คว่ำสุดซอย! แก้ รธน. ภท.ทุบโต๊ะไม่ร่วมสังฆกรรม "อนุทิน" ลั่นไม่เสี่ยงดันทุรังทำขัดกฎหมาย เมินโดนตีตราบาปพวกขัดขวาง "ภูมิธรรม" ชี้เป็นสิทธิ์ภูมิใจไทย หนุนส่งศาล รธน.ตีความเพื่อความสบายใจ ขณะที่ "ประธานวุฒิสภา" งัดความเห็นสำนักกฎหมายส่งถึงมือ "วันนอร์" ชี้ขาดทำประชามติ 3 ครั้งก่อนให้จบ ด้านก๊วน สว.สีขาวยึกยักยังไม่ยื่นญัตติส่งตีความ ปัดข้อหารับงาน "พันธุ์ใหม่" เดือดฟาดยื้อเวลา
เมื่อวันพุธ เวลา 16.30 น. ที่พรรคภูมิใจไทย (ภท.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขมาตรา 256 และเพิ่มหมวด 15/1 เพื่อเปิดทางให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ในวันที่ 13-14 ก.พ.นี้ว่า พรรคภูมิใจไทยมีมติไม่ร่วมพิจารณาเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญในวันที่ 13-14 ก.พ.นี้ เพราะเห็นว่าการบรรจุวาระเข้ามายังมีความขัดแย้งคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญปี 2564 ที่ระบุว่า ต้องมีการถามประชามติจากพี่น้องประชาชนก่อน เมื่อการพิจารณาการแก้ไขรัฐธรรมนูญในวันพรุ่งนี้ขั้นตอนการทำประชามติยังไม่ได้รับการปฏิบัติ พรรคจึงเห็นว่ามีความสุ่มเสี่ยงไม่สามารถที่จะไปรับฟังความคิดเห็นนั้นได้ เพราะเรามี สส.ซึ่งพี่น้องประชาชนได้เลือกให้เราเข้ามาทำงานถึง 71 คน เราก็ต้องทำงาน จะไปรับความเสี่ยงโดยมีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญออกมาเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างชัดเจนแล้วไม่ได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะไม่เข้าห้องประชุมเลยใช่หรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า เราต้องไปร่วมประชุม เนื่องจากการประชุมในวันที่ 13 ก.พ. มีหลายวาระ จะไปเซ็นชื่อว่าเรามาประชุม แต่จะไม่มีการร่วมการพิจารณาเรื่องดังกล่าว และคงจะมีการเรียนต่อประธานรัฐสภาให้รับทราบถึงแนวทางการปฏิบัติของพรรคภูมิใจไทยเมื่อเข้าสู่การพิจารณาวาระดังกล่าว
เมื่อถามว่า ได้มีการคุยกับแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลในเรื่องนี้แล้วหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า ไม่ได้คุยกับพรรคแกนนำ เพราะเรื่องนี้เป็นการนำเสนอของพรรคการเมืองแต่ละพรรค ไม่ได้เป็นเรื่องที่ผ่านคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไม่มีมติพรรคร่วม ไม่มีการหารือในพรรคร่วมรัฐบาล แต่เป็นเอกสิทธิ์ของแต่ละพรรคเกี่ยวกับการเสนอกฎหมายต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องของรัฐสภาล้วนๆ ไม่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล
เมื่อถามย้ำว่า เป็นห่วงว่าพรรคภูมิใจไทยจะเป็นแพะรับบาปขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า ไม่ เราไม่ได้ขวาง แต่เราต้องการทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย เราเป็นพรรคการเมือง จะทำขัดต่อกฎหมายไม่ได้ พรรคการเมืองแต่ละพรรคก็มีทีมกฎหมาย มีที่ปรึกษากฎหมาย และมีบุคคลที่เราหารือข้อกฎหมายจำนวนมาก ในส่วนของพรรคภูมิใจไทย ทุกคนให้ความเห็นตรงกันว่าเสี่ยงไม่ได้ เพราะมีความขัดแย้งต่อคำพิพากษาศาลรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน ซึ่ง สส.ทุกคนได้ออกความเห็น บางท่านออกความเห็นแม้กระทั่งไม่ควรไปเซ็นชื่อร่วมประชุมด้วยซ้ำ แต่ตนบอกว่าไม่ได้ เพราะต้องไปทำงาน เราต้องไปเซ็นชื่อ ต้องไปประชุม ส่วนจะมี สส. สว. คิดแบบภูมิใจไทยหรือไม่ ตนไม่ทราบ
ยันแจ้งนายกฯ แล้ว
“เพราะนี่คือแนวทางของพรรคภูมิใจไทยพรรคเดียว เราไม่ต้องการบอกให้ใครทำ เราไม่ได้สนใจว่าเราจะเป็นแพะหรือเป็นอะไร แต่เรามั่นใจว่าเราได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ยืนยันว่าไม่ใช่ไม่แก้รัฐธรรมนูญ เรื่องนี้ต้องแก้ไข แต่ต้องเป็นไปตามแนวทางที่กฎหมายกำหนดไว้” นายอนุทินระบุ
ส่วนกรณีหนึ่งในสองร่างเป็นร่างของพรรคเพื่อไทย กลัวว่าจะมีปัญหากับพรรคเพื่อไทยหรือไม่นั้น นายอนุทินย้ำว่า เรื่องนี้ต้องแยกระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องฝ่ายนิติบัญญัติล้วนๆ เป็นเรื่องของแต่ละพรรคที่มีแนวทางของตัวเอง พรรคภูมิใจไทยเคยเสนอกฎหมายกัญชา เขาก็ไม่เห็นด้วย เราก็ไม่ได้โวยวายอะไร เราก็รับสภาพ
หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยกล่าวด้วยว่า ได้แจ้งเรื่องนี้ไปยังนายกรัฐมนตรีแล้ว และแจ้งให้นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบแนวทางของพรรคภูมิใจไทยว่าเป็นแบบนี้ ซึ่งนายชูศักดิ์บอกว่าให้ดูหน้างาน
เมื่อถามว่า พรรคภูมิใจไทยจะเป็นหัวหอกในการไปยื่นให้ศาลวินิจฉัยหรือไม่ว่าต้องทำประชามติกี่ครั้ง นายอนุทินกล่าวว่า ไม่ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ สส.ทุกคนต้องรักษาอนาคตของตัวเองด้วย เขาต้องทำงานในพื้นที่ ต้องทำงานการเมืองในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ขอย้ำว่าไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ตอนที่เสนอญัตตินี้เขาก็ไม่ได้มาถามเราว่าจะเห็นชอบด้วยหรือเห็นต่าง
ทางด้านนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวว่า เป็นสิทธิ์ของพรรคภูมิใจไทย เพราะว่าเรื่องเข้าประชุมรัฐธรรมนูญหรือไม่เป็นเอกสิทธิ์ของ สส.แต่ละคนอยู่แล้ว เขาตัดสินใจอย่างไรก็รับผิดชอบอย่างนั้นไป สำหรับกฎหมายนี้ต้องถือว่าเป็นกฎหมายพรรคการเมือง ไม่ใช่กฎหมายรัฐบาล และการแก้ปัญหาเชื่อว่าการให้พรรคการเมืองไปตัดสินใจน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
ทั้งนี้ ได้ถามหัวหน้าพรรคต่างๆ ทุกคนพร้อมประชุมร่วมและพิจารณาร่วมกันตามที่เราไว้เป็นแนวทาง คือให้เรื่องนี้ไปสู่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ให้ทุกคนสบายใจกับกฎหมายที่จะออกมา คิดว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไรที่น่ากังวลใจ การเปิดประชุมโดยมีญัตติเข้ามาแล้วให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา เราสามารถเสนอได้ ถ้าที่ประชุมเห็นด้วยให้ศาลพิจารณาคงเป็นไปแบบนั้น เพราะเราตกลงกันแล้วว่าจะไปแบบนี้
"คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ชัดเจน เหมาะสม ถูกต้องตามกระบวนการที่จะให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา ทุกคนจะได้สบายใจว่ามีคือการตัดสินใจแล้ว" นายภูมิธรรมกล่าว และว่า ได้คุยกับนายอนุทินต่อเนื่องมาโดยตลอด และทราบว่าเขาคิดอะไร และได้พูดไปแล้วว่าเราถือเป็นเอกสิทธิ์ของแต่ละพรรค ไม่ได้ถือเป็นอะไรต่อกัน แต่ละคนตัดสินใจอย่างไรก็เป็นเรื่องของพรรคนั้น
