ใต้เดือด!คาดตอบโต้พ่อนายกฯ

รอมฎอนเดือด! โจรใต้เหิมถล่มที่ว่าการอำเภอสุไหงโก-ลก ป่วนนราธิวาส-ปัตตานีหลายจุด ดับ 5 ราย เจ็บนับสิบ "นายกฯ" เสียใจสั่งเยียวยาผู้สูญเสีย จ่อถกฝ่ายมั่นคง กลาโหมขอช่วยกันประณามกลุ่มผู้ก่อเหตุ เร่งล่าตัวมาลงโทษ "แม่ทัพภาค 4" สั่งยกระดับมาตรการรัดกุมรอบคอบ เพิ่มคุมเข้มสถานที่ราชการ-จุดล่อแหลม "สว.ไชยยงค์" เชื่อบีอาร์เอ็นตอบโต้  "ทักษิณ"

เมื่อวันที่ 9 มีนาคม กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ภาค 4 ส่วนหน้า  ได้สรุปเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่ช่วงค่ำของวันที่ 8 มี.ค.  และเกิดขึ้นต่อเนื่องหลายจุด ดังนี้

เกิดเหตุลอบยิงและเหตุวางระเบิดในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส 4 จุด ได้แก่ จุดที่ 1 บริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอสุไหงโก-ลก เกิดเหตุเวลา 19.10 น. คนร้ายไม่ทราบจำนวนขับขี่่รถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุ รุ่นดีแมกซ์ สีบรอนซ์เงิน โดยบรรทุกคนร้ายสวมชุดดาวะห์สีดำเต็มคันรถ  ขว้างระเบิดแสวงเครื่องใส่ที่ว่าการอำเภอสุไหงโก-ลก ก่อนใช้อาวุธปืนยิงใส่เจ้าหน้าที่อาสารักษาดินแดนซึ่งปฏิบัติหน้าที่ดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกให้ผู้เดินทางละหมาดในเวลาดังกล่าว และต่อมาคนร้ายได้หลบหนีออกไปโดยรถยนต์กระบะคันเดิม ก่อนจะเกิดเหตุระเบิดด้วยรถยนต์ประกอบระเบิดแสวงเครื่องและรถจักรยานยนต์ประกอบระเบิดแสวงเครื่อง บริเวณจุดตรวจหน้าที่ว่าการอำเภอสุไหงโก-ลก

จุดที่ 2 เกิดเหตุเวลา 19.28 น. ระเบิดบริเวณถนนอรกานต์ ใกล้รางรถไฟ, จุดที่ 3 เกิดเหตุเวลา 19.30 น. ระเบิดบริเวณบนถนนหน้าบิ๊กซี สาขาสุไหงโก-ลก และจุดที่ 4 เกิดเหตุเวลา 19.52 น. ระเบิดเสาไฟฟ้า บริเวณหัวสะพานตลิ่งสูง ก่อนถึงโรงเรียนบ้านตลิ่งสูง หมู่ที่ 9 บ้านตลิ่งสูง  ตำบลสุไหงปาดี อำเภอสุไหงปาดี เป็นเหตุให้เสาไฟฟ้าทั้ง 2 ต้นหัก

จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย คือ นายหมู่ใหญ่ มูฮำหมัดซาบรี นะสะวัน และอาสาสมัครรักษาดินแดน (อส.) ทศพล พายพิมพ์ และผู้ได้รับบาดเจ็บ 11 คน ดังนี้ 1.อส.ณรงค์ชัย รัดรึงสุนทรี 2.อส.มัสรัน อารง 3.อส.อีซูวัน บินมะมิง 4.อส.มะดารี ตาเยะ 5.อส.อภิชัย บุตจีน 6.อส.ซุลกิฟลี วาจิ 7.อส.ธวัชชัย ไชยศรี 8.อส.กำทร วงศ์นคร 9.นายจิรภัทร อาแวสือแม 10.นางรัชนีวรรณ จุ้ยทอง และ 11.นายสงกรานต์ ยูโซะ

