พุ่งเป้า‘แพทอง ธาร’ จตุพรแนะปชน.อภิปรายทิ้งทวน/สุทินเย้ย‘เท้ง’ยังอ่อนหัด

"สุทิน" ซัดเหตุผล "เท้ง" ไล่  "นายกฯ" ยุบสภายังอ่อนไป ยัน รบ.ยังเดินหน้าต่อได้ไม่ถึงขั้นขัดแย้งรุนแรง ย้ำต้องให้ศาล รธน.ชี้ขาดทำประชามติกี่ครั้งเพื่อเดินหน้าแบบไม่พะวักพะวน “อนุสรณ์” ขอฝ่ายค้านวางใจให้สงบ มั่นใจรัฐบาลอยู่ครบเทอม "วรชัย" ซัด "ภูมิใจไทย"  ทบทวนท่าทีทำงานกับพรรคร่วมฯ ถ้าอยากให้งานราบรื่นต้องเล่นคีย์เดียวกัน "ศิริกัญญา" เผยจ่อยื่นซักฟอกไม่เกิน 27 ก.พ.นี้ จัด 20 ขุนพลถล่มรัฐบาล “จตุพร” แนะ ปชน.ยื่นอภิปราย  "นายกฯ อิ๊งค์" คนเดียวแล้วทิ่มไปที่พ่อนายกฯ  หากอภิปราย รมต.คนอื่นเสียเวลาเปล่า

เมื่อวันอาทิตย์ นายสุทิน คลังแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีแนวทางการเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคเพื่อไทย ภายหลังที่ประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256 และเพิ่มหมวด 15/1 ที่เสนอโดยนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) และนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในวันที่ 13-14 ก.พ. 2568 ที่ผ่านมา มีองค์ประชุมไม่ครบ ว่าเมื่อค้างอยู่ในสภาก็เป็นเรื่องที่ดีที่เราทำสำเร็จ ต่อไปเราจะต้องยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความให้ได้   โดยเราอาจจะต้องหาคนยื่นญัตติอีกครั้ง หรือก็มีการพูดคุยกันว่าอาจจะดันญัตติของ นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) อีกครั้ง   เพราะเป้าหมายของเราคือต้องการผ่าทางตันและคำวินิจฉัยที่ยังคลุมเครือ เพราะถ้าไม่ผ่าทางตัน ก็จะยังคลุมเครืออยู่แบบนี้ต่อ ฉะนั้นจึงต้องยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความอีกครั้ง

"อย่างไรก็ตาม ต้องดูว่านายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา จะนัดประชุมอีกครั้งเมื่อไหร่ แต่ญัตติที่จะยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญของเรานั้นมีความคืบหน้า และฝ่ายกฎหมายก็มีการร่างญัตติไว้แล้ว ส่วนจะยื่นได้นั้นต้องรอให้ประธานนัดประชุมอีกครั้งก่อน เพราะเรื่องนี้ต้องเป็นมติของที่ประชุมร่วมรัฐสภา ซึ่งญัตติของพรรค พท.คงไม่แตกต่างจากญัตติของ นพ.เปรมศักดิ์มาก   แต่ก็สามารถที่จะยื่นญัตติได้ถ้ามีน้ำหนัก"

เมื่อถามว่า จะต้องมีการพูดคุยกับพรรคร่วมรัฐบาลว่าจะเห็นด้วยกับญัตติของพรรค พท.หรือไม่ นายสุทินกล่าวว่า คงจะต้องมีการพูดคุยกันอีกครั้ง แต่เมื่อคุยกันแล้วเขาจะเป็นอย่างไร ก็เป็นสิทธิของเขา หรือแม้กระทั่ง สว.เราก็ต้องมีการทำความเข้าใจกับเขาด้วย เพื่อให้เขาเข้าใจเจตนาของเรา ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นผลดี

เมื่อถามอีกว่า ขณะนี้เสียงของพรรครัฐบาลดูจะเป็นเอกภาพ กังวลหรือไม่ว่าอาจจะส่งผลกระทบอะไรในอนาคต นายสุทินยอมรับว่า ไม่เป็นเอกภาพจริง เพราะมองและตีความคำวินิจฉัยไปคนละทาง บางคนก็กลัว เขาจึงไม่กล้าที่จะร่วมอภิปรายและลงมติด้วย แต่เมื่อเราคิดว่าจะใช้วิธียื่นตีความ เขาคงจะโล่ง ต่อไปจะได้เดินหน้าแบบไม่พะวักพะวน การใช้วิธียื่นตีความนั้น ทุกพรรคไม่มีอะไรเสียหาย ผู้คนจะสามารถเข้าประชุมได้โดยไม่พะวง