นายภูมิธรรมกล่าวด้วยว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคชาติไทยพัฒนา ทุกคนเห็นด้วยตามแนวทางนี้ ส่วนพรรคประชาธิปัตย์กำลังพิจารณาอยู่ คิดว่าเรื่องแบบนี้คงไม่มีปัญหาอะไร แต่ขอคุยกับ สส.ก่อน
ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) ถ.วิภาวดีฯ เมื่อเวลา 15.30 น. ได้มีการประชุม สส.ประจำสัปดาห์ โดยมีนายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองหัวหน้าพรรค พท. และนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อและประธาน สส.พรรค พท. เป็นประธานการประชุม
พท.ชี้เป็นสิทธิ์ ภท.
จากนั้น นายดนุพร ปุณณกันต์ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรค พท. เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า การประชุม สส. พูดถึงการพิจารณาวาระร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 256 และเพิ่มหมวดมาตรา 15/1 ในวันที่ 13-14 ก.พ.นี้ พรรค พท.กำชับกับ สส.ว่าต้องเป็นองค์ประชุม เราจะพร้อมกันในเวลา 09.00 น. ส่วนกรณีที่พรรคภูมิใจไทยจะไม่ร่วมพิจารณาวาระดังกล่าว หรือ สว.บางคนจะไม่มาร่วมประชุมเลยนั้น เราไม่สามารถที่จะไปก้าวก่ายพรรคอื่นว่าเขาจะมาหรือไม่มาได้ เราไม่สามารถไปควบคุมได้ แน่นอนทราบดีว่าในส่วนของพรรคประชาชน (ปชน.) ที่เป็นเจ้าของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกฉบับ กับพรรค พท. น่าจะเป็นสองพรรคที่เป็นกำลังหลักในการที่จะเป็นองค์ประชุมในวันที่ 13 ก.พ.
อย่างไรก็ตาม ทราบมาว่าวันที่ 13 ก.พ. เวลา 08.00 น. จะมี สว.กลุ่มหนึ่งยื่นญัตติเข้าที่ประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อขออนุญาตให้ประธานรัฐสภาส่งเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่พรรค พท.ต้องขอฟัง สว.ที่ยื่นญัตติดังกล่าวก่อนว่าเหตุผลอะไรที่จะต้องยื่น อยากยื่นเพื่ออะไร ต้องการความชัดเจนในเรื่องอะไร เพราะในอดีตก็เคยมีการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความเช่นกัน ซึ่งขณะนั้นศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่มีคำตอบมาให้ ทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญในสภาชุดที่แล้วไม่สามารถดำเนินต่อไปได้
ทั้งนี้ หากประเด็นที่ สว.จะยื่นไปแล้ว เราเห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่ตอบแน่ๆ เท่ากับว่าเป็นการชะลอการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถือเป็นการเสียเวลาโดยใช่เหตุ ตรงนี้เราอาจจะไม่เห็นด้วย แต่หากสิ่งที่ สว.พูดมามีเหตุผล เราจะขอพิจารณาอีกครั้ง แต่จากที่เราคาดเดากัน ก็คาดว่า สว.จะยื่นว่ารัฐสภาสามารถบรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญได้หรือไม่ ฉะนั้น เราต้องรอฟังเหตุผลก่อนว่าเป็นอย่างไร มีความเป็นไปได้แค่ไหนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะให้คำตอบ