เกิดเหตุในพื้นที่จังหวัดปัตตานี จำนวน 2 จุด ดังนี้ จุดแรกเวลา 18.00 น. ลอบยิงชุดปฏิบัติการจรยุทธ์ กองร้อยทหารพรานที่ 4411 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 44 บริเวณริมถนนทางหลวงหมายเลข 4074 บ้านฮูแตกอแล หมู่ที่ 3 ตำบลเตราะบอน อำเภอสายบุรี เหตุการณ์นี้ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต, จุดที่ 2 เวลา 23.20 น. ลอบวางระเบิดบริเวณศาลา ในพื้นที่บ้านฮูแตกอแล หมู่ที่ 3 ตำบลเตราะบอน อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย ประกอบด้วย 1.อาสาสมัครทหารพราน (อส.ทพ.) สมัย บุญยงค์ อายุ 46 ปี

2.นายมะรอมลี มะยะเด็ง ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน 3.นายอดิศร ดอเลาะ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบ และบาดเจ็บ 1 นาย คือ นายฮารง เยะและ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบ

ภายหลังเกิดเหตุ พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 และผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ได้สั่งการให้หน่วยงานความมั่นคงทุกหน่วยในพื้นที่ เข้าประจำจุดตรวจจุดสกัดตามแผนที่ได้วางไว้ เพื่อป้องกันการก่อเหตุซ้ำของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ต่างๆ พร้อมทั้งสั่งการให้หน่วยเร่งคลี่คลายสถานการณ์ให้เข้าสู่ภาวะปกติอย่างเร่งด่วน และขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวเจ้าหน้าที่และประชาชนที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ดังกล่าว

เพิ่มคุมเข้มสถานที่ราชการ

จากนั้น เวลา 11.00 น. พล.ท.ไพศาลบินด่วนลงพื้นที่ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ประชุมร่วม 3 ฝ่าย ทหาร ตำรวจ ปกครอง ติดตามสถานการณ์ โดยมี พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9, ว่าที่ร้อยตรีตระกูล โทธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส, ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธิน กองทัพเรือที่ 33  หน่วยกำลัง ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครองในพื้นที่ร่วมประชุม สรุปสถานการณ์และรายงานผลกระทบ พร้อมหารือแนวทางการปรับแผนการดูแลพื้นที่อย่างเข้มข้น

ทั้งนี้ ภายหลังได้รับฟังสรุปสถานการณ์ แม่ทัพภาคที่ 4 ได้สั่งทบทวนแผนการปฏิบัติ เน้นย้ำแผนรักษาความปลอดภัยเขตเมือง สถานที่ราชการเป็นสำคัญ เพราะจากพฤติการณ์ของกลุ่มเหตุรุนแรงพบว่ามีการวางแผนเตรียมการมาอย่างดี มีกองกำลังและอาวุธพร้อมครบมือ โดยก่อเหตุอย่างอุกอาจไม่เกรงกลัวและคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชน แม้จะเป็นช่วงเดือนรอมฎอน โดยจากนี้ให้ผู้บังคับหน่วยกำชับและแจ้งเตือนหน่วยให้ชัดเจน ให้ลงให้ถึงผู้ปฏิบัติ  และให้มีการปรับแผนการปฏิบัติงาน ยกระดับให้มีความรัดกุม รอบคอบ ไม่ประมาท และเสริมการรักษาความปลอดภัยสถานที่ราชการ และสิ่งสาธารณูปโภค จุดล่อแหลมต่างๆ

รวมถึงการดูแลเส้นทางหลักเส้นทางรอง และให้มีการซักซ้อมแผนเผชิญเหตุอย่างสม่ำเสมอ ตลอดจนบูรณาการการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และประสานกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน รวมถึงเครือข่ายประชาชน ช่วยสอดส่องดูแลเป็นหูเป็นตาให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ และเมื่อพบสิ่งผิดปกติ ให้รีบแจ้งกับเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครองโดยด่วนทันที เพื่อเป็นการป้องกันการเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

จากนั้นแม่ทัพภาคที่ 4 พร้อมด้วยผู้ว่าฯ นราธิวาส ได้ลงตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุบริเวณที่ว่าการอำเภอสุไหงโก-ลก ส่วนรถที่ก่อเหตุ แม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่าเป็นรถซื้อมาจากเต็นท์นอกพื้นที่ และมีการโอนลอย ซึ่งตอนนี้รู้แล้วว่าใครเป็นเจ้าของ จะเร่งดำเนินการขยายผลไปยังกลุ่มผู้ก่อเหตุต่อไป

