นายกฯ นัดกินข้าวหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล 21 มี.ค. "รทสช." เป็นเจ้าภาพ เตรียมรับมือก่อนศึกซักฟอก แกนนำ พท.ยืนกรานให้เวลาฝ่ายค้าน 23 ชั่วโมงถือว่าใจกว้างสุดๆ แล้ว ลั่นถ้าไม่ถอยก็ตกลงไม่ได้แล้วไม่ทันปิดประชุม 10 เม.ย. แสดงว่าไม่มีข้อมูลเด็ดหรือไม่ ปธ.วิปฯ รับหากเอ่ยชื่อพ่อนายกฯ ประธานสภาฯ ไม่ทักท้วงจะห้ามปาก สส.ไม่ให้ประท้วงไม่ได้ "โรม" เหน็บนายกฯ ไม่มีผลงานเพียงพอเลยไม่ต้องการเวลาเยอะๆ โพลเผย ปชช.ยังพึงพอใจรัฐบาล แต่หนุนซักฟอกนายกฯ เชื่อวุ่นวายแน่ จี้แก้ปัญหาปากท้อง
เมื่อวันอาทิตย์ นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) เปิดเผยว่า ในวันศุกร์ที่ 21 มี.ค.นี้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เตรียมที่จะนัดพรรคร่วมรัฐบาลร่วมรับประทานอาหารค่ำก่อนการอภิปรายจะเริ่มขึ้น เนื่องจากการรับประทานอาหารร่วมกับพรรคร่วมรัฐบาลเมื่อวันที่ 25 ก.พ.ที่ผ่านมา ได้มีการหารือกันว่า เมื่อกำหนดวันอภิปรายชัดเจนแล้วก็จะมีการนัดหารือพูดคุยกันอีกรอบ ซึ่งการหารือในวันนั้นจะเป็นเรื่องการรับมือการอภิปรายของฝ่ายค้าน
นายสรวงศ์กล่าวว่า ในส่วนของรัฐบาลมีความพร้อม นายกรัฐมนตรีพร้อมชี้แจงในเรื่องเนื้องานของแต่ละกระทรวงอยู่แล้ว เพราะผ่านตาหมด แต่ถ้าลงรายละเอียดอาจมีการชี้แจงโดยรัฐมนตรีเจ้ากระทรวง เนื่องจากสามารถลงรายละเอียดได้มากกว่า แต่ถ้าอภิปรายไปถึงคนนอก ก็ถือว่าทำผิดข้อบังคับ เป็นหน้าที่ของ สส.ที่ต้องประท้วง เพื่อให้การอภิปรายเป็นไปตามข้อบังคับการประชุม
ส่วนกรอบเวลาอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่พรรคร่วมฝ่ายค้านยืนยันจะขอใช้เวลาอภิปราย 30 ชั่วโมง นายสรวงศ์กล่าวว่า เราไม่ได้เอาตัววันหรือเวลาเป็นตัวกำหนด แต่เราดูความเหมาะสม ล่าสุดที่คุยกันคือเราขอ 7 ชั่วโมง ให้ฝ่ายค้าน 23 ชั่วโมง เขาก็ไม่ยอม ซึ่งเรื่องนี้ทางวิป 3 ฝ่ายจะนัดกันอีกในวันที่ 19 มี.ค.ที่จะถึงนี้
นายสรวงศ์ยังมองว่า การที่เขาพูดโปรยหัวไว้ก่อนเช่นนี้ ทำให้สังคมเข้าใจว่ามีการตกลงกันแล้วรัฐบาลมาเปลี่ยน ทั้งที่ยังไม่มีการตกลงอะไรกันเลย เหมือนตอนแรกบอกว่าจะใช้เวลาอภิปราย 5 วัน ทั้งที่การพูดอะไรออกไปควรบอกว่าเขาหวังว่าจะใช้ 30 ชั่วโมงแล้วคุยกัน การพูดยืนยันแบบนี้แล้วบอกว่าถอยเรื่องถอนชื่อแล้ว ตนยังไม่เห็นเขาถอยเลย ถึงเวลาไปไม่ได้อย่าบอกถอย เพราะผิดตั้งแต่แรก ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 ชัดเจน เป็นการอภิปรายรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะแค่นั้น ไม่มีการเอาคนนอกเข้าไปในญัตติ
