คลังรับลูกทักษิณ ซื้อหนี้กลุ่มแสนบ.

ว่าตามนายใหญ่! “คลัง” เล็งซื้อหนี้ประชาชนกลุ่มไม่เกิน 1 แสนบาท หวังอุ้มหลุด  NPL พร้อมเร่งดันมาตรการลดค่าธรรมเนียมโอน-จดจำนอง คาดช่วยจูงใจผู้ซื้อบ้าน ด้าน "กรณ์"  หนุน ขีดเส้นช่วยลูกหนี้ที่หนี้ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อคน

เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 นายพิชัย ชุณหวชิร  รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง กล่าวถึงการหารือกับสมาคมธนาคารไทยเมื่อวันที่ 18 มี.ค.ที่ผ่านมาว่า ได้มีการหารือถึงการปล่อยสินเชื่อใหม่   รวมถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน ซึ่งจะเป็นโครงการขั้นต่อไปที่ต่อเนื่องจากโครงการคุณสู้  เราช่วย ที่คาดว่าจะมีคนที่ผ่านเกณฑ์และเข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ ประมาณ 50% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน หลักๆ  คือที่อยู่อาศัย กลุ่มนี้ก็จะต้องเข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ต่อไป

ทั้งนี้ หลังจากนี้จะต้องมาดูกลุ่มลูกหนี้ที่มีมูลหนี้ไม่เกิน 1 แสนบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนี้ที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน และเป็นหนี้จากบัตรเครดิต และหนี้จากการบริโภค โดยกลุ่มนี้คิดเป็น 35%  ของหนี้เสีย (NPL) ที่ 1.2 ล้านล้านบาท ซึ่งต้องเข้าไปดูว่าจะสามารถเข้าไปดำเนินการช่วยเหลือได้อย่างไร จะปรับอย่างไร โดยอาจจะต้องมีการจัดกลุ่มให้ดีๆ และระบุให้ชัดเจนว่าจะมีการปรับโครงสร้างหนี้เท่าที่ลูกหนี้จะมีกำลัง รวมถึงปรับเปลี่ยนวิธีการให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ก็เชื่อว่าจะสามารถทำให้คนกลุ่มนี้กลับมายืนได้แน่นอน และถ้าดึงกลุ่มนี้ออกมาสถานการณ์หนี้ครัวเรือนก็จะดีขึ้น

 “ปัจจุบันมีหนี้ครัวเรือนทั้งหมด 13 ล้านล้านบาท ซึ่งส่วนนี้ไม่รวมหนี้สหกรณ์ออมทรัพย์ โดยคิดเป็นประมาณ 9 ล้านบัญชี 5 ล้านกว่าราย ซึ่งเมื่อเข้าไปดูจริงๆ จะพบว่ามีคนที่มีหนี้ต่ำกว่า 1 แสนบาท ประมาณ 35% ของหนี้เสีย 1.2 ล้านล้านบาท  ซึ่งเชื่อว่าในส่วนนี้สถาบันการเงินได้มีการกันสำรองครบ 100% แล้ว โดยขณะนี้กำลังพิจารณาว่าจะดึงหนี้ส่วนนี้ออกมาอย่างไร เพราะเจ้าหนี้ติดต่อลูกหนี้ไม่ได้ ขณะเดียวกันก็อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะทำอย่างไรให้ปลดล็อกให้คนที่เคยติดเครดิตบูโรให้สามารถกลับมากู้เงินได้ ซึ่งตรงนี้มีแนวทางอยู่แล้ว โดยยอมรับว่าการแก้ปัญหาพวกนี้คงไม่เสร็จภายใน 3-6 เดือน เพราะเป็นปัญหาใหญ่ทั้งประเทศ ต้องใช้เวลา และต้องทำเป็นขั้นตอนอย่างสมเหตุสมผล” นายพิชัยกล่าว