ทั้งนี้ จากการสอบสวนและใช้กล้องวงจรปิดที่สามารถบันทึกพฤติกรรมของคนร้ายเอาไว้ได้  สรุปโดยย่อคือ ในช่วงก่อเหตุมีคนร้ายจำนวนกว่า 10 คน แต่งกายเป็นผู้หญิงมุสลิม ใช้ผ้าคลุมศีรษะอำพรางใบหน้า นั่งรถยนต์กระบะ 1 คัน และรถยนต์เก๋ง 1 คัน ขับไล่หลังกันมา โดยมีรถยนต์กระบะขับนำหน้า เมื่อถึงบริเวณจุดตรวจหน้าประตูทางเข้าของที่ว่าการอำเภอสุไหงโก-ลก คนร้ายได้ลงจากรถทั้ง 2 คัน โดยมีอาวุธปืนครบมือ แยกย้ายออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่คือ ที่บริเวณประตูทางเข้า และที่บริเวณประตูด้านซ้ายมือติดกับตู้เอทีเอ็ม

จากนั้นคนร้ายได้ใช้อาวุธปืนยิงใส่ อส.ที่เข้าเวรยามหน้าประตูในลักษณะไม่ให้ยิงต่อสู้ แล้วคนร้ายได้ขับรถยนต์เก๋งที่ประกอบระเบิดคาร์บอมบ์มาแล้วเสร็จ จอดที่บริเวณประตูทางเข้าซึ่งมีความลาดชัน จากนั้นคนขับได้เปิดประตูออกจากรถยนต์เก๋ง แล้วผลักรถยนต์เก๋งให้ไหลเข้าไปที่บริเวณหน้าอาคารหอประชุม จากนั้นคนร้ายได้ใช้อาวุธปืนยิงกดไว้ไม่ให้ อส.ที่อยู่ภายในที่ว่าการอำเภอยิงตอบโต้ แล้วคนร้ายได้พากันขึ้นท้ายรถยนต์กระบะคันดังกล่าวขับหลบหนีวกกลับมาทางเดิมโดยมุ่งหน้าไปทาง อ.สุไหงปาดี ก่อนที่คนร้ายจะจุดชนวนระเบิดคาร์บอมบ์ที่ประกอบใส่รถยนต์เก๋งคันดังกล่าว ทำให้เจ้าหน้าที่นายหมู่ใหญ่ มูฮำหมัดซาบรี นะสะวัน เสียชีวิตคาที่ และ อส. รวมทั้งชาวบ้านได้รับบาดเจ็บ

ในระหว่างที่คนร้ายขับรถยนต์กระบะหลบหนี ได้เจอกับ อส.ทศพล พายพิมพ์ ที่กำลังเดินทางเข้าสนับสนุนเพื่อน อส.ที่ถูกคนร้ายยิงถล่ม คนร้ายจึงได้ใช้อาวุธปืนสงครามยิงเสียชีวิตบนถนน ห่างจากที่ว่าการอำเภอประมาณ 200 เมตร และล่าสุดพบว่ารถกระบะที่คนร้ายใช้ก่อเหตุถูกจอดทิ้งไว้ภายในสวนปาล์ม ต.ริโก๋ อ.สุไหงปาดี ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้ปิดกันพื้นที่เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบต่อไป

ระเบิดหนัก 100 กิโลฯ

 ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจสอบรถยนต์ที่คนร้ายใช้ก่อเหตุและได้นำเป็นพาหนะในการซุกซ่อนระเบิดคาร์บอมบ์ พบเป็นรถยนต์เก๋งยี่ห้อโตโยต้า สีบรอนซ์ ติดแผ่นป้ายทะเบียนปลอม กต 9903 ปัตตานี ที่ได้มีการซื้อขายผ่านเฟซบุ๊ก มัดจำผ่านออนไลน์และตรวจรับรถจ่ายเงินในพื้นที่ จ.สงขลา ซึ่งเจ้าหน้าที่จะตรวจสอบรายละเอียดอีกครั้งว่ามีการซื้อขายกันระหว่างผู้ใดกับคนร้าย

สำหรับระเบิดคาร์บอมบ์ดังกล่าว เป็นระเบิดแสวงเครื่องที่บรรจุใส่ไว้ในถังแก๊สหุงต้ม หนัก 100 กิโลกรัม จุดชนวนด้วยวิทยุสื่อสารด้วยความสมบูรณ์แบบทำงาน 100 เปอร์เซ็นต์ ทำให้รถยนต์เก๋งคันดังกล่าวกลายเป็นซากเศษชิ้นส่วนกระจายในรัศมีกว่า 100 เมตร ทำให้ด้านหน้าของอาคารหอประชุมได้รับความเสียหายทั้งแถบ และมีด้านหน้าของอาคารสรรพากร ห้องประชุมชั้น 2 ของที่ว่าการอำเภอ โรงจอดรถดับเพลิง  อาคารที่ว่าการอำเภอหลังเก่าที่ใช้เป็นสถานที่เก็บวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ รวมทั้งอาคารแฟลตการเคหะแห่งชาติที่อยู่ด้านหลังที่ว่าการอำเภอ ทั้งกระจกหน้าต่าง กระจกประตู กระบานเกล็ด หลังคา รถยนต์กระบะ 6 ล้อ และรถยนต์หุ้มเกราะ ได้รับความเสียหายทั้งหมด

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด รวมทั้งเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน จ.นราธิวาส ยังได้เข้าตรวจสอบที่บริเวณถนนเลียบทางรถไฟแยกอรกานต์ และที่บริเวณหน้าอู่จรัญ ถ.โต๊ะลือเบ เขตเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก ซึ่งห่างจากที่ว่าการอำภอสุไหงโก-ลกประมาณ 2-3 กิโลเมตร ที่คนร้ายได้วางถังแก๊สปิกนิกจุดละ 1 ลูก หนัก 20 กิโลกรัม และเกิดระเบิดขึ้น พบว่าคนร้ายได้จุดชนวนระเบิดด้วยวิทยุสื่อสารทั้ง 2 จุด เป็นลักษณะเบียงเบนไม่ให้เจ้าหน้าที่ได้เข้าช่วยเหลือและสนับสนุนกำลังไปที่ว่าการอำเภอสุไหงโก-ลก โดยไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ เนื่องจากขณะระเบิดทำงานเจ้าหน้าที่ได้กันพื้นที่ไว้แล้ว

ส่วนพื้นที่ อ.สุไหงปาดี ตรวจสอบพบว่าคนร้ายได้ใช้ระเบิดแสวงเครื่องไม่ทราบภาชนะบรรจุและตัวจุดชนวนระเบิด ไปวางไว้ใต้โคนเสาไฟฟ้าริมถนนสายสุไหงปาดี-เจาะไอร้อง ช่วงบริเวณบ้านตลิ่งสูง ม.1 ต.สุไหงปาดี ทำให้เสาไฟฟ้าทั้ง 2 ต้นหักแต่ไม่โค่นล้มขวางถนน เนื่องจากมีสายไฟฟ้าต้นใกล้เคียงกันได้พยุงไว้

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังพบว่าได้เกิดเหตุความไม่สงบในพื้นที่ อ.ตากใบ ช่วงเวลา 04.00 น. โดยคนร้ายได้นำระเบิดแสวงเครื่องไม่ทราบภาชนะบรรจุไปวางไว้ที่โคนเสาไฟฟ้าริมถนนสายสุไหงโก-ลก-ตากใบ บริเวณบ้านซีโป ต.โฆษิต และคนร้ายได้จุดชนวนระเบิดทำให้เสาไฟฟ้า 2 ต้น มีลักษณะเอียงแต่ไม่หักโค่น

นายกฯ เสียใจสั่งเยียวยา

ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดนราธิวาสและปัตตานีว่า  ได้รับรายงานเรื่องนี้ตั้งแต่อยู่บนเครื่องบิน และขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิตที่ได้รับผลกระทบทุกๆ คน เรื่องนี้ต้องมีการเยียวยาต่อไป และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาข้อมูลเพิ่มเติม รวมทั้งจะให้ทีมงานดูเพิ่มว่าจะต้องดำเนินการตามกระบวนการอย่างไรบ้าง ซึ่งเรื่องความช่วยเหลือและการเยียวยาต้องอย่างเต็มที่

