“โฆษก รบ.” เผย “บิ๊กอ้วน” พร้อม 25 ชีวิตเตรียมดูความเป็นอยู่ 40 ชาวอุยกูร์ 18-20 มี.ค.นี้ บอกเป็นแค่ครั้งแรก จะมีทุกระยะ “ทูตรัศม์” รับเป็นราคาที่ต้องจ่าย พี่ไทยกลายเป็นแพะสังเวย ข้องใจถามจะให้ขังลืมจนตายไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชนเหรอ “เทพไท” จี้คนรับผิดชอบผลกระทบ
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 มี.ค.2568 นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม, นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ, พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และตน พร้อมคณะสื่อมวลชน 9 คน จากหลายสำนัก ทั้งหนังสือพิมพ์ วิทยุและโทรทัศน์ รวมทั้งสื่อโซเชียลมีเดีย รวม 25 คน มีกำหนดการเดินทางเยือนมณฑลซินเจียง สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 18-20 มี.ค.นี้
นายจิรายุกล่าวว่า ในวันพุธที่ 19 มี.ค. เวลาประมาณ 07.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง คณะจะเดินทางไปเยี่ยมชาวจีนอุยกูร์ที่เมืองคาซือ มณฑลซินเจียง และร่วมรับประทานอาหารกลางวันร่วมกันพร้อมกับผู้นำท้องถิ่นในช่วงเช้าและบ่าย ส่วนในวันพฤหัสบดีที่ 20 มี.ค. จะเดินทางไปเยี่ยมชมศูนย์บังคับใช้กฎหมายและการจัดการคดีของสำนักงานความมั่นคงสาธารณะที่เมืองคาซือ จากนั้นเดินทางไปที่มัสยิดอิดกะฮ์ พูดคุยสนทนากับผู้นำศาสนา และร่วมรับประทานอาหารค่ำกับตัวแทนผู้นำศาสนาในท้องถิ่นก่อนเดินทางกลับไทย
“การเดินทางครั้งนี้เพื่อทำความจริงให้ปรากฏในข้อกังวลของนานาอารยประเทศ และให้เข้าใจประเทศไทยถึงการแก้ไขปัญหา ซึ่งรัฐบาลไทยได้ดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา และมีข้อตกลงสำคัญต่อรัฐบาลของทั้งสองประเทศ ที่ต้องคืนชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีในยุคโลกปัจจุบัน ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และมีสิทธิเสรีภาพ ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญเรื่องนี้มาก ถึงขั้นตรวจสอบรายละเอียดนานหลายเดือนก่อนส่งชาวจีนอุยกูร์กลับสู่มาตุภูมิ โดยการเดินทางครั้งนี้เป็นเพียงครั้งแรก รัฐบาลไทยกำหนดการเดินทางเป็นระยะๆ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับการแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศต่อนานาอารยประเทศต่อไป” นายจิรายุกล่าว
ด้านนายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ "ราคาของมนุษยธรรม ความถูกต้อง และการเป็นแพะสังเวยมโนธรรม" ระบุว่า การชี้นิ้วประณามคนอื่นมักเป็นวิธีที่ง่ายกว่าเสมอ และบางทีก็ทำเพียงเพื่อได้แสดงว่าเป็นคนดี โดยทุกวันนี้หลายประเทศที่เคยชูเรื่องสิทธิมนุษยชน ต้องเผชิญปัญหาเรื่องผู้อพยพ หลายประเทศเริ่มเนรเทศคนเหล่านี้กลับไปยังประเทศต้นทาง ที่บ้างยังมีการสู้รบและมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ประเทศเหล่านี้ทำได้ ไม่เป็นไร ไม่มีใครประณาม ซึ่งเรื่องนี้บ่งบอกความจริงประการหนึ่งว่า การอพยพไปตั้งรกรากในประเทศที่สามมันไม่ใช่เรื่องสวยงามง่ายดายขนาดนั้น
นายรัศม์โพสต์อีกว่า เกณฑ์สำคัญในการพิจารณาการส่งคนกลับไปยังประเทศต้นทาง ว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนและกฎหมายระหว่างประเทศหรือไม่นั้น มีหลักๆ 2 ประการ คือต้องไม่บีบบังคับและต้องไม่ส่งไปแล้วเขาจะมีภัยอันตรายต่อชีวิต ซึ่งกรณีชาวจีนอุยกูร์ 40 คนนั้น ประการแรก เรื่องการบีบบังคับให้กลับ จากข้อมูลที่ได้จากเจ้าหน้าที่รับผิดชอบดูแล พวกเขามีการติดต่อกับญาติพี่น้อง และรับทราบถึงพัฒนาการความเจริญก้าวหน้ากินอยู่ดีของผู้คนในซินเจียง และเมื่อทราบว่าทางการจีนมีหนังสือรับรองสวัสดิภาพ พวกเขาก็เลือกที่จะกลับดีกว่ารอในห้องขังต่อไปโดยไม่รู้จุดหมาย ประการที่สอง พวกเขาจะมีภัยอันตรายต่อชีวิตไหมเมื่อกลับไปแล้วนั้น ก็เป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์ โดยมีหลักฐานเชิงวิทยาศาสตร์ต่อไป