"ผมว่าเขารู้อยู่แล้ว แต่เจตนาทำแบบนี้ เมื่อยอมถอนชื่อออกก็จบไม่มีอะไร แต่พอมาพูดเรื่องเวลา การเจรจา 3 ฝ่าย เราต้องถามกลับไปเหมือนเดิมว่าต้องการอะไร ถ้าจะสร้างวาทกรรมคงได้สร้างในที่ประชุม พูดถึงคนนอกเขารับผิดชอบเอง ส่วนอภิปรายอย่างไรต้องดูเนื้อหา" นายสรวงศ์กล่าว
ทั้งนี้ มีรายงานว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้นัดหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลรับประทานอาหารค่ำ เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือฝ่ายค้าน ก่อนเริ่มอภิปรายไม่ไว้วางใจในวันที่ 21 มี.ค. เวลา 18.00 น. ที่โรงแรมโรสวูด กรุงเทพฯ โดยการรับประทานอาหารร่วมกันครั้งนี้ ถือเป็นการรับประทานอาหารค่ำนัดพิเศษ ซึ่งมีพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เป็นเจ้าภาพ
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท. กล่าวว่า การที่ฝ่ายค้านเสนอกรอบเวลาอภิปรายเฉพาะฝ่ายค้านอย่างเดียว 30 ชั่วโมง ขอเวลาอภิปราย 3 วัน ไม่รวมลงมติอีก 1 วันนั้น มากเกินไป ไม่สมเหตุสมผล รัฐบาลเสนอในกรอบเวลา 30 ชั่วโมง ให้เป็นของฝ่ายค้าน 20 ชั่วโมง ฝ่ายรัฐบาล 10 ชั่วโมง ใช้เวลาอภิปราย 2 วัน ไม่รวมลงมติอีก 1 วัน ถ้าฝ่ายค้านยอมถอย การกำหนดวันอภิปรายไม่ไว้วางใจก็สามารถเดินหน้า หรือในกรอบเวลา 30 ชั่วโมง ให้เป็นของฝ่ายค้าน 23 ชั่วโมง ฝ่ายรัฐบาล 7 ชั่วโมง ที่รัฐบาลถอยสุดๆ แล้ว
เอ่ยชื่อพ่อนายกฯ ประท้วงแน่
"ถ้าฝ่ายค้านไม่ยอมถอยก็ไม่สามารถตกลงกันได้ เวลาบีบเข้ามาทุกขณะ สมัยประชุมนี้จะปิดในวันที่ 10 เม.ย. ถ้าการอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่สามารถเกิดขึ้นได้ รัฐบาลไม่ได้เดือดร้อน จึงต้องถามฝ่ายค้านว่าแท้จริงแล้วมีข้อมูลเด็ดหรือมีความพร้อมในการอภิปรายหรือไม่ รัฐบาลใจกว้างและถอยสุดๆ แล้ว อยู่ที่ฝ่ายค้านว่าจะยอมถอยหรือไม่ เก่งไม่กลัว กลัวช้า ฝ่ายค้านต้องรีบหาข้อสรุปเพื่อให้การอภิปรายได้เดินหน้า” นายอนุสรณ์กล่าว
นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) เปิดเผยว่า ในวันที่ 18 มี.ค.ที่จะถึงนี้ พรรคเพื่อไทยจะมีการประชุม เพื่อหารือถึงกรอบเวลาการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ชัดเจนว่าควรใช้เวลาเท่าใด ส่วนการให้เวลาฝ่ายค้าน 23 ชั่วโมง และฝ่ายรัฐบาล 7 ชั่วโมง ในการอภิปรายนั้น ก็ต้องรอดูว่าที่ประชุมพรรค พท.จะเห็นว่าอย่างไร แต่ถ้าจะให้เวลาฝ่ายค้านอภิปรายถึง 30 ชั่วโมง โดยใช้เวลา 3 วัน และลงมติอีก 1 วันนั้น จะเป็นเวลาที่มากเกินไป จะพูดอะไรฝ่ายเดียว 30 ชั่วโมง แค่อภิปรายนายกฯ คนเดียว จากกรอบเวลา 30 ชั่วโมง เต็มที่คงให้ฝ่ายค้านได้แค่ 23 ชม.เท่านั้น
