รัฐบาลงัวเงียตื่นล่า ‘บัญชีม้า’

รัฐบาลเปิดยุทธการจัดการ “ล้มบัญชีม้า” ผนึกธนาคาร-ค่ายมือถือ สกัดบัญชีม้า  วางเดดไลน์ 30 เมษายนนี้ หากผู้ใช้เบอร์โทร.ไม่ตรงกับแบงกิ้ง ถูกระงับการใช้งาน ประธานวิปรัฐบาลหย่าศึก "อนุทิน" เห็นแย้ง "ทักษิณ" เรื่องตัดไฟฟ้าเมียนมา ไม่กระทบการทำงานพรรคร่วมรัฐบาล แค่พูดคนละมุม โวอีกไม่นานยาเสพติด-แก๊งคอลฯ จะหมดไป

เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี   เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ยกระดับความปลอดภัยในการใช้ “Mobile Banking” ในการสกัดกั้นบัญชีม้าที่เป็นเส้นทางก่ออาชญากรรมของมิจฉาชีพ  โดยจะกำหนดให้ชื่อผู้ใช้งานตรงกับชื่อเจ้าของซิมมือถือ โดยกำหนดให้ธนาคารดำเนินการแจ้งผู้ใช้ หากตรวจพบรายชื่อเจ้าของหมายเลขโทรศัพท์มือถือไม่ตรงบัญชี Mobile Banking ผู้ใช้จะต้องได้รับข้อความผ่านแอปพลิเคชันของธนาคาร ระหว่างวัน 1-28 ก.พ.68 เพื่อให้ยืนยันตัวตนผ่านศูนย์บริการโทรศัพท์มือถือ ภายในวันที่ 30 เม.ย.68

รองโฆษกรัฐบาลเผยว่า ในปีที่ผ่านมาได้มีนโยบายการ Cleaning Mobile Banking ซึ่งเป็นการปรับข้อมูลผู้ใช้งานให้ตรงกับเจ้าของซิม โดย กสทช.และผู้ให้บริการโทรคมนาคมทุกเครือข่าย รวมทั้งสำนักงาน ปปง., ธปท. และธนาคารทุกแห่ง ได้ดำเนินการตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์จำนวนกว่า 120 ล้านหมายเลขแล้วเสร็จเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา ซึ่งได้แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่ม (M), (N) และ (P) คือกลุ่มที่ 1 เป็นลูกค้าที่ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แจ้งเป็น M คือชื่อเจ้าของซิม และ Mobile Banking ตรงกัน มีจำนวนประมาณ 75.8 ล้านหมายเลข คิดเป็นร้อยละ 63.02

นายคารมกล่าวว่า กลุ่มที่ 2 คือลูกค้าที่ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แจ้งเป็น N คือชื่อเจ้าของซิม และ Mobile Banking ไม่ตรงกัน มีจำนวนประมาณ 30.9 ล้านหมายเลข คิดเป็นร้อยละ 25.68 ได้แก่ บัญชีต่างชาติ กลุ่มลูกค้าต่างชาติที่เปิดบัญชีตั้งแต่ปี พ.ศ.2565 และเปิดใช้งาน Mobile Banking ก่อนปี พ.ศ.2566 สามารถดำเนินการ โดยติดต่อศูนย์บริการโทรศัพท์มือถือ เพื่อเปลี่ยนเจ้าของซิม หรือติดต่อธนาคารที่ใช้งาน Mobile Banking เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์มือถือที่ผูกกับ Mobile Banking ของธนาