“โรม” ยกกรณีไบโอเมตริกซ์ตอกย้ำองค์กร ตร.ล้มเหลว ปล่อย 17 ล้านคนเข้า-ออก ปท. จี้ รบ.เร่งแก้ไข “ดีเอสไอ” ปัดยืดเวลาหมายจับ “หม่อง ชิตตู” สั่งพักราชการรองอธิบดีอัยการรับสินบนจีนเทา “ตร.ภูเก็ต” ทลายบ่อนเถื่อน รวบผู้ต้องหา ของกลางเพียบ
เมื่อวันที่ 21 ก.พ. นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กยืนยันว่า ประเทศไทยไม่มีการเก็บข้อมูลคนผ่านเข้า-ออกประเทศผ่านระบบไบโอเมตริกซ์ (Biometrics) เสี่ยงมีอาชญากรกลับมาก่อเหตุซ้ำ
นายรังสิมันต์ระบุตอนหนึ่งว่า เรื่องไบโอเมตริกซ์ ขอยืนยันอีกครั้งว่า ตลอดปี 2567 ทั้งปี และจนถึงวันนี้ไม่มีการเก็บไบโอเมตริกซ์จริง เป็นการเก็บแบบถ่ายรูปเท่านั้น ไม่ใช่ไบโอเมตริกซ์ แล้วระบบใหม่ที่ ตม.จะได้รับมาใช้ก็อาจจะต้องรอมากถึง 29 เดือน (ซึ่งยังไม่ได้มีการจัดซื้อจัดจ้าง อาจจะต้องรอนานมากกว่า 29 เดือนด้วยซ้ำ) ที่ผ่านมานับตั้งแต่ไลเซนส์หมดอายุ มีคนเข้าออกประเทศไทย 17 ล้านคนโดยไม่มีการเก็บอัตลักษณ์ หรือ Biometrics เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ แม้แต่เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองหลายคนก็ไม่ทราบ เพราะยังคงใช้เครื่องมือ อุปกรณ์ต่างๆ ราวกับเป็นการเก็บ Biometrics แต่ในความเป็นจริงคือ เป็นการเก็บด้วยภาพ คือเป็นภาพใบหน้าคน และภาพลายพิมพ์นิ้วมือ ถ้านึกไม่ออกให้นึกว่าคุณไปพิมพ์ลายพิมพ์นิ้วมือที่โรงพัก ซึ่งเขาจะมีลูกกลิ้งดำๆ ให้พิมพ์ลายนิ้วมือลงกระดาษ หลังจากนั้นก็ถ่ายรูปอันนั้นเก็บเอาไว้ สภาพเป็นแบบนั้น
“ถ้าใครย้อนกลับไปฟังที่ตรวจคนเข้าเมืองมาชี้แจงต่อกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐฯ จะทราบว่าผู้แทนของตรวจคนเข้าเมืองได้ชี้แจงว่ามีความพยายามพูดคุยเพื่อแก้ปัญหานี้มาแล้ว 7 ครั้ง (หมายความว่าตรวจคนเข้าเมืองทราบดีว่ามีปัญหานี้) แต่ผู้บังคับบัญชาก็หาได้นำพาไม่”
เขาระบุด้วยว่า นี่คือความล้มเหลวอย่างถึงที่สุดขององค์กรตำรวจ ที่ปล่อยให้เกิดการเดินทางเข้าออกประเทศ โดยเฉพาะคนต่างชาติที่อาจจะเป็นแก๊งอาชญากรข้ามชาติ แต่แฝงตัวในคราบของนักท่องเที่ยวโดยไม่มีการบันทึกอัตลักษณ์ ผมเชื่อว่า จุดอ่อนตรงนี้คงเป็นสาเหตุไม่มากก็น้อยที่ทำให้อาชญากรข้ามชาติ กลุ่มสีเทาดำทั้งหลายถึงอยู่ในประเทศไทยอย่างเต็มบ้านเต็มเมือง ยิ่งไปกว่านั้น การกำจัดพวกนี้ก็ทำได้ยาก เพราะความไร้ประสิทธิภาพของหน่วยงานของรัฐ
“ผมขอเรียกร้องไปยังท่านนายกรัฐมนตรี ท่านรองนายกรัฐมนตรีท่านภูมิธรรม ตรวจสอบเรื่องนี้ นี่คือปัญหาใหญ่ที่ต้องเร่งจัดการ เราต้องอุดช่องโหว่ตรงนี้ และท่านต้องตรวจสอบดีๆ ว่าเจ้าหน้าที่รัฐที่บอกกับท่านว่าคนจีนที่ส่งกลับไปจีนว่ามีการเก็บอัตลักษณ์ อาจจะไม่ได้มีการเก็บจริงๆ ผมยังสงสัยจริงๆ ว่าในอนาคตพวกนี้อาจจะกลับมาที่ประเทศไทยได้อีกครั้ง อย่าให้ประเทศไทยต้องเป็นแดนสวรรค์ของพวกสีเทาไปกว่านี้เลย”
วันเดียวกัน ที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) นายสนธิญา สวัสดี อดีตที่ปรึกษาประธาน กมธ.การกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร เดินทางเข้าร้องเรียนต่อนายวิทยาพร จันทวาส ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านสืบสวนสอบสวนทางการเงิน และในฐานะรองโฆษก ปปง. เพื่อขอให้ตรวจสอบยึดอายัดทรัพย์สินของ พล.ต.หม่อง ชิตตู ผู้นำกองกำลังพิทักษ์ชายแดนกะเหรี่ยง หรือผู้นำกองกำลังแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNA) ในความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์คอลเซ็นเตอร์ชาวอินเดีย
ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีการหารือเรื่องสำนวนการสอบสวนระหว่างเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ กองคดีค้ามนุษย์ และพนักงานอัยการพิเศษ ฝ่ายสำนักงานคดีค้ามนุษย์ 1 สำนักงานอัยการสูงสุด ซึ่งจะต้องรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขอศาลอาญาออกหมายจับ พล.ต.หม่อง ชิตตู กับพวก ฐานความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ว่าในเรื่องดังกล่าวดีเอสไอได้มีการสอบสวนร่วมกับพนักงานอัยการ เนื่องจากเป็นคดีความผิดนอกราชอาณาจักร ซึ่งพนักงานสอบสวนในคดีได้มีการรายงานว่ายังอยู่ระหว่างการร่วมกันหารือเรื่องพยานหลักฐาน แต่ไม่ใช่ว่าหมายจับออกหรือไม่ออก แต่เพียงแค่ว่ามีรายละเอียดภายในสำนวนค่อนข้างเยอะ จึงต้องมีการร่วมกันดูเอกสารพอสมควร อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการสอบสวนปากคำพยานมีค่อนข้างครบถ้วนแล้ว เพียงแค่ต้องเอาเอกสารทั้งหมดมาดูในประเด็นปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องพิจารณาร่วมกันว่ามันตรงหรือไม่ และเป็นไปตามที่ได้มีการหารือร่วมกันหรือไม่
ส่วนประเด็นว่าจะเป็นการไปยืดระยะเวลาการขอศาลออกหมายจับ พล.ต.หม่อง ชิตตู กับพวก ออกไปนานกว่าเดิมหรือไม่นั้น ร.ต.อ.สุรวุฒิชี้แจงว่า คงไม่เป็นเช่นนั้น แต่เป็นลักษณะว่าพยานหลักฐานที่เราได้มารวมกันในสำนวนมันครบถ้วนหรือไม่ ถ้าครบถ้วนก็จะพิจารณา เพราะไม่ได้มีเพียง พล.ต.หม่อง ชิตตู เพียงรายเดียว แต่ยังมีคนอื่นรวมด้วยกว่า 10 ราย ซึ่งจะต้องมีการไล่เรียงทีละราย เพราะอยากย้ำว่าการพิจารณาการออกหมายจับควรที่จะออกในคราวเดียวกันน่าจะเป็นการดีกว่า และจะเห็นทั้งกระบวนการ ส่วน 10 รายผู้ต้องหาที่ว่าจะเป็นใครบ้าง ตนขอละเว้นไว้ภายในสำนวนการสอบสวนก่อน เนื่องจากคดีค้ามนุษย์ค่อนข้างมีความละเอียดอ่อน ส่วนประเด็นที่มีข่าวนำเสนอไปก่อนหน้านี้ว่า ในการประชุมครั้งที่แล้ว พนักงานอัยการได้เดินทางกลับเลยนั้น ขอปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง แต่พนักงานอัยการติดภารกิจฝากขังเรื่องคดีอื่นเร่งด่วน จึงต้องรีบกลับไปดูก่อน แต่ในส่วนเอกสารของคดีดังกล่าว พนักงานอัยการได้รับไปหมดแล้ว
ร.ต.อ.สุรวุฒิเปิดเผยอีกว่า หลังจากนี้ทางดีเอสไอและพนักงานอัยการจะได้มีการนัดหารือร่วมกันอีกครั้งในภายหลัง ส่วนกรณีที่ พล.ต.หม่อง ชิตตู ได้มีความพยายามนำเสนอภาพการช่วยเหลือเหยื่อที่ตกอยู่ในพื้นที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ประเทศเมียนมา จะมีผลอย่างไรต่อการพิจารณาออกหมายจับของดีเอสไอและพนักงานอัยการหรือไม่นั้น ตนขอยืนยันว่า คงไม่ใช่เรื่องนั้น เพราะในการสอบสวน ว่ากันด้วยเรื่องพยานหลักฐานภายในสำนวน ถ้ามันเป็นพยานหลักฐานในสำนวนก็ทำไม่ได้ ต้องทำสำนวนไปตามปกติ ไม่ได้เกี่ยวกัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 19 ก.พ.ที่ผ่านมา ที่ห้องประชุม ก.