ส่วนกรณีที่ฝ่ายค้านยอมตัดชื่อนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ออกจากญัตตินั้น นายวิสุทธิ์กล่าวว่า ยังไม่ทราบว่าเปลี่ยนไปใช้คำว่าอะไร เมื่อเปลี่ยนคำแล้ว ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ว่าจะอนุญาตหรือไม่
เมื่อถามว่า หากฝ่ายค้านถอดชื่อนายทักษิณออกจากญัตติ เปลี่ยนไปใช้คำอื่น เช่น พ่อนายกฯ หรือคำอื่นๆ ยืนยันหรือไม่ พท.จะไม่ประท้วง นายวิสุทธิ์กล่าวว่า ถ้าเรายิ่งประท้วงก็ยิ่งเสียเวลาอภิปรายของฝ่ายรัฐบาลที่มีอยู่น้อยอยู่แล้ว จะพยายามหลีกเลี่ยงการประท้วงให้มากที่สุด การจะประท้วงต้องดูว่าคำพูดนั้นสร้างความเสียหายให้คนนอกหรือไม่ เพราะบุคคลที่ถูกเอ่ยถึงไม่สามารถมาชี้แจงได้ในสภา ถ้าเข้ามาตอบได้คงไม่เป็นไร
"หากกล่าวถึงคนนอกจนเกินเลย สร้างความเสียหายและประธานไม่ทักท้วง เราก็ต้องทักท้วงบ้าง เพราะเขาไม่สามารถมาชี้แจงได้ ส่วนตัวแม้อยากให้ประท้วงน้อยที่สุด แต่คงไปห้ามปาก สส.คนอื่นไม่ให้ประท้วงไม่ได้" นายวิสุทธิ์กล่าว
นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะวิปฝ่ายค้าน กล่าวว่า ในวันที่ 19 มี.ค. ที่จะมีการนัดประชุมร่วมกับรัฐบาลอีกครั้งนั้น จะสามารถหาข้อสรุปได้ แต่คงต้องอยู่ที่ฝ่ายรัฐบาลด้วยว่าเขาจะว่าอย่างไร ซึ่งเราก็ประกาศชัดเจนว่าเราต้องการอะไร และทางฝั่งรัฐบาลก็ทราบว่าเราต้องการอะไร หากอยากให้ทุกอย่างเดินต่อได้ ก็ควรที่จะต้องมีข้อสรุปในส่วนนี้ที่ชัดเจน เวทีนี้เป็นเวทีของฝ่ายค้าน เราอยากได้เวลาในการอภิปรายเต็มที่ อยากให้รัฐบาลโดยเฉพาะนายกฯ ในการตอบข้อชี้แจงต่างๆ ในประเด็นที่ฝ่ายค้านกล่าวหาที่มากเพียงพอ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อฝ่ายรัฐบาลเอง หากเชื่อว่าตัวเองมีผลงานเยอะ โดยเฉพาะนายกฯ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องกลัวว่าเวลาในการอภิปรายมันจะเยอะเกินไป
ไร้ผลงานจึงไม่ต้องการเวลาเยอะ
เมื่อถามว่า เบื้องต้นยังยืนยันว่าฝ่ายค้านจะขอเวลา 30 ชั่วโมงใช่หรือไม่ นายรังสิมันต์กล่าวว่า เรายืนยันเหมือนเดิม แต่ขั้นตอนแรกก่อนที่จะคุยกันเรื่องจำนวนชั่วโมงนั้น เรายืนยันว่าไม่ควรที่จะนำแนวคิดเรื่องกรอบเวลาสองวันมาวางก่อน เพราะไม่ได้ตอบอะไรเลย หรือว่ารัฐบาลไม่มีผลงานเพียงพอที่จะชี้แจงข้อกล่าวหาของฝ่ายค้านได้มาก จึงไม่ต้องการเวลาเยอะเพื่อจะตอบชี้แจงใช่หรือไม่