นายพิชัยยังกล่าวถึงกรณีการซื้อหนี้โดยการนำแนวคิดเรื่องการตั้ง AMC ขึ้นมาใช้ดำเนินการนั้นว่า    มองว่าต้องเป็นการทำงานร่วมกันกับทั้งเจ้าของหนี้ สถาบันการเงิน คนที่จะเข้ามาร่วมจัดการ ขณะที่รัฐบาลจะสนับสนุนและกำกับอย่างไร ต้องมาระดมกำลังทำงานร่วมกัน อาจจะต้องจัดกลุ่มหนี้ย่อยๆ ออกมา และมาดูข้อมูลให้ละเอียด เพื่อหาแนวทางทำงานที่สอดคล้องกันมากที่สุด ส่วน  AMC ที่มีการดำเนินการอยู่แล้ว เช่น AMC ของธนาคารออมสินนั้น ในหลักการก็สามารถทำเรื่องนี้ได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าทุกคนมีกำลังจำกัด

อย่างไรก็ดี นายพิชัยยังกล่าวถึงกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าแนวคิดเรื่องการซื้อหนี้นั้นไม่จำเป็นต้องใช้เงินงบประมาณเลยว่า อย่าไปพูดว่าไม่ใช้เงินของงบประมาณเลย มันอาจจะใช้นิดหน่อยก็ได้  จึงอยากขอดูในรายละเอียดและโครงสร้างต่างๆ ให้เรียบร้อยก่อน นอกจากนี้ ขณะนี้รัฐบาลอยู่ระหว่างพิจารณามาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอน และจดจำนองเหลือ 0.01% ซึ่งเป็นมาตรการที่สนับสนุนการโอนและการขายให้รวดเร็วขึ้น รวมถึงยังช่วยจูงใจผู้ซื้อด้วย โดยยืนยันว่าจะเร่งพิจารณาให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด คาดว่าจะมีข้อสรุปภายใน 1  เดือน

ด้านนายกรณ์ จาติกวณิช อดีต รมว.การคลัง และอดีตหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า โพสต์ข้อความว่า ที่ไม่ควรทำคือ ไม่ควรซื้อหนี้เสียทั้งหมด  เพราะต้องใช้เงินเยอะไป และ moral hazard มากเกินไป และไม่ควรเอาผู้บริหารหนี้เอกชนมาเกี่ยวข้อง เพราะจะมีปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนมาเกี่ยวข้องกับการใช้เงินรัฐ

เขายังระบุว่า รัฐควรขีดเส้นการช่วยเหลือที่ลูกหนี้ที่มีหนี้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อคน ซึ่งจะครอบคลุม 3.5 ล้านคน หรือ 65% ของลูกหนี้เสียทั้งหมด วงเงินหนี้เสียรวมที่รัฐจะดูแลจะเหลือเพียงประมาณ 120,000 ล้านบาท หรือ 10% ของหนี้เสียโดยรวม พูดง่ายๆ คือเราช่วยคนเล็กคนน้อยเท่านั้น ขาใหญ่มีวิธีอื่นที่ช่วยได้ อย่างไรก็ตาม ลูกหนี้อาจจะยังไม่พ้นบ่วงหนี้ เพราะหากเป็นหนี้เสียกับธนาคารพาณิชย์อยู่ มั่นใจว่าคงจะมีหนี้นอกระบบอยู่ด้วยอีกไม่มากก็น้อย

ขณะที่ น.ส.ธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้วิเคราะห์นโยบายโครงการซื้อหนี้ประชาชนจากระบบธนาคาร ระบุว่า จากแนวคิดของภาครัฐในการตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) เพื่อซื้อหนี้เสียออกจากระบบ โดยเฉพาะหนี้อุปโภคบริโภคของลูกหนี้รายย่อยที่เครดิตบูโร ซึ่งจากข้อมูล ณ เดือนธันวาคม 2567 เอ็นพีแอลของหนี้ภาคประชาชนที่เครดิตบูโร (หนี้ค้างชำระมากกว่า 90 วันขึ้นไป) มีจำนวน 9.59 ล้านบัญชี คิดเป็นมูลหนี้ 1.2 ล้านล้านบาทนั้น สะท้อนการตระหนักของภาครัฐ เกี่ยวกับความซับซ้อนของปัญหาหนี้เสียที่ค้างอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น หลังจากผ่านวิกฤตมาหลายรอบ โดยเฉพาะในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา

หากเทียบกับกรณีที่คล้ายคลึงกันของไทยคือ การจัดตั้ง AMC และ TAMC หลังวิกฤตต้มยำกุ้งในปี 2540 ที่มีหนี้เสียสูงถึง 52.3% ของสินเชื่อรวมในเดือนพฤษภาคม 2542 หรือราว 2.5 ล้านล้านบาท อันเกินกว่ากำลังของระบบสถาบันการเงินจะแก้ไขได้ในระยะเวลาอันสั้นนั้น ทำให้เกิดการจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ของภาคเอกชนและภาครัฐตามมาตั้งแต่ปี 2540-2541 จนมีจำนวนกว่า 10 แห่ง เพื่อซื้อหนี้จากธนาคารแม่ แยกออกไปบริหารจัดการเฉพาะ ต่อมาจึงมีการจัดตั้งบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) หรือ TAMC ในปี 2544 เพื่อซื้อหนี้ก้อนใหญ่ในช่วงปลายวิกฤตดังกล่าว ประมาณ 7.8 แสนล้านบาท จากสถาบันการเงินไปบริหารเพื่อฟื้นฟูและ/หรือปิดจบหนี้

แม้จุดเริ่มต้นของแนวคิดการจัดตั้ง AMC ทั้งในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งและในครั้งนี้ มีความเหมือนกันตรงที่การมุ่งแยกหนี้เสียออกจากระบบ แต่กลับอยู่บนเงื่อนไขของเศรษฐกิจการเงินที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ ในช่วงวิกฤตปี 2540 การจัดตั้ง AMC จะเน้นซื้อหนี้ทั้งธุรกิจและครัวเรือน ซึ่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังวิกฤตจากอานิสงส์ของเงินบาทอ่อนค่าที่ส่งผลดีต่อ FDI และการส่งออก ได้ช่วยให้ธุรกิจและครัวเรือนเห็นภาพรายได้ที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ในระยะเวลาดังกล่าว ยังเป็นช่วงแรกๆ ของตลาดการบริหารหนี้ และมีการแก้กฎหมาย มีการจัดตั้งศาลล้มละลายกลาง จึงทำให้การแก้ไขปัญหาหนี้มีองค์ประกอบหลายด้านที่สนับสนุนการแก้ไขหนี้เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นด้วยเช่นกัน

ขณะที่ปัญหาในรอบนี้แตกต่างออกไป นั่นคือหนี้เอ็นพีแอล ทั้งธุรกิจและรายย่อยจำนวนไม่น้อยผ่านการปรับปรุงโครงสร้างหนี้และมาตรการช่วยเหลือจากทั้งธนาคารพาณิชย์และทางการ   สถานการณ์เศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนสูง ทำให้ปัจจัยด้านรายได้ของธุรกิจและครัวเรือนไม่ชัดเจน ซึ่งย่อมจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสำเร็จในการแก้ไขหนี้ นอกจากนี้ ตลาดการบริหารหนี้ก็มีความท้าทายมากขึ้นจากการที่หนี้ที่ไหลเข้ามาในระยะหลัง แก้ยากขึ้น อีกทั้งการระบายทรัพย์สู่ตลาดตามกระบวนการทางกฎหมาย ก็น่าจะใช้เวลาเช่นกัน ท่ามกลางผู้ซื้อและอำนาจซื้อที่จำกัด  ดังนั้นแนวคิดในการจัดตั้ง AMC ในรอบนี้ จึงต้องคำนึงถึงสถานการณ์ที่แตกต่างออกไปข้างต้นด้วย  เพื่อออกแบบรูปแบบธุรกิจและกลไกการจัดการให้สอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนไปมากขึ้น

นอกจากนี้ ยังต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย ได้แก่ เป้าหมายการแก้หนี้ที่เน้นหนี้รายย่อย จะทำให้ต้นทุนการบริหารจัดการหนี้สูงขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากจำนวนบัญชีรายย่อยที่เครดิตบูโรมีจำนวนกว่า 9 ล้านบัญชี ซึ่งยังไม่ครอบคลุมถึงหนี้เสียของสหกรณ์ นอนแบงก์ในธุรกิจลีสซิ่ง หรือนอนแบงก์ที่ไม่เป็นสมาชิกเครดิตบูโร

การแก้หนี้ที่ยั่งยืนยังต้องอาศัยการแก้ไขจากฝั่งรายได้ ควบคู่กับการสร้างวินัยและวัฒนธรรมในการใช้จ่ายที่ถูกต้อง จึงจะเป็นการแก้หนี้อย่างยั่งยืนที่แท้จริง.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง