นายกฯฟุ้งแก้ฝุ่น ปภ.ช.บี้ห้ามเผา!

"อิ๊งค์" ลั่นไม่แฮปปี้ "ฝุ่น PM 2.5" ยันให้ความสำคัญแก้ปัญหา เตรียมการตั้งแต่รับตำแหน่งนายกฯ ดาวเทียมพบฝุ่นหนักในอาเซียน  หลายประเทศทะลุ 190 ส่วนไทยอีก 2 วันมีลมแรงช่วยพัดกระจายตัวดีขึ้น ปภ.ช.คิกออฟเคาะประตูบ้าน “ห้ามเผา” ฝ่าฝืนจับสถานเดียว “คมนาคม” ตีปี๊บรถไฟฟ้า-รถเมล์ฟรี 7 วัน ช่วยลดมลพิษ สวนทางโพล คนกรุงชี้ได้ผลน้อยมาก โวยหน่วยงานรัฐไร้น้ำยา

เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร  นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “โอกาสไทยกับนายกแพทองธาร” ซึ่งจัดครั้งแรก โดยออกอากาศทุกวันอาทิตย์ต้นเดือน ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย NBT2HD ททบ.5 MCOT และวิทยุเครือข่ายกรมประชาสัมพันธ์ทั่วประเทศ ตอนหนึ่งว่า วันที่ 20-24 ม.ค.ที่ผ่านมา ไปประชุม WEF   (สภาเศรษฐกิจโลก) ตอนนั้นดูข้อมูลจิสด้า (สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ)   จะมีฝุ่นเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งเป็นห่วง จึงรีบเรียกทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาประชุมก่อนวันเดินทาง ได้มีการกำชับทุกกระทรวง อย่าลืมทำกฎทุกอย่างที่สร้างไว้อย่างเคร่งครัด และสั่งการทุกกระทรวงเน้นย้ำอะไรที่จะทำให้เกิดฝุ่นมากขึ้นให้ทำมาตรการนั้นให้เข้มข้น จะได้บรรเทาเรื่องฝุ่นมากที่สุด

"แน่นอนว่าเมื่อฝุ่นเข้ามาทุกคนเกิดอาการไม่แฮปปี้ ตัวดิฉันเองก็ไม่แฮปปี้ เพราะลูกเล็ก 2 คนอยู่บ้าน หลานๆ อีกเต็มบ้าน ไปโรงเรียนไม่ได้ก็ต้องหยุดเรียน รัฐบาลทุกกระทรวงเต็มที่ ทำทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนใบอ้อยให้มีมูลค่ามากขึ้นจะได้ไม่ต้องเผา จูงใจให้เกษตรกรมีสิทธิ์นำใบอ้อยไปขาย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์บอกกับเกษตรกรว่าไม่เผา มีเครื่องไถกลบ กระทรวงคมนาคมออกนโยบายให้ใช้รถไฟฟ้าฟรีในกรุงเทพฯ สามารถลดจำนวนของรถยนต์ได้ 5 แสนคันต่อวัน และลดควันได้เยอะ ซึ่งได้เช็กกับทางจิสด้าตลอดว่าตรงฮอตสปอตเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งฝุ่นข้างบนลดน้อยลงอย่างมาก อันนี้เป็นสิ่งที่ในประเทศเริ่มทำตั้งแต่ดิฉันรับตำแหน่ง และมีการพูดว่าปัญหาที่มาแน่ๆ คือฝุ่น ซึ่งรัฐบาลได้เตรียมการตั้งแต่ตอนนั้น เรื่องของฝุ่น PM 2.5 ไม่ใช่แค่วาระของประเทศ ไม่ใช่วาระแห่งชาติ แต่เป็นวาระแห่งอาเซียน เพราะเราจะต้องร่วมมือกัน เรื่องของระหว่างประเทศอยากบอกประชาชนว่าการติดต่ออย่างเป็นทางการ เราต้องมีลำดับขั้น ตอนนี้รัฐมนตรีต่างประเทศคุยกันทุกๆ รัฐมนตรีอาเซียนเพื่อขอความร่วมมือในเรื่องนี้" นายกฯ ระบุ