นอกจากนี้ มีการทักท้วงจากหลายฝ่ายว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นต้องใช้เสียง สว. 1 ใน 3 คือ 67 เสียง หากที่ประชุมร่วมรัฐสภาไม่มีมติให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความ แล้วต้องมีการลงมติในวันที่ 14 ก.พ. แล้วเราได้เสียง สว.ไม่ครบ 67 เสียง เท่ากับว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นตกไป ไม่สามารถยื่นกลับมาได้อีก แต่หากจะเอาความชัวร์ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ คือยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญ แล้วศาลมีคำวินิจฉัยลงมาว่าเราสามารถแก้ไขได้ ร่างนี้ก็ยังอยู่ต่อ มีสิทธิ์ที่จะพิจารณาต่อไปได้
"ย้ำว่าขณะนี้เรายังไม่มีมติว่าเราจะโหวตเห็นชอบกับ สว.หรือไม่ ทั้งนี้ ด่านแรกที่เราจะต้องผ่านให้ได้ในวันที่ 13 ก.พ.คือ องค์ประชุมรัฐสภาต้องครบและสามารถเปิดประชุมได้ก่อน ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าองค์ประชุมจะครบหรือไม่ แม้ว่าเราจะพยายามเช็กกันว่า สว.ที่จะเข้าร่วมประชุมในวันที่ 13 ก.พ. จะมีทั้งหมดกี่ท่าน แต่เราก็ไม่สามารถเช็กได้ขนาดนั้น ขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคก็ยังมีเสียงแตกว่าจะแก้ไขหรือไม่" โฆษกพรรค พท.ระบุ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในที่ประชุมของ สส.พรรค พท. ได้มีสมาชิกแจ้งต่อที่ประชุมกรณีที่พรรค ภท.ระบุว่าจะไม่ร่วมพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในที่ประชุมรัฐสภา โดยที่ประชุมพรรค พท.มองว่าปล่อยให้เรื่องดังกล่าวเป็นของพรรค ภท.ไป แต่พรรค พท.มีหน้าที่แสดงความมุ่งมั่นในการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างเต็มที่
นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค มีจุดยืนมาตั้งแต่ต้นว่าเราไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญทุกมาตรา โดยเฉพาะการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ เราคัดค้านเต็มรูปแบบ และในการลงมติวันที่ 14 ก.พ.นี้ สส.ของพรรคก็จะโหวตไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การที่พรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคภูมิใจไทยมีมติไม่ร่วมพิจารณาเรื่องถือเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เชื่อว่าจะมี สส.จากพรรคการเมืองอื่น นอกเหนือจากพรรคพลังประชารัฐลงมติไม่เห็นด้วย และที่สำคัญเชื่อว่า สว.คงจะมีคนเห็นชอบไม่กี่คน และญัตติจะถูกตีตกไปในวาระแรกทันที
ปธ.วุฒิฯ ส่งความเห็น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักกฎหมาย สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ได้ทำความเห็นเรื่องร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่..) พุทธศักราช…. (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256 หลักเกณฑ์และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญและเพิ่มหมวด 15/1 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่) ของนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กับคณะเป็นผู้เสนอ ต้องจัดให้มีการออกเสียงประชามติอย่างไร ซึ่งจะเป็นแนวทางเดียวที่ใช้กับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ยกเว้นหมวด 1 หมวด 2 ของพรรคเพื่อไทยด้วย
