกูร์อย่างเดียวทั้งหมด 40 นาที นำหลักฐานทั้งหมดมาแสดงให้เห็น หลักฐานต่างๆ ที่บอกว่าเป็นจดหมายผิดซอง คลิปเสียง ภาพ ไทม์ไลน์ต่างๆ ออกมาว่ามันมีข้อกังขาอะไรบ้าง ที่ทำให้ไม่สามารถตอบอย่างชัดเจนได้.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
พังงาจับ4หนุ่ม ขนปืน-กระสุน ภูเก็ตสั่งคุมเข้ม
ตำรวจพังงาจับ 4 ผู้ต้องหาขนอาวุธสงคราม ผงะ! เตรียมไปส่งที่ภูเก็ต
‘ปปช.’รับคดีชั้น14สุดอืด ธนกรดีดปากนิติสงคราม
เลขาฯ ป.ป.ช.รับคดีชั้น 14 อืด เหตุติดปัญหาขอข้อมูลจากหน่วยงานอื่น
โพลชี้คนไทยยี้‘กาสิโน’ หวั่นสร้างความขัดแย้ง
"นิด้าโพล" เผย ปชช.มีคำถามคาใจ "สถานบันเทิงครบวงจร" ที่รวม "กาสิโน" เพียบ!
ทักษิณลั่นซื้อหนี้เกิดปีนี้แน่!
“สวนดุสิต” พบเกินครึ่งหนุนแนวคิด “ทักษิณ” ซื้อหนี้ แต่หวั่นไม่โปร่งใสประโยชน์แอบแฝง
อยู่ในกติกาตอบได้! แม้วการันตีลูกอิ๊งค์เย้ยปชน.อย่ารุ่นใหม่แค่อายุ
“ทักษิณ” ติวการบ้าน “อิ๊งค์” เชื่อตอบได้ทุกเรื่องตรงไปตรงมา
‘อิ๊งค์’ สนุกสนาน! โชว์ภาพดินเนอร์พรรคร่วมก่อนขึ้นเขียงอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ยิ้มก่อนเครียด! "แพทองธาร" โพสต์ภาพดินเนอร์พรรคร่วมฯ หัวเราะชื่นมื่น บอกสนุกสนาน-มีกำลังใจ