ด้านนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษากองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (ปภ.ช.) เปิดเผยว่า ปภ.ช.ได้รายงานถึงสถานการณ์ฝุ่นเมื่อเวลา 07.00 น. พบว่าหลายพื้นที่มีค่าฝุ่น PM 2.5 อยู่ในระดับที่ต้องเฝ้าระวัง โดยภาคเหนือ เกินค่ามาตรฐาน 14 พื้นที่ ตรวจวัดได้ 10.9-59.0 ไมโครกรัม (มคก.)/ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.), ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เกินค่ามาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ ตรวจวัดได้ 34.5-73.0 มคก./ลบ.ม., ภาคกลางและตะวันตก เกินค่ามาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ ตรวจวัดได้ 27.5-81.4 มคก./ลบ.ม., ภาคตะวันออก เกินค่ามาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ ตรวจวัดได้ 34.7-72.5 มคก./ลบ.ม., ภาคใต้ เกินค่ามาตรฐาน 1 พื้นที่ ตรวจวัดได้ 19.5 - 43.2 มคก./ลบ.ม., กรุงเทพมหานครและปริมณฑล  สถานีตรวจวัดของกรมควบคุมมลพิษ ร่วมกับ กทม. พบค่าฝุ่นเกินมาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ ตรวจวัดได้ 39.6-71.7 มคก./ลบ.ม.

ทั้งนี้ ปภ.ช.ขอให้ประชาชนเฝ้าระวังสุขภาพ ลดเวลาการทำกิจกรรมกลางแจ้ง สำหรับสถานการณ์ฝุ่นควันในสัปดาห์นี้จะมีต่อเนื่องไปจนถึงวันอังคารที่ 4 ก.พ. เนื่องจากมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงที่ลงมาปกคลุมประเทศไทย ทำให้ศักยภาพในการระบายอากาศต่ำลง จากนั้นจะมีลมจากภาคเหนือและภาคใต้พัดเข้ามาทำให้สถานการณ์จะคลี่คลาย

ขณะที่ดาวเทียมตรวจพบค่าฮอตสปอตในประเทศภูมิภาคอาเซียน อาทิ เมียนมา ลาว กัมพูชาและมาเลเซีย มีจุดฮอตสปอตเพิ่มสูงขึ้นในช่วงสองวันที่ผ่านมา ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับประเทศไทยที่มีลมนิ่งทำให้เกิดค่าฝุ่นสะสม ทำให้เวลา 13.00 น. ของวันที่ 2 ก.พ. ค่าฝุ่นหลายประเทศในภูมิภาคบางเมืองตรวจค่าฝุ่นสูงกว่า 190 AQI

ส่วนวันจันทร์ที่ 3 ก.พ. เวลา 10.00 น. ปภ.ช.ได้มีข้อสั่งการไปยังทุกจังหวัดให้จัดกิจกรรมคิกออฟเคาะประตูบ้าน “ห้ามเผา” เพื่อเป็นการประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันทุกพื้นที่ โดยใช้กลไกท้องถิ่นลงพื้นที่เคาะประตูบ้านประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจและปลูกจิตสำนึกให้กับประชาชน ร่วมกันไม่เผาเพื่อสุขภาพที่ดีของทุกคน ขณะที่ได้มีการกำชับให้ฝ่ายป้องกันและปราบปรามบังคับใช้กฎหมายดำเนินการจับกุมผู้เผาอย่างเคร่งครัด

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จากการดำเนินการนโยบายให้ประชาชนใช้บริการรถไฟฟ้า และรถโดยสารประจำทางสาธารณะ (รถเมล์) ฟรี รวม 7 วัน ตั้งแต่วันที่ 25-31 ม.ค.68 เพื่อต้องการให้ปริมาณการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลลดลง และให้ประชาชนหันมาใช้บริการรถสาธารณะ รวมถึงเป็นการลดปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) พบว่าประชาชนหันมาใช้บริการขนส่งสาธารณะเพิ่มมากขึ้น

โดยมีผู้ใช้บริการรถไฟฟ้ารวม 14,506,212 คน-เที่ยว เพิ่มขึ้น 39.62% เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนเริ่มมาตรการในวันที่ 18-24 ม.ค.68 ที่มีผู้โดยสารรวม 10,389,766 คน-เที่ยว ส่วนรถเมล์ ขสมก. มีผู้ใช้บริการรวม 5,007,491 คน เพิ่มขึ้น 36.81% เมื่อเทียบกับ 7 วัน ก่อนเริ่มมาตรการ ที่มีจำนวนผู้โดยสารรวม 3,660,088 คน ขณะเดียวกันยังพบว่า ปริมาณรถยนต์ส่วนบุคคลลดลง 350,000 คัน ส่งผลให้ปริมาณมลพิษในอากาศลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ลดลงประมาณ 2,000 กิโลกรัม (กก.) ต่อวัน และแก๊สไนโตรเจน ลดลงกว่า 14,800 กก.ต่อวัน