เมื่อถามถึงกรณีที่นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ เสนอสูตร 23+7 คือฝ่ายค้าน 23 ชั่วโมง และฝ่ายรัฐบาล 7 ชั่วโมง นายรังสิมันต์กล่าวว่า ตกลงนี่คือเวทีของใคร เป็นการเสนอญัตติโดยนายวิสุทธิ์หรือพรรค พท. หรือเป็นการเสนอญัตติโดยฝ่ายค้าน ฝ่ายค้านรู้ดีที่สุดว่าเราต้องการเวลาเท่าไหร่ และเราก็พยายามเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้นายกฯ มีเวลาชี้แจงต่อสภาเยอะๆ เราอยากเห็นนายกฯ แสดงความเป็นผู้นำในสภา เชื่อว่าประชาชนจำนวนมากอยากเห็นนายกฯ แสดงข้อมูลหักล้างในข้อกล่าวหาที่ฝ่ายค้านเตรียมไว้
"หากทั้งสองฝ่ายมีเวลาเยอะ ซึ่งคงจะไม่ได้เยอะแบบเจ็ดวันเจ็ดคืนอยู่แล้ว แต่อยู่ในระดับที่เหมาะสม ตนคิดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อนายกฯ ต่อประชาชน และต่อการทำงานในสภา ยืนยันว่าวันนี้ฝ่ายค้านต้องมีเวลาที่เพียงพอ และคนที่จะตอบได้ว่าเพียงพอหรือไม่นั้น ไม่ใช่นายวิสุทธิ์ที่ทำหน้าที่เป็นประธานวิปรัฐบาล"
เมื่อถามถึงความคืบหน้าเรื่องการแก้ไขคำในญัตติ นายรังสิมันต์กล่าวว่า ขอให้อดใจรออีกนิด เดี๋ยวคงจะมีการเปิดเผยได้ในไม่ช้า ตอนนี้อยู่ระหว่างการประสานงานทั้งทางด้านธุรการต่างๆ ด้วย
วันเดียวกัน “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจเรื่อง “จะได้อภิปรายแค่ไหน” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 11-13 มีนาคม 2568 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนต่อความวุ่นวาย หากมีการประท้วงในสภาจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 49.08 ระบุว่าจะมีความวุ่นวายบ้าง รองลงมา ร้อยละ 26.26 ระบุว่าจะไม่มีความวุ่นวายเลย และร้อยละ 24.66 ระบุว่าจะมีความวุ่นวายมาก
ด้านความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อมูลของฝ่ายค้านในการอภิปรายที่อาจนำไปสู่การล้มรัฐบาลได้ พบว่า ร้อยละ 66.79 ระบุว่าจะมีข้อมูลสำคัญในการอภิปราย แต่ไม่สามารถล้มรัฐบาลได้ รองลงมา ร้อยละ 19.31 ระบุว่าจะไม่มีข้อมูลสำคัญในการอภิปราย และไม่สามารถล้มรัฐบาลได้, ร้อยละ 11.30 ระบุว่าจะมีข้อมูลสำคัญในการอภิปราย จนถึงขั้นล้มรัฐบาลได้
ด้านความคิดเห็นต่อการตัดสินใจของฝ่ายค้านตามข้อเสนอของประธานสภาฯ ให้ถอนชื่อคุณทักษิณ ชินวัตร ออกจากญัตติฯ พบว่า ร้อยละ 37.48 ระบุว่าฝ่ายค้านควรยืนยันตามญัตติเดิม และรอจนกว่าประธานสภาฯ ยอมบรรจุในวาระการประชุม, ร้อยละ 32.44 ระบุว่าฝ่ายค้านควรทำตามข้อเสนอเพื่อจะได้เปิดอภิปรายได้
สำนักวิจัยซูเปอร์โพล เสนอผลสำรวจเรื่องประชาชนคิดอย่างไรต่อการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น 1,125 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 10-15 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา พบว่า จำนวนมากหรือร้อยละ 44.7 เห็นด้วยกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี ในขณะที่จำนวนมากเช่นกัน หรือร้อยละ 40.2 ไม่เห็นด้วย