โดยสำนักกฎหมายฯ พิจารณาแล้วมีความเห็นต้องมีการออกเสียงประชามติ 3 ครั้ง ประกอบด้วย ครั้งที่ 1 ถามประชาชนก่อนว่าต้องให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่, ครั้งที่ 2 (ถ้าผ่านครั้งที่ 1) นำร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับที่เสนอแก้มาตรา 256+เพิ่มหมวด 15/1 เสนอที่ประชุมร่วมรัฐสภา ถ้าสภาเห็นชอบแล้ว จึงไปทำประชามติอีกที, ครั้งที่ 3 (ถ้าผ่านครั้งที่ 2) ตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) มาร่วมรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เสนอต่อรัฐสภาพิจารณาแล้วจึงทำประชามติ
ประกอบกับรัฐธรรมนูญมาตรา 221 วรรคสี่ ที่บัญญัติว่า “คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา ครม. ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานรัฐ” ซึ่งความเห็นหลักฝ่ายนี้มีการอ้างอิงคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 18-22/2555 เมื่อวันที่ 13 ก.ค.2555 และคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564 เมื่อวันที่ 11 มี.ค.2564 ซึ่งเป็นคำวินิจฉัยกลางของศาล (มิใช่คำวินิจฉัยส่วนตน) ตามที่วินิจฉัยว่า “...รัฐสภามีหน้าที่และอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้โดยต้องให้ประชาชนผู้มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ ได้ลงประชามติเสียก่อนว่าประชาชนประสงค์จะให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ และเมื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้ว ต้องให้ประชาชนลงประชามติเห็นชอบหรือไม่กับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อีกครั้งหนึ่ง” มาเป็นหลักในการพิจารณา
ทั้งนี้ คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าว ได้วินิจฉัยไว้อย่างชัดเจนว่า การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ด้วยวิธีการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมให้มีหมวด 15/1 มีผลเป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ต้องจัดให้ประชาชนออกเสียงประชามติก่อนว่า สมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ (การออกเสียงประชามติ ครั้งที่ 1) และเมื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้วต้องให้ประชาชนลงมติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อีกครั้งหนึ่ง (การออกเสียงประชามติ ครั้งที่ 3) ส่วนการออกเสียงประชามติ ครั้งที่ 2 เป็นไปโดยบทบัญญัติเฉพาะของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 256 (8)
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ความเห็นของสำนักกฎหมายฯ นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ในฐานะรองประธานรัฐสภา ได้ทำหนังสือแจ้งต่อนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ให้ทราบแล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และเชื่อว่าความเห็นดังกล่าวจะเป็นท่าทีของ สว.ส่วนใหญ่ในการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่จะมีการพิจารณาในการประชุมร่วมรัฐสภาวันที่ 13-14 ก.พ.นี้