 “จากตัวเลขผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน สะท้อนให้เห็นว่าราคามีผลต่อการใช้บริการระบบรถไฟฟ้า จึงมั่นใจว่ามาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ที่จะให้บริการครบทุกสี ทุกสาย ทุกเส้นทางในช่วงเดือน ก.ย.68 จะมีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นแน่นอน และผู้ใช้บริการจะได้รับความสะดวกรวดเร็วในการเดินทาง จากการเริ่มใช้ พ.ร.บ.ตั๋วร่วมด้วยการใช้บัตรโดยสารใบเดียว ที่สามารถเดินทางเชื่อมต่อระบบขนส่งสาธารณะอย่างครอบคลุม ทั้งรถไฟ รถเมล์ และเรือโดยสารในราคาที่สมเหตุสมผล ช่วยลดค่าครองชีพในการเดินทางของประชาชน และช่วยลดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ได้อีกทางหนึ่งด้วย” นายสุริยะ ระบุ

ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “กรุงเทพฯ เมืองในฝุ่น”  ระหว่างวันที่ 27-28 ม.ค.68 จากประชาชนในพื้นที่กรุงเทพฯ รวมทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 74.43 ระบุว่าฝุ่น PM 2.5 มีความรุนแรงมาก รองลงมา ร้อยละ 18.55 ค่อนข้างมีความรุนแรง, ร้อยละ 5.88 ไม่ค่อยมีความรุนแรง และร้อยละ 1.14 ไม่มีความรุนแรงเลย

ด้านความคิดเห็นต่อการสั่งการหรือขอความร่วมมือให้ปิดสถานศึกษาและทำงานที่บ้าน (Work from Home) ร้อยละ 33.82 ระบุว่าช่วยแก้ไขปัญหาได้พอสมควร รองลงมา ร้อยละ 33.21 ระบุว่าช่วยแก้ไขปัญหาได้น้อยมาก ส่วนมาตรการรถเมล์และรถไฟฟ้าฟรี 7 วัน ร้อยละ 34.89 ระบุว่าช่วยแก้ไขปัญหาได้น้อยมาก รองลงมา ร้อยละ 33.89 ระบุว่าไม่ช่วยแก้ไขปัญหาเลย ขณะที่ประสิทธิภาพของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องในการแก้ปัญหาฝุ่นในพื้นที่กรุงเทพฯ ร้อยละ 41.15 ระบุว่าไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ รองลงมา ร้อยละ 35.34 ระบุว่าไม่มีประสิทธิภาพเลย

ขณะที่ รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้เสนอความเห็นว่า  รัฐบาลต้องจัดงบอุดหนุนล่วงหน้าเพื่อไม่ให้มีการเผาในภาคเกษตรเขตภาคเหนือในช่วงสองเดือนข้างหน้า และดำเนินการป้องกันฝุ่นพิษ PM 2.5 ภาคเหนือที่มักจะเกิดปัญหาหมอกควันพิษรุนแรงในเดือน มี.ค.และ เม.ย. ต้องใช้มาตรการต่างๆ ทุกทาง และการเจรจาเพื่อไม่ให้มีการเผาทางการเกษตรในประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อบรรเทาควันพิษข้ามพรมแดน

ทั้งนี้ งานวิจัยธนาคารโลกระบุจำนวนผู้เสียชีวิตจากฝุ่น PM 2.5 อยู่ที่ 5.7 คนต่อประชากร 1 แสนคน สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจราว 26,260 ล้านดอลลาร์ หรือ 8.9 แสนล้านบาทในปี 2566 นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยของ Attavanich (2019) บ่งชี้ว่า ฝุ่น PM2.5 สร้างความเสียหายทางเศรษฐศาสตร์ต่อครัวเรือนไทย 2.173 ล้านล้านบาท เมื่อปี 2562 หลังจากนั้น สถานการณ์ฝุ่นควันตั้งแต่ปี 2565 ไม่ได้ดีขึ้นเลย เป็นปัญหาเรื้อรังที่ทำลายสุขภาพ ทำลายชีวิต ทำลายเศรษฐกิจ ที่สังคมไทยต้องร่วมกันแก้ไขโดยด่วน.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'อิ๊งค์' ลั่นสางปัญหาประกันสังคม ต้องโปร่งใส เป็นเรื่องเกิดขึ้นก่อนรัฐบาลนี้

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีพรรคประชาชนออกมาเปิดเผยถึงความไม่โปร่งใสภายในสำนักงานประกันสังคม