ผู้สื่อข่าวถามว่า ช่วงนี้เป็นช่วงถือศีลอดรอมฎอน ชาวมุสลิมอาจจะต้องมีศาสนกิจในช่วงกลางคืน จะต้องมีการเข้มงวดอย่างไรบ้างหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ต้องดูเพิ่มในเรื่องของการเพิ่มกำลังในช่วงกลางคืนมากขึ้น แต่ขอไปคุยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนว่าเขามีการวางแผนในการเพิ่มกำลังมากน้อยแค่ไหน แต่ว่าต้องเพิ่มแน่ เพราะเมื่อเกิดเหตุการณ์อย่างนี้การเพิ่มกำลังไม่ใช่เฉพาะเรื่องการดูแล แต่เป็นความมั่นคงทางจิตใจให้ประชาชนด้วยว่าเราจะต้องดูแลและเพิ่มมาตรการมากขึ้น

เมื่อถามว่า ปัจจัยที่ทำให้เกิดความรุนแรงในช่วงนี้ได้มีรายงานมาแล้วหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ยังไม่ได้บทสรุป แต่ตอนนี้มีการพูดกันในหลายเหตุผล

ด้าน พล.ต.ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวของเจ้าหน้าที่และประชาชนที่เสียชีวิต ซึ่งมีผู้เสียชีวิตรวม 5 ราย และได้รับบาดเจ็บ 13 ราย ทั้งนี้ การก่อเหตุรุนแรงในช่วงเดือนศักดิ์สิทธิ์นี้ ถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักศาสนาและสร้างความสูญเสียอย่างร้ายแรง  กระทรวงกลาโหมขอให้ประชาชนทุกคนได้ร่วมประณามการกระทำของกลุ่มผู้ไม่หวังดี และขอยืนยันว่าจะดำเนินมาตรการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อปกป้องพี่น้องประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

พร้อมขอให้ประชาชนและเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายร่วมมือกันสร้างสันติสุขและความมั่นคงในพื้นที่ พร้อมทั้งให้ความมั่นใจว่าหน่วยงานด้านความมั่นคงจะดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับประชาชน และจะทำให้สถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุด

พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์  ผู้บัญชาการทหารบก และรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ได้รับรายงานแล้ว รู้สึกเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวและญาติของผู้สูญเสียทุกคน ทั้งนี้ หลังเกิดเหตุได้สั่งการให้ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และให้การดูแลผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในครั้งนี้อย่างดีที่สุด รวมทั้งให้เร่งติดตามค้นหา นำตัวผู้กระทำผิดมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมให้ได้โดยเร็วที่สุด อย่างไรก็ตาม เทศกาลรอมฎอนปีนี้ รัฐบาลมุ่งสร้างบรรยากาศรอมฎอนที่สันติสุขเพื่อให้พี่น้องมุสลิมใน 3 จชต. สามารถปฏิบัติตามวิถีแห่งศาสนาได้อย่างสงบสุขโดยสมบูรณ์และปลอดภัย ดังนั้น เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายจึงได้พยายามประสานขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมถึงการพยายามสื่อสารกับกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงในทุกช่องทาง แต่กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงบีอาร์เอ็นยังไม่มีท่าทีที่จะให้ความร่วมมือในการยุติเหตุรุนแรงในห้วงเดือนรอมฎอน และได้ก่อเหตุรุนแรงในการลอบยิง ลอบวางระเบิดในหลายพื้นที่มาตามลำดับ รวมถึงการโจมตีที่ทำการอำเภอสุไหงโก-ลก ทำให้เจ้าหน้าที่และประชาชนผู้บริสุทธิ์บาดเจ็บเสียชีวิต

ประณามบีอาร์เอ็น

"สะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มก่อความรุนแรงบีอาร์เอ็นไม่เคารพต่อความปรารถนาในสันติสุขของพี่น้องไทยมุสลิมใน 3 จชต. และมีเจตนาที่จะละเมิดกฎหมายของสังคมด้วยการก่อความรุนแรงต่อประชาชน ทำลายสถานที่ราชการ  ทำลายระบบสาธารณูปโภค และทำลายความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ทั้งนี้ กอ.รมน.และเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายยังคงยืนยันที่จะควบคุมและรักษาพื้นที่ให้ปลอดภัยอย่างดีที่สุด โดยสถานการณ์ที่ผ่านมา ทำให้เจ้าหน้าที่มีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มมาตรการควบคุมพื้นที่เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งจะปฏิบัติการเชิงรุกที่จำเป็น เพื่อปกป้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ให้สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ และสามารถปฏิบัติศาสนกิจในเดือนรอมฎอนได้โดยสันติสุข จึงขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และขอให้มีความเชื่อมั่นต่อเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด" พล.ต.วินธัยระบุ

นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า เหตุการณ์ความไม่สงบมีความห่วงใยมาโดยตลอด โดยเฉพาะในเดือนรอมฎอนที่ถือศีลอดนี้ เรากำลังทำความดี ซึ่งศาสนาอิสลามนั้น ต้องการสร้างสันติในเดือนรอมฎอน เพราะฉะนั้นจะไม่ไปทำอะไรให้คนอื่นเขาเดือดร้อน บาปทั้งหลายควรจะงดเว้น ควรจะมีการทำบุญเอื้อเฟื้อ เลี้ยงแขก หรือบริจาคต่างๆ ซึ่งการบริจาคการให้คนอื่นมีความสุขนั้น ได้บุญมากกว่าเดือนอื่นๆ ถึง 70 เท่า เพราะฉะนั้นอยากให้เดือนนี้เป็นเดือนที่ทุกคนปฏิบัติตามหลักการของศาสนา คือการไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ใด

 นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล สมาชิกวุฒิสภา (สว.) เลขานุการคณะกรรมาธิการการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา กล่าวว่า สาเหตุของความสูญเสียครั้งนี้ มาจากความล้มเหลวของเจ้าหน้าที่รัฐ 1.ความล้มเหลวในงานด้านการข่าว 2.การรักษาความปลอดภัยในเมืองเศรษฐกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ล้มเหลว 3.กองกำลังพิเศษจากส่วนกลาง ที่ลงมาทำงานไล่ล่าเหตุยิงครู ตชด. ที่ อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส ผ่านมาแล้ว 2 เดือน ยังไล่ล่าไม่พบ แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวด้านยุทธวิธีในการรบแบบสงครามกองโจร 4.ก่อนที่จะถึงเดือนรอมฎอน พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก หัวหน้าคณะพูดคุยสันติภาพคนใหม่ ได้ลงพื้นที่พบกับแกนนำของขบวนการบีอาร์เอ็น รวมทั้งเดินทางไปยังรัฐกลันตัน เพื่อขอให้ 30 วันของเดือนรอมฎอนเป็นเดือนแห่งสันติ ซึ่งก็ล้มเหลว

"สุดท้ายการก่อเหตุของบีอาร์เอ็นอย่างถี่ยิบ  มาจากที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไปขอร้องขอความร่วมมือกับนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ให้ช่วยยุติความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้วยการบีบบังคับให้แกนนำบีอาร์เอ็นยุติการก่อเหตุ และให้เข้าสู่การเจรจาสันติภาพ แต่บีอาร์เอ็นฝ่ายทหารไม่เห็นด้วย และมีการประกาศว่าถ้ารัฐบาลกลางของมาเลเซียบีบบังคับ บีอาร์เอ็นที่มีฐานที่มั่นในรัฐกลันตันก็จะก่อเหตุในสามจังหวัดให้รุนแรงยิ่งขึ้น เป็นการตอบโต้การเข้ามาของนายทักษิณ" นายไชยยงค์ระบุ

นายไชยยงค์กล่าวว่า รัฐบาลชุดนี้ต้องตัดสินใจ คือต้องมีกฎหมายการก่อการร้าย เพื่อใช้เป็นเครื่องมือของการแก้ปัญหา รวมทั้งการสร้างรั้วถาวรกั้นพรมแดนระหว่างในพื้นที่ของ อ.ตากใบ และ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ระยะทาง 160 กิโลเมตร ของแม่น้ำสุไหงโก-ลก.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เลือก‘ณรงค์-อภิชาติ’นั่งกต.คนนอก

ผู้พิพากษาทั่วประเทศเทคะเเนนเลือก “อ.ณรงค์-หมออภิชาติ” นั่ง ก.ต.คนนอก คุ้มครองอิสระการทำหน้าที่ตุลาการ “สมชาย เล่งหลัก” ลุ้นศาลรัฐธรรมนูญชี้ชะตาเก้าอี้ สว. ปมถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 10 ปี  

ลดเบนซิน-ดีเซล1บาท/ลิตร

"กบน." ใจป้ำปรับลดราคาน้ำมันเบนซิน-ดีเซล 1 บาท/ลิตร เป็นของขวัญให้ประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์