อ. ชั้น 8 สำนักงานอัยการสูงสุด ศูนย์ราชการ ถนนแจ้งวัฒนะ มีนายเรวัตร จันทร์ประเสริฐ ประธานคณะกรรมการอัยการ เป็นประธานในการประชุม ก.อ. ครั้งที่ 3/2568 โดยที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้พักราชการข้าราชการอัยการในระหว่างการพิจารณาและการสอบสวนทางวินัย จำนวน 1 ราย โดยเป็นข้าราชการรายหนึ่งเป็นระดับรองอธิบดีอัยการ โดนร้องเรื่องสินบนจีนเทา จนภายหลังถูกพนักงานอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริตฯ ยื่นฟ้องต่อศาลไปเเล้ว ทางคณะกรรมการอัยการเลยสั่งพักราชการ สำหรับรองอธิบดีอัยการคนนี้เคยปรากฏเป็นข่าวใหญ่ที่ถูกอดีตทนายดังมายื่นร้องเรื่องชู้สาว
ที่ จ.ภูเก็ต พล.ต.ต.สินเลิศ สุขุม ผบก.ภ.จวภูเก็ต แถลงถึงกรณีตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต ทลายบ่อนการพนันกลุ่มทุนจีนเทาว่า เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 เวลาประมาณ 23.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจสนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยต่างๆ ทำการจับกุมผู้ลักลอบเล่นการพนันผู้จัดให้มีการเล่นการพนันสัญชาติไทย จำนวน 1 ราย และสัญชาติจีน จำนวน 13 ราย รวมทั้งสิ้น 14 ราย พร้อมทั้งได้ทำการตรวจยึดของกลางในการเล่นการพนันจำนวนหลายรายการ เช่น โต๊ะโป๊กเกอร์ จำนวน 4 ตัว, เครื่องเล่นการพนันยิงปลา จำนวน 2 เครื่อง, โต๊ะเล่นไพ่นกกระจอกไฟฟ้า จำนวน 5 ตัว, ชิปแลกเงินสดเฉพาะที่นำมาเล่นมูลค่า 1,030,000 บาท และของกลางอื่นๆ อีกรวมจำนวน 32 รายการ แล้วจึงนำตัวผู้ถูกจับกุมพร้อมของกลาง ส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองภูเก็ต ดำเนินคดีตามกฎหมาย
พล.ต.ต.สินเลิศกล่าวอีกว่า ตอนนี้กำลังตรวจสอบเส้นทางการเงินถึงเจ้าของที่แท้จริงของสถานที่แห่งนี้ หลังจากดำเนินคดีนี้แล้วเราจะเพิกถอนและทำแบล็กลิสต์ จะไม่สามารถเข้ามาในเมืองไทยได้แล้ว ถ้ามีพยานหลักฐานถึงใคร ดำเนินคดีเสนอ ตม.ดำเนินการเพิกถอน ตอนนี้ผู้ที่รับเป็นเจ้าของบ้านเป็นคนไทย ส่วนเจ้าของบ้านต้องไปดูในเรื่องสัญญาเช่าอีกทีหนึ่งว่าเป็นอย่างไร รู้เห็นหรือไม่.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ปชน.ลุยยุทธการโรยเกลือ ขยี้ปมตั๋วP/N-รร.เขาใหญ่
"อิ๊งค์" ย้ำ "ตั๋ว PN" ทำทุกอย่างถูกต้อง ชี้ยังไม่จ่ายเงินจะหนีภาษีได้ยังไง
ทั่วไทยโกลาหล กรมชลฯ-กฟผ. ชี้เขื่อนแข็งแรง
แผ่นดินไหวระดับ 8.2 ทำทั่วไทยโกลาหล โรงพยาบาลหลายพื้นที่อพยพผู้ป่วยทันที
‘100องค์กร’ต้าน มติครม.ผุดกาสิโน
"แพทองธาร" เตรียมส่งคนคุยม็อบเห็นต่างเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ชี้ 10%
ธรณีพิโรธเขย่ากรุง แรงสุดใน100ปี/ตึกสตง.ถล่มดับ3/กทม.ประกาศภัยพิบัติ
เกิดแผ่นดินไหวขนาด 8.2 ลึก 10 กม. ศูนย์กลางเมืองมัณฑะเลย์ เมียนมา พร้อมอาฟเตอร์ช็อก 21 ครั้ง
บิ๊กเต่าขยายผล ทุจริตยาแถว2-3 รพ.ทหารผ่านศึก
"ภูมิธรรม" ตอกฝ่ายค้าน หลังจี้จัดการแก๊งทุจริตยา บอกไม่เคยบริหาร ปท.ไม่รู้วิธีปฏิบัติราชการ ยันต้องทำงานเงียบๆ
อิ๊งค์ลุยภูเก็ตดันท่องเที่ยว ติดดาบ‘กลต.’สกัดปั่นหุ้น
ครม.เห็นชอบงบประมาณปี 69 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท ไฟเขียว "พ.ร.ก.ตลาดทุน"