เมื่อถามถึงการสนับสนุนให้รัฐบาลอยู่ครบวาระ พบว่า เกินครึ่งหรือร้อยละ 52.8 สนับสนุน ในขณะที่ร้อยละ 30.5 ไม่สนับสนุน และร้อยละ 16.7 ไม่มีความเห็น
อย่างไรก็ตาม ซูเปอร์โพลยังค้นพบ 5 อันดับแรกของความพอใจผลงานของรัฐบาล ได้แก่ ธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจบริการ ร้อยละ 68.5, อันดับ 2 ได้แก่การปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ร้อยละ 63.2, อันดับ 3 ได้แก่ความร่วมมือต่างประเทศ ร้อยละ 55.8, อันดับ 4 ได้แก่ปราบปรามยาเสพติด ร้อยละ 50.3 และอันดับ 5 ได้แก่เงินดิจิทัล แจกเงิน ร้อยละ 47.1 ตามลำดับ
รทสช.จี้กวดขันการทุจริต
“สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง “ปัญหาเร่งด่วนของคนไทย ณ วันนี้” กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,264 คน ระหว่างวันที่ 11-14 มีนาคม 2568 พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มองว่าปัญหาเร่งด่วนที่อยากให้รัฐบาลแก้ไขมากที่สุด คือ ปัญหาค่าครองชีพ ราคาสินค้า ร้อยละ 72.55 แต่ก็ไม่คิดว่าจะแก้ปัญหานี้ได้สำเร็จ ร้อยละ 68.80 ปัญหาที่พบในช่วงรัฐบาลแพทองธาร เมื่อเปรียบเทียบกับรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ มองว่าปัญหายังมีเหมือนเดิม ยังไม่เห็นการแก้ไขที่ชัดเจน เช่น ทุจริตคอร์รัปชัน การเมือง ร้อยละ 43.75 ด้านความคิดเห็นเกี่ยวกับมาตรการแจกเงิน 10,000 บาท ในกลุ่มวัยรุ่น กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 34.18 มองว่าพอจะช่วยได้บ้าง อาจกระตุ้นในช่วงสั้นๆ แต่ไม่ส่งผลระยะยาว
ผศ.ดร.สานิต ศิริวิศิษฐ์กุล หัวหน้าศูนย์สำรวจความคิดเห็นนอร์ทกรุงเทพโพล มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ เปิดเผยผลสำรวจประชาชนในหัวข้อ "ประเมินผลงานรัฐบาลแพทองธาร รอบ 6 เดือน" โดยมีผู้สำรวจจำนวน 1,500 ราย จากทั่วทุกภูมิภาค โดยได้สอบถามผู้ให้สำรวจถึง "ความพึงพอใจต่อผลงานการบริหารประเทศของรัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร มากน้อยเพียงใด" ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่มีความพึงพอใจ 52.7% แบ่งเป็น พอใจมาก 21.2% และพอใจ 31.5% ขณะเดียวกันมีบางส่วนให้ความเห็นว่าไม่พอใจ 29.8% และไม่พอใจมาก 11.5%
นอกจากนั้นแล้วยังได้ถามต่อถึงผลงานของรัฐบาล "แพทองธาร ชินวัตร" ว่าชื่นชอบผลงานใด โดยเรียงจากชื่นชอบมากสุดไปจนถึงชื่นชอบน้อยสุด ได้แก่ 1.ดิจิทัลวอลเล็ต 25.2% 2.ปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 22.4% 3.ปราบปรามยาเสพติด10.6% 4.การจัดการน้ำท่วม-น้ำแล้ง 10.6% 5.30 บาทรักษาทุกที่ 9.7% 6.รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย 8.8% 7.หมอกควัน PM 2.5 3.2% 8. การแก้หนี้ครัวเรือน 2.7% 9.ปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า 2.2% และอื่นๆ 4.6%
นายธนกร วังบุญคงชนะ รองหัวหน้าพรรคและ สส.บัญชีรายชื่อ พรรค รทสช. กล่าวว่า หลังจากที่มีประชาชนร้องเรียนให้มีการตรวจสอบเจ้าหน้าที่รัฐบางกรมเอื้อการทุจริตเรียกรับเงินจากเกษตรกร รวมถึงมีการร้องเรียนอีกหลายประเด็นที่ส่อไปในทางทุจริตในบางกระทรวง เป็นสัญญาณเตือนให้รัฐบาล โดยเฉพาะนายกฯ ต้องกวดขันทั้งข้าราชการประจำ ข้าราชการการเมือง โดยเฉพาะรัฐมนตรีทุกกระทรวง ให้ลงไปตรวจสอบและป้องกันไม่ให้มีการทุจริตงบประมาณแผ่นดินทุกระดับได้ เพราะถือเป็นเรื่องสำคัญมาก และเป็นปัจจัยหลักที่จะทำให้ประชาชนประเมินผลงาน ว่าการทำงานของรัฐบาล ยังสอบไม่ผ่านตามที่ผลสำรวจออกมา
"สิ่งที่รัฐบาลจะต้องเร่งอุดรอยรั่วและป้องกันก่อนที่จะเกิดปัญหาใหญ่ คือการป้องกันการทุจริตคอร์รัปชัน เพราะเป็นเรื่องที่กระทบต่อความเชื่อมั่นและเสถียรภาพของรัฐบาลโดยตรง ซึ่งประชาชนต่างเฝ้ามองดูอยู่ และฝ่ายค้าน ฝ่ายตรงข้าม ต่างจับจ้องตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลให้เกิดความโปร่งใส หากนายกฯ และรัฐมนตรีปล่อยให้มีการทุจริต จะส่งผลเสียต่อทั้งรัฐบาลและประเทศชาติจะเสียหายได้ หากปล่อยปละละเลยให้เกิดการโกง จะส่งผลกระทบหนัก สร้างผลเสียแก่รัฐบาลโดยตรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้" นายธนกรระบุ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
บี้ปปง.สอบฮั้วสว. กกต.ชี้27คำร้อง ใช้เวลาตัดสินใจ
"นายกฯ อิ๊งค์" ยันเจอ "เนวิน" ไม่มีคุยเรื่องคดีฮั้ว สว. ปัดกระทบงานรัฐบาลกับสภาสูง
‘อ้วน’พอใจเยี่ยมอุยกูร์ปัดจัดฉาก
"ภูมิธรรม" พอใจยกคณะไปเยี่ยม "อุยกูร์" ยันทำดีที่สุด ไม่มีจัดฉาก
คลังรับลูกทักษิณ ซื้อหนี้กลุ่มแสนบ.
ว่าตามนายใหญ่! “คลัง” เล็งซื้อหนี้ประชาชนกลุ่มไม่เกิน 1 แสนบาท หวังอุ้มหลุด NPL
แฉ‘กาสิโน’หนุนซอฟต์พาวเวอร์
"วันนอร์” ไม่หนุนหรือเชียร์ Entertainment Complex แต่อยากให้ดูข้อมูลรอบด้าน
มัด‘อิ๊งค์’ดิ้นไม่หลุด! ปชน.โวมีหลักฐานแน่น/พปชร.ขู่ไม่ร้องไห้ก็ลาออก
"ประธานสภาฯ" ขอ “ฝ่ายค้าน” ซักฟอกตามกรอบข้อบังคับหลังจ่อโยงถึงยิ่งลักษณ์
ลาก1ปีสรุปฮั้วสว./หมอเกศลุ้นเม.ย.
“ประธาน กกต.” แจงยิบจับมือดีเอสไอสอบฮั้ว สว.ช่วยให้ทำงานคล่อง