มีรายงานว่า วันที่ 11 ก.พ.ที่ผ่านมา นายมงคลเป็นประธานการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญกิจการวุฒิสภา (วิปวุฒิสภา) ซึ่งได้มีการพิจารณาเรื่องต่างๆ อาทิ เตรียมการประชุมร่วมกันของรัฐสภา เพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่..) พุทธศักราช.... ในวันที่ 13-14 ก.พ. ซึ่งกำหนดเวลาอภิปรายรวม 19 ชั่วโมง แบ่งเป็นประธานของที่ประชุม 1 ชั่วโมง, สมาชิกวุฒิสภา 6 ชั่วโมง, สส.พรรคฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ฝ่ายละ 6 ชั่วโมง โดยที่ประชุมมอบหมายให้นายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร เลขานุการวิปวุฒิสภา เป็นผู้จัดลำดับเวลาอภิปรายของสมาชิกวุฒิสภา และยังได้มอบหมายให้คณะกรรมาธิการสามัญ 21 คณะ เสนอรายชื่อผู้แทนคณะละ 1 คน เพื่อคัดเลือกให้เหลือจำนวน 13 คน สำหรับเสนอตั้งเป็นกรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญในสัดส่วนวุฒิสภาต่อไป
ด้านนายพิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์ สว. ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการวุฒิสภา ระบุว่า วิปวุฒิสภาได้แจ้งให้ สว.ที่ประสงค์จะอภิปรายได้เข้าชื่อ ทั้งนี้ สว.ได้รับเวลาอภิปรายรวม 6 ชั่วโมง จึงต้องมีการจัดสรรเวลาให้ สว.ที่ต้องการอภิปราย อย่างไรก็ดี การลงชื่อดังกล่าวนั้นจะเปิดรับจนถึงเวลา 09.00 น.ของวันที่ 13 ก.พ. ทั้งนี้ วิปวุฒิสภาไม่สามารถกำหนดทิศทางใดๆ ได้ เพราะเป็นสิทธิของสมาชิกในการตัดสินใจ
สว.โอดข้อหารับงาน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 11 ก.พ. นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สว.กลุ่มสีขาว ได้แจ้งหมายข่าวต่อสื่อมวลชน ระบุว่า จะยื่นญัตติต่อนายวันมูหะมัดนอร์ เพื่อขอให้รัฐสภามีมติให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยปัญหาหน้าที่และอำนาจของรัฐสภา มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) โดย นพ.เปรมศักดิ์ได้ดำเนินการขอเสียงสนับสนุนจาก สว. ตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ข้อที่ 31 โดยต้องมี สว.ร่วมสนับสนุนญัตติ 40 คน เบื้องต้นได้มีการลงชื่อครบแล้วตั้งแต่วันที่ 11 ก.พ.ที่ผ่านมา และพร้อมจะยื่นต่อประธานรัฐสภา เพื่อให้บรรจุในวาระการประชุมร่วมรัฐสภาวันที่ 13 ก.พ.นี้
นายเศรณี อนิลบล สว. ในฐานะผู้ร่วมลงชื่อเสนอญัตติดังกล่าว ให้สัมภาษณ์ว่า ญัตติดังกล่าวยังไม่ถูกยื่นต่อประธานรัฐสภา แต่ได้เข้าพบนายวันมูหะมัดนอร์ ในช่วงเวลา 16.30-18.30 น. ของวันที่ 11 ก.พ. เพื่อหารือถึงกระบวนการยื่นญัตติดังกล่าว รวมถึงได้พูดคุยในหลักการและเหตุผล ไทม์ไลน์ว่าเป็นอย่างไร ทั้งนี้ ยอมรับตนเองเป็น สว.ใหม่ หากจะเดินหน้าทำอะไรต้องศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน ส่วนการพูดคุยกับประธานรัฐสภาได้คำตอบในใจแล้ว ส่วนทิศทางจะเป็นอย่างไร ขณะนี้ต้องหารือกันในกลุ่มอีกครั้ง และขอให้สื่อมวลชนสอบถามความชัดเจนอีกครั้งในวันที่ 13 ก.พ. หลังเวลา 08.30 น.
นายเศรณีกล่าวว่า รู้สึกแย่มากที่ถูกผู้สื่อข่าวถามว่ารับงานใครมาหรือไม่ ทั้งนี้ยืนยันว่าไม่รับงานใคร หากจะมีคือรับงานจากประชาชน การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องถามความรู้สึกประชาชนส่วนใหญ่ว่ารู้สึกอย่างไร จากที่รับฟังมาถึงเวลาแล้วหรือไม่ที่จะแก้รัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ ถ้าต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญจริง ควรพิจารณาเป็นรายมาตรา หรือเป็นเรื่องๆ