เมื่อถามถึงกรณีที่นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรค ปชน.  เรียกร้องให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรียุบสภา เนื่องจากไม่สามารถคุมเสียงพรรคร่วมรัฐบาลได้ นายสุทินกล่าวว่า เหตุผลยังไม่ถึงระดับนั้น ตามจริงแล้วการยุบสภาตามหลักรัฐศาสตร์และการเมืองทั่วไป เขาจะยุบก็ต่อเมื่อรัฐบาลกับสภามีความขัดแย้งจนไม่สามารถเดินหน้าได้ การบริหารบ้านเมืองเดินหน้าไปลำบาก สภาแอนตี้รัฐบาล แต่นี่เรื่องอื่นเขาก็ร่วมมือกันเต็มที่ ฉะนั้นยังเป็นเหตุผลที่อ่อนไป ยังเชื่อมโยงได้ไม่เนียนพอ

 “เรื่องนี้คงไม่มีอะไรกระทบเป็นวงกว้างถึงเสถียรภาพของรัฐบาล จนทำให้ต้องเปลี่ยนแปลงรัฐบาลนั้น มันไม่ใช่ ยุบสภาก็ไม่มีเหตุผลเพียงพอ ย้ำว่าเรื่องอื่นๆ รัฐบาลก็ร่วมกันทำงานได้ปกติ เพียงเรื่องรัฐธรรมนูญที่เขาไม่ร่วมมือ ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะความคลุมเครือของคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญแค่นั้นเอง แต่หากตีความชัดแล้วผมคิดว่าเขาก็ให้ความร่วมมือ” นายสุทินกล่าว

เมื่อถามว่า หากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยออกมาชัดเจนแล้ว จะสามารถคุยกับพรรคร่วมรัฐบาลพรรคอื่นให้เห็นด้วยได้หรือไม่ นายสุทินกล่าวว่า ใช่ ศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวินิจฉัยออกมาแล้วว่ารัฐสภาสามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ แต่ต้องทำประชามติก่อน ซึ่งสิ่งที่ไม่ชัดเจนคือต้องทำประชามติกี่ครั้ง หากศาลบอกว่าต้องทำประชามติ 3 ครั้ง เราก็จะได้ถอยกลับมาเริ่มต้นใหม่ โดยไปทำประชามติก่อน พรรคร่วมรัฐบาลก็จะได้เห็นว่าทำประชามติก่อนแล้ว หากเป็นเช่นนี้เขาร่วมด้วย นี่เป็นสิ่งที่เราคาดหวัง และเมื่อมีความชัดเจนเราก็จะได้ปฏิบัติถูก คือการปฏิบัติที่ไม่เสี่ยงต่อข้อกฎหมาย พรรคอื่นเขาก็จะร่วมด้วย

มั่นใจรัฐบาลมีเสถียรภาพ

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท. กล่าวถึงกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเห็นต่างระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลในการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญว่า ความเห็นต่างในสภาเป็นเรื่องปกติในระบอบประชาธิปไตย ยืนยันว่ารัฐบาลยังคงทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และพรรค พท.ในฐานะพรรคแกนนำรัฐบาลยังคงเดินหน้าผลักดันนโยบายที่ได้สัญญาไว้กับประชาชนด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ แม้จะมีความเห็นต่างกันระหว่างพรรค พท.กับพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่สิ่งสำคัญคือ จนถึงวันนี้รัฐบาลยังสามารถบริหารและขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

"ความเห็นต่างกันเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้เป็นความขัดแย้งรุนแรงภายในรัฐบาล จนไม่สามารถทำงานร่วมกันต่อไปได้ พรรคร่วมฝ่ายค้านที่พยายามปั่นกระแสว่ารัฐบาลไม่มีเสถียรภาพและต้องรับผิดชอบโดยการยุบสภานั้น ลองวางใจให้สงบ จะพบว่าความจริงวันนี้คือรัฐบาลพรรคเพื่อไทยยังคงเดินหน้าทำงานอย่างเต็มที่ในทุกๆ วัน รัฐบาลอยู่ครบเทอม 4 ปีแน่นอน ฝ่ายค้านอย่าทึกทัก ปลุกใจตัวเองว่าความเห็นต่างในสภาของพรรคร่วมรัฐบาลบางประเด็นเป็นวิกฤตที่เสียหายรุนแรงจนไม่สามารถทำงานร่วมกันต่อไปได้ เอาเวลาไปคิดนโยบายมาแข่งขันกันในการเลือกตั้งครั้งหน้าน่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า”  นายอนุสรณ์กล่าว

