ดันจีดีพีทะลุ3% สั่งคลังคุยธปท. ปล่อยกู้เอกชน

“นายกฯ อิ๊งค์” สั่ง “พิชัย” คุยแบงก์ชาติ ดันจีดีพี เร่งปล่อยสินเชื่อหนุนเอกชนลงทุน  คลังประสานเสียงมั่นใจเศรษฐกิจปีนี้โตได้ 3%  จ่อคลอดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในไตรมาส 2   ไปถึงครึ่งปีหลัง เข็นให้ถึง 3.5% ปลื้ม "บ้านเพื่อคนไทย” เฟสแรก ผ่านเกณฑ์ 1.4 แสนคน แห่เข้าเว็บ 80 ล้านครั้ง

ที่ศูนย์ประชุมนานาชาติฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จ.สงขลา เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ เวลา 10.00 น. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ครั้งที่ 1/2568 โดยนายกฯ กล่าวช่วงต้นการประชุมว่า จากการรายงานตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจไทย ไตรมาสที่ 4 ของปี 2567 และแนวโน้มปี 2568 โดยสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) นั้น จะเห็นว่าตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาสที่ 4/2567 มีทิศทางที่ดีขึ้น โดยขยายตัว 3.2% เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงผลของมาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลได้ดำเนินการตลอดมา

อย่างไรก็ตาม มีประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะตัวเลขการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกที่เพิ่มมากขึ้น แต่การใช้กำลังการผลิตในประเทศกลับลดลง แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยเป็นทางผ่านของสินค้า จึงขอให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกันเร่งหามาตรการป้องกันปัญหาดังกล่าวอย่างเร็วที่สุด

จากนั้น ภายหลังการประชุม ครม.สัญจร นายกฯ กล่าวว่า จากการรายงานตัวเลขทางเศรษฐกิจในไตรมาส 4 ของปี 2567 เติบโตขึ้นเกือบทุกมิติ แต่ภาคลงทุนของเอกชนหดตัว ปัจจัยที่สำคัญเช่นเอสเอ็มอีที่มีสัดส่วนมากมีถึง 75% ของประเทศ แต่ธนาคารพาณิชย์มีการปล่อยสินเชื่อน้อย ภาครัฐพยายามทำทุกเรื่องเพื่อสนับสนุนการกระตุ้นเศรษฐกิจ และกระตุ้นให้ภาคเอกชนมีการลงทุนเพิ่มเติมมากยิ่งขึ้น เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน เพราะอย่างตอนนี้เงินเฟ้อยังต่ำอยู่ ถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องร่วมมือกัน จึงขอให้นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และ รมว.การคลัง ประสานการทำงานกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อย่างใกล้ชิด เพื่อช่วยกันแก้ปัญหาเรื่องนี้ ทุกส่วนมีส่วนสำคัญอย่างมาก ทำอยู่ฝั่งเดียวไม่ได้ ต้องช่วยกัน

ส่วนกรณีรัฐบาลตั้งเป้าจีดีพีปี 68 ไว้ 3.5% แต่ สศช.ประเมินว่าจะได้เพียง 2.8% จะทำอย่างไรเพิ่มเติมเพื่อให้เป็นไปตามเป้านั้น น.ส.แพทองธารกล่าวว่า สิ่งที่รัฐบาลทำพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจหลายอย่าง แต่เอกชนที่ทำอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการท่องเที่ยวต่างๆ ธุรกิจไม่ได้ถูกพัฒนา มีปัญหาเรื่องสินเชื่อ ทำให้สถานที่ถูกหยุดการพัฒนา อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ตั้งเป้าจีพีดีไว้ 3% และพยายามดันให้ไป 3.5% เราจะพยายามตั้งเป้าให้มากกว่านั้น มั่นใจว่าในเดือนที่เหลือของปีนี้ จะผลักดันอย่างเต็มที่ และรวมถึงการพูดคุยกับธนาคารพาณิชย์และ ธปท.ด้วย ซึ่งถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่เราต้องร่วมมือกัน

เมื่อถามว่า ปัจจัยหลักที่จะกระตุ้นให้จีดีพีสูงขึ้น นอกจากการท่องเที่ยวมีเรื่องอื่นหรือไม่ น.ส.แพทองธารกล่าวว่า การลงทุนจากต่างประเทศ เราไม่สามารถทำหนึ่งอย่างแล้วเศรษฐกิจดีทันที นโยบายภาครัฐจึงไม่ได้ออกมาแค่หนึ่งนโยบายเพื่อทำให้จีดีพีกระตุ้น ทุกกระทรวงต้องทำเช่นกัน เอกชนต้องช่วยด้วยทุกภาคส่วน 

ด้านนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลังยังมั่นใจว่าจีดีพีจะเติบโตได้ไม่น้อยกว่า 3% โดยนอกจากมาตรการการแจกเงิน 10,000 บาท ที่จะลงสู่ระบบเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 คณะอนุกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจได้เตรียมมาตรการและกลไกในการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มได้อีก 0.5% และพยายามดันจีดีพีในภาพรวมให้ถึง 3.5%

ส่วนเรื่องที่จีดีพีไทยโตต่ำกว่า 3% รั้งท้ายในอาเซียนนั้น นายจุลพันธ์กล่าวว่า การฉายภาพเป็นแบบนี้ทุกครั้ง ซึ่งหากย้อนไป 10 ปีก่อนการฉายภาพก็ตกเฉลี่ยประมาณ 2% ปลายๆ ทุกปี เเต่การเติบโตจริงไม่เคยถึง 2% เฉลี่ยประมาณ 1.9% มานาน แต่ปีที่ผ่านมาจากการทำงานของรัฐบาลชุดปัจจุบัน จะเห็นว่าเราทำได้เกินกว่าเป้าหมาย สามารถไปแตะ 2% กว่าๆ ทุกปี และปีนี้เรายังมีกลไกในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น เรื่องกลไกที่ทำเรื่อง easy e-receipt  ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งสิ้น

เมื่อถามว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในสัปดาห์หน้า คาดหวังว่า ธปท.จะมีมาตรการเกี่ยวกับนโยบายทางการเงินมาช่วยหรือไม่ รมช.การคลังกล่าวว่า ไม่คาดหวัง เพราะต้องเข้าใจว่า ธปท.ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องความเป็นอิสระ รัฐบาลคงไม่พูดเรื่องนี้แล้ว คงเข้าใจว่ากลไกอย่างไหนจะสร้างเสรีภาพทางการเงินได้ กลไกอย่างไหนจะเป็นการส่งเสริมช่วยเรื่องเศรษฐกิจของรัฐบาล และทำให้ประชาชนมีการใช้จ่ายได้ดี เชื่อว่า กนง.จะมีความเข้าใจ

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า หลังจาก สศช.ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568 ขยายตัว 2.8% ถือว่าเป็นตัวเลขที่แต่ละสำนักจะแตกต่างกัน และมีสมมติฐานที่ต่างกัน ซึ่งกระทรวงการคลังเองประเมินไว้ว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัว 3% และจำเป็นต้องเร่งทำให้ได้ตามเป้าหมาย ส่วนกรณีที่ สศช.แนะนำว่าจะต้องออกแพ็กเกจกระตุ้นการลงทุนออกมาในปีนี้เพิ่มเติมนั้น มองว่าเรื่องนี้เห็นตรงกันกับรัฐบาล เพราะการลงทุนเป็นสิ่งสำคัญกับการวางโครงสร้างพื้นฐานในระยะยาว จึงเป็นที่มาของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการออกนโยบายสำคัญ เช่น การผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงิน หรือสถานบันเทิงครบวงจร เช่นเดียวกับการส่งเสริมตลาดยานยนต์ในไทย ซึ่งกระทรวงการคลังกำลังเตรียมปรับปรุงโครงสร้างภาษีและการดึงดูดแหล่งเงินใหม่ๆ เข้ามาลงทุนในประเทศ

นายเผ่าภูมิกล่าวว่า รัฐบาลมีแผนที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสที่ 2-3 เพราะในช่วงไตรมาสแรกจะมีแรงส่งอยู่ โดยจะมีมาตรการภาษีและมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย รวมทั้งมาตรการด้านสินเชื่อ เพื่อกระจายเงินลงไปในระบบเศรษฐกิจ ส่วนวงเงินที่จะเอามาใช้นั้นตอนนี้ขอให้รอข้อสรุปอีกครั้ง เพราะทุกอย่างอยู่ในกระบวนการ

ส่วนการประชุม กนง.ครั้งต่อไปนั้น รมช.การคลังยอมรับว่า หวังว่าจะมีข่าวดี แต่เป็นอำนาจของ กนง. ซึ่งรัฐบาลก็อยากให้ปรับนโยบายทางการเงินให้เกิดความเหมาะสม สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งกรอบอยู่ที่ 1-3% หากเงินเฟ้อต่ำกว่ากรอบก็ควรพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยนโยบายและปัจจัยอื่นๆ ลงด้วย

 ที่ จ.เชียงใหม่ นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ได้รับทราบความคืบหน้าของการดำเนินการตามแผนพัฒนาพื้นที่โครงการ “บ้านเพื่อคนไทย” และความคืบหน้าการพัฒนาพื้นที่สวนสาธารณะรถไฟจังหวัดเชียงใหม่ของบริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด (SRTA) และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ซึ่งโครงการที่จังหวัดเชียงใหม่มีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย จากเดิมที่มีแผนสร้างบ้านทั้งหมด 35 หลัง จะใช้การลงทะเบียนและตรวจสอบ Pre-Approve ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) มาสำรวจความต้องการของประชาชนในแต่ละจังหวัด จึงจะเริ่มพิจารณาว่าควรก่อสร้างโครงการ “บ้านเพื่อคนไทย” ในปริมาณเท่าใด ส่วนในพื้นที่ตำบลหนองหอย ขณะนี้อยู่ระหว่างหารือกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในแผนที่อาจนำมาใช้ในการดูแลกลุ่มผู้สูงอายุด้วย

 “หลังจากเปิดโครงการบ้านเพื่อคนไทยเมื่อวันที่ 17 ม.ค.2568 ได้รับความสนใจจากประชาชนจำนวนมาก โดยมียอดเข้าชมเว็บไซต์มากกว่า 80 ล้านครั้ง และขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอน Pre-Approve จาก ธอส. ซึ่งมีผู้ผ่านเกณฑ์แล้ว 1.4 แสนคนในเฟสแรก” นายสุรพงษ์ระบุ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

‘นํ้าเงิน-ส้ม’เปิดศึก! ‘หนู’ลั่นพรรคใดแก้ม.112ไม่ร่วมด้วย-‘เท้ง’ท้าแข่งกันจัดตั้งรัฐบาล

“ภูมิใจไทย” ขยับใหม่ ประกาศแคนดิเดตนายกฯ 2 คน “อนุทิน-สีหศักดิ์” ผวา!  ส่งชื่อคนเดียวสุ่มเสี่ยง ต้องเผื่อเหลือเผื่อขาดเอาไว้