เมื่อถามว่า หากจะยื่นญัตติเพื่อส่งศาลรัฐธรรมนูญ จะยื่นผ่านที่ประชุมรัฐสภาได้เลยหรือไม่ นายเศรณีกล่าวว่า สามารถยื่นในที่ประชุมรัฐสภาได้ เป็นการเสนอด้วยวาจา และมีผู้รับรอง 40 คน ทั้งนี้ไม่ถึงกับไม่เห็นด้วย แต่ยังไม่ถึงเวลา
ส่วนในวันประชุมรัฐสภาเพื่อแก้รัฐธรรมนูญ จะเข้าร่วมประชุมหรือไม่ นายเศรณีกล่าวว่า จะเข้าประชุม เพราะเป็นหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภา ส่วนทิศทางการพิจารณาหรือการลงมตินั้น มีในใจแล้ว ต้องยึดประโยชน์ของประชาชน
ขณะที่ น.ส.นันทนา นันทวโรภาส สว. ระบุว่า ประธานรัฐสภาบรรจุระเบียบวาระดังกล่าวไปแล้ว ยืนยันว่าควรจะมีกระบวนการเข้าสู่การพิจารณาในวาระที่ 1 และ สว.กลุ่มพันธุ์ใหม่เตรียมตัวที่จะอภิปรายในสภาแล้ว ซึ่งไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้มีการยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะเข้าสู่กระบวนการของรัฐสภาแล้ว ควรจะเป็นไปตามขั้นตอนนิติบัญญัติ โดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม ครั้งที่ผ่านมาศาลรัฐธรรมนูญก็เคยไม่รับคำร้องเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณามาก่อนแล้ว จึงเป็นการยืดเยื้อไปเฉยๆ
“เป็นการยื้อไป ฉะนั้นจึงไม่เห็นด้วย เพราะเหมือนเป็นการทำในสิ่งที่ศาลบอกว่าไม่รับพิจารณา เป็นเรื่องของรัฐสภา ควรจะให้รัฐสภาเป็นผู้ดำเนินการ แต่ยังมีความพยายามที่จะไปยังจุดนั้นอีก เป็นการพยายามทำซ้ำ เหมือนเป็นการยื้อเวลาออกไป และเป็นการยืดเยื้อกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญออกไปอีกทั้งที่ช้ามานานแล้ว" น.ส.นันทนาระบุ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'เสี่ยหนู' ยก 'ลุงป้อม' ดาวสภา ทุกคนอยากฟังอภิปราย แม้พูดไม่เก่ง แต่พูดครบทั้งติ-ชม
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงบรรยากาศการอภิปรายไม่ไว้วางใจในวันแรกว่า ทุกคนก็ทำหน้าที่อย่างดีที่สุด ซึ่งการอภิปรายก็เป็นการตอบข้อสงสัยไม่ใช่เป็นการอภิปรายเพื่อเค้นหาความผิด
'อนุทิน' ลุกแจง ปมที่ดินเขากระโดง-สนามกอล์ฟอัลไพน์ ยันไม่มีแลกเปลี่ยนผลประโยชน์
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ชี้แจงกรณีที่ดินเขากระโดง และที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ว่า รัฐบาล และกระทรวงมหาดไทย ไม่ใช่กิจการของคนใดคนหนึ่งหรือครอบครัวของใคร ดังนั้น จะมาแบ่งผลประโยชน์ไม่ได้ทั้งสิ้น
พังงาจับ4หนุ่ม ขนปืน-กระสุน ภูเก็ตสั่งคุมเข้ม
ตำรวจพังงาจับ 4 ผู้ต้องหาขนอาวุธสงคราม ผงะ! เตรียมไปส่งที่ภูเก็ต
‘ปปช.’รับคดีชั้น14สุดอืด ธนกรดีดปากนิติสงคราม
เลขาฯ ป.ป.ช.รับคดีชั้น 14 อืด เหตุติดปัญหาขอข้อมูลจากหน่วยงานอื่น
โพลชี้คนไทยยี้‘กาสิโน’ หวั่นสร้างความขัดแย้ง
"นิด้าโพล" เผย ปชช.มีคำถามคาใจ "สถานบันเทิงครบวงจร" ที่รวม "กาสิโน" เพียบ!
ทักษิณลั่นซื้อหนี้เกิดปีนี้แน่!
“สวนดุสิต” พบเกินครึ่งหนุนแนวคิด “ทักษิณ” ซื้อหนี้ แต่หวั่นไม่โปร่งใสประโยชน์แอบแฝง