นายวรชัย เหมะ อดีต สส.สมุทรปราการ  พรรค พท. ให้สัมภาษณ์กรณีพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ไม่ร่วมสังฆกรรมการแก้ไข รธน.ที่เป็นนโยบายของพรรค พท. ว่าการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ประชาชนเรียกร้องประชาธิปไตย ทุกคนทราบดีว่ารัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่มีปัญหา ต่างก็ไปรับปากจะแก้ไขให้ดีขึ้น พรรค พท.ประกาศชัดเจนจะเดินหน้าแก้ไขโดยไม่แตะหมวด 1 และหมวด 2 แต่ท่าทีของ ภท.ทำให้เห็นชัดเจนว่ามีความขัดแย้งในเรื่องนี้

"ส่วนตัวกังวลว่าหากฝ่ายนิติบัญญัติมีความขัดแย้งกันแล้วจะลามไปถึงฝ่ายบริหารที่ยังต้องทำงานร่วมกันอยู่ จึงอยากให้พรรค ภท.ทบทวนท่าทีในเรื่องต่างๆ ให้การทำงานร่วมกับพรรคแกนนำราบรื่นให้เล่นคีย์เดียวกันมากยิ่งขึ้น เวลาที่เหลืออยู่ของรัฐบาล 2 ปีกว่า ถ้าพรรคร่วมรัฐบาลเกิดความขัดแย้งกันแล้วผู้ที่จะเสียหายมากที่สุดคือประชาชน" นายวรชัยกล่าว

ด้าน น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะรองหัวหน้าพรรค ปชน. กล่าวถึงความคืบหน้าการเตรียมการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในส่วนของพรรค ปชน.ว่า ตอนนี้เรื่องประเด็น และตัวบุคคลหรือขุนพลที่ทำหน้าที่ซักฟอกนิ่งแล้ว มีการซักซ้อม รีวิว ตรวจสอบข้อมูลกันอยู่ ขุนพลที่พรรคเตรียมเอาไว้ประมาณกว่า  20 คน จะไม่มีการพูดเรื่องเก่าๆ เดิมๆ ซ้ำซาก ตามที่ฟากรัฐบาลออกมาพูดก่อนหน้านี้ เราจะอภิปรายเฉพาะรัฐมนตรีที่อยู่ในรัฐบาลปัจจุบัน ขุนพลพรรคกว่า 20 คน ก็จะพูด 20 กว่า แต่ละคนไม่ซ้ำกันแน่ ปล่อยทางรัฐบาลปลอบใจตัวเองไปว่าอภิปรายเรื่องเก่าหรือน้ำท่วมทุ่ง เราจะรักษามาตรฐานเรา เช่น เรื่องดิจิทัลวอลเล็ต จีนเทา แก๊งคอลเซ็นเตอร์ หรือเรื่องที่สังคมให้ความสนใจ น่าจะสามารถคาดหวังได้ว่าพูดเรื่องเหล่านี้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ

"รอบนี้เราจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ซึ่งในวันที่ 16 ก.พ.นี้ เป็นวันนัดส่งญัตติซักฟอกของแต่ละพรรคให้วิปฝ่ายค้าน นอกจากนี้ จะใช้เวลาในการเรียบเรียงญัตติใหม่ของทุกพรรค ให้สอดคล้องกับผู้อภิปรายของทุกพรรค และรวบรวมรายชื่อ จากนั้นน่าจะได้ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจต่อประธานสภาฯ ไม่เกินวันที่ 27 ก.พ.แน่นอน" น.ส.ศิริกัญญากล่าว

ล็อกเป้านายกฯ อิ๊งค์คนเดียว

นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง "ทำไมมีข้อเสนอยุบสภา" ว่า การที่มี สส.เรียงหน้ากันมาตอบโต้ข้อเรียกร้องให้ยุบสภานั้น เป็นเรื่องปกติของนักการเมืองที่เป็น สส.ทุกคน ไม่มีใครอยากให้มีการยุบสภาไปเลือกตั้งใหม่ สิ่งที่ สส.กลัวมากที่สุดคือการยุบสภา เพราะเมื่อยุบสภาแล้วต้องไปเลือกตั้งใหม่ ต้องใช้เงินซื้อเสียงเป็นจำนวนมาก และไม่มีหลักประกันว่าจะได้กลับมาเป็น สส.อีกหรือไม่ พรรคการเมืองจึงจำเป็นต้องถูลู่ถูกังให้สภาคงอยู่ต่อไป พรรคฝ่ายค้านเห็นว่าในตอนนี้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่สามารถควบคุมพรรคร่วมรัฐบาลให้ปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาลได้ เกิดความขัดแย้งหรือความเห็นต่างในพรรคร่วมรัฐบาล จึงได้เสนอให้มีการยุบสภา ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวสำหรับการเมืองในระบอบประชาธิปไตย แต่เป็นเรื่องน่ากลัวสำหรับนักเลือกตั้งที่ใช้เงินซื้อเสียง อย่าลืมว่าการยุบสภายังดีกว่าการรัฐประหาร

นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน และอดีตประธาน นปช. กล่าวถึงการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของพรรคฝ่ายค้านว่า หากฝ่ายค้านต้องการเป้าหมาย ไม่ได้ต้องการเพียงแค่สะใจ ก็ควรยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ แค่คนเดียว แล้วก็ทิ่มไปถึงพ่อนายกฯ เพราะว่าหากรัฐบาลให้เวลาแค่ 2-3 วันในการอภิปราย แล้วอภิปรายแบบยิงกราด ถามว่าได้อะไร จะทำให้พรรคร่วมรัฐบาลเขาจับมือกันเสียอีก เพราะการอภิปรายไม่ไว้วางใจคือการล้มรัฐบาลตามรัฐธรรมนูญ ก็ยื่นอภิปรายนายกฯ คนเดียว ล็อกเป้านายกฯ แล้วอภิปรายพุ่งไปที่ตัวนายกฯ คนที่จะทนไม่ได้ก็คือพ่อนายกฯ ต้องทำให้คุณทักษิณ ชินวัตร พูดง่ายๆ อย่าให้อยู่สบาย เพราะถ้าไปอภิปรายรัฐมนตรีคนอื่น เขาก็มีฤทธิ์มีเดชตอบกันจะเสียเวลาไปเปล่าๆ 

นายจตุพรกล่าวว่า ฝ่ายค้านต้องรู้เหมือนกันว่าชะตากรรมของตัวเองก็อยู่ช่วงเดือนมีนาคมเหมือนกัน (คดีอดีต 44  สส.พรรคก้าวไกล ในชั้นการไต่สวนของ ป.ป.ช.) การอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตัวจี๊ดจ๊าดทั้งหลาย ที่มีชื่ออยู่ใน 44 สส.พรรคก้าวไกล อาจจะทำหน้าที่ครั้งสุดท้ายก็ได้ และที่สำคัญที่สุด หากเขาต้องการจะเติบโต เขาต้องฟาดกับพรรคเพื่อไทย เพราะไม่อย่างนั้นจะเอาเสียงมาจากไหนหากไม่ฟาดกับพรรคเพื่อไทย

นายจตุพรยังวิเคราะห์ว่า ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนนี้ มีหลายเรื่องร้อนที่ต้องจับตา เพราะเดือนมีนาคม เรื่องบ่อนกาสิโน เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ คณะกรรมการกฤษฎีกาก็จะพิจารณาเสร็จแล้วส่งร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรฯ กลับมาให้ ครม.อีกครั้ง ถ้าผ่านแล้วต้องส่งเข้าสภา จากนั้นพนันออนไลน์ก็รอเสียบต่อ ก็ช่วงเดือนมีนาคม นอกจากนี้เรื่องชั้น 14 รพ.ตำรวจ ก็คาดว่าผลการสอบสวนของคณะกรรมการเฉพาะกิจของแพทยสภาก็จะสอบเสร็จช่วงเดือนมีนาคม บวกลบเหมือนกัน แล้วก็ยังมีในชั้น ป.ป.ช. ที่จะเป็นเรื่องเดียวกับแพทยสภา เมื่อแพทยสภาสอบเสร็จ หลักฐานชัดเจน ป.ป.ช.ก็สามารถเดินได้อย่างไม่ชักช้า

 “จุดตายเรื่องชั้น 14 ไม่ได้อยู่ที่ ป.ป.ช. แต่อยู่ที่การสอบของแพทยสภาที่เป็นจุดหลัก แต่จะไปตายที่ศาลฎีกา ถ้าแพทยสภาบอกว่าป่วยทิพย์  แล้วการทำหน้าที่ของแพทย์เป็นการช่วยเหลือไม่ ให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษทางอาญา จุดตายอยู่ตรงนั้น ส่วนของ ป.ป.ช. เป็นเครื่องเคียงเพื่อขยายผลถัดจากนั้นไป ไม่ใช่หมายถึงว่ามีแค่ 12 คน (ที่มีชื่อจะถูกไต่สวน) เพราะยังต้องใช้เวลา การสอบของแพทยสภาจึงเป็นจุดหลัก  เพราะหากไม่ได้ป่วยจริง ทุกอย่างก็คือผิดหมด  เพราะไม่ได้รับโทษจริงแม้แต่วันเดียว” นายจตุพรกล่าว.