นายรัศม์โพสต์อีกว่า คำถามคือใครกันแน่ที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน ในขณะที่หลายประเทศบอกไม่เชื่อในคำมั่นของจีน แต่ยังมีปฏิสัมพันธ์ คบค้า ทำธุรกิจกับเขา สิ่งนี้บอกถึงอะไร ชาวจีนอุยกูร์เหล่านั้นถูกขังมานานกว่าสิบปีโดยไม่มีความผิด ซึ่งการกักขังคนโดยไม่มีความผิดแม้เพียงวันเดียวถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนรุนแรงไหม แต่ก็น่าแปลกใจที่คนไม่น้อย รวมทั้งนักสิทธิมนุษยชนบางท่านกลับเห็นด้วยว่าควรกักขังเขาต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งผลที่จะตามมาคือพวกเขาจะต้องตายคาคุก ซึ่งพวกเขาได้เสียชีวิตระหว่างถูกกักขังไปแล้วสองคน
“การที่ไทยตัดสินใจส่งตัวชาวจีนอุยกูร์ 40 คนกลับจีน จึงเป็นการตัดสินใจบนพื้นฐานของมนุษยธรรม และความถูกต้อง บนทางเลือกที่มีไม่มาก ที่แน่นอนว่าไม่ว่าเลือกทางไหนก็ต้องมีผลกระทบมหาศาลตามมา ที่เป็นราคาที่เราต้องจ่ายเพื่อสิ่งนั้น นอกจากเลือกวิธีขังเขาต่อจนตายคาคุกไป อย่างที่หลายคนเลือก และเป็นที่น่าเสียใจว่าเพื่อนของเราบางประเทศไม่เข้าใจ และเลือกที่จะประณามเราง่ายๆ เลือกหาแพะมาสังเวยมโนธรรมของตัวเองแทน”
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์คลิปพร้อมเนื้อหาผ่านเฟซบุ๊ก ในหัวข้อ “เอฟเฟกต์ อุยกูร์:ไทยได้ไม่คุ้มเสีย ใครรับผิดชอบ” ระบุว่า การที่สหรัฐอเมริกาไม่ออกหนังสือวีซ่าเข้าประเทศ ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของไทยในสายตาประชาคมโลก และคงเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ไทยกับสหรัฐอเมริกา เกือบ 200 ปี ซึ่งต่อไปอาจมีมาตรการคว่ำบาตร หรือกีดกันทางการค้าจากรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ตามมาอีกก็เป็นได้
“เรื่องนี้ต้องยอมรับว่า เป็นการตัดสินใจของรัฐบาลที่ผิดพลาด ได้ไม่คุ้มเสีย ถ้ารัฐบาลมีความจริงใจ มีความโปร่งใส ควรดำเนินการแบบเปิดเผย ให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมสังเกตการณ์ในการส่งตัวชาวอุยกูร์ 40 คนกลับประเทศจีน เพื่อลบข้อครหาทั้งหมด และทำให้ไทยรอดพ้นเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนจากประชาคมโลกได้ อยากถามว่า ใครจะรับผิดชอบต่อผลกระทบหรือเอฟเฟกต์จากการส่งชาวอุยกูร์ 40 คนกลับจีน ที่สร้างความเสียหายให้กับประเทศหลายด้านในครั้งนี้” นายเทพไทระบุ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
อิ๊งค์ฟุ้งผลงาน ทลายแก๊งคอล บิ๊กอ้วนจ่อแจง
นายกฯ ฟุ้งผลงานปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ลั่นมาถูกทาง มาตรการ “ตัดน้ำ-ไฟ-อินเทอร์เน็ต”
ตีตกแก้กฎหมาย‘ป.ป.ช.’ วิโรจน์ฉุนพท.ทรยศแดง
รัฐสภามีมติข้างมาก 415 เสียง ตีตก “ร่าง กฎหมาย ป.ป.ช.” โอนคดีทุจริตและประพฤติมิชอบของทหารไปศาลอาญาคดีทุจริตฯ
นายกฯบี้ฟัน‘แพ่ง-อาญา’ สุริยะเมินเสียงไล่พ้นรมต.
มหกรรมวัวหายล้อมคอก! นายกฯ ถกแก้ปัญหาพระรามที่ 2 ถล่ม
อัดมะกันไม่อัปเดตข้อมูล
"ภูมิธรรม" ลั่นให้ยึดตาม กต.แถลงปมอุยกูร์ คนไม่เกี่ยวอย่าคอมเมนต์ “หอการค้าไทย”
304เสียงสภาลิเกส่งตีความ!
ไม่เกินคาด! รัฐสภามีมติ 304 เสียง เห็นชอบส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความรื้อ รธน.
เลิกเห่าหอนเสียที สทร.ซัดปชน.พ่วงขายฝันล้างหนี้/ตัวตึงขู่อภิปรายยกโคตร
ฝ่ายค้านจบที่ขีดฆ่าชื่อทักษิณเปลี่ยนเป็นคนในครอบครัว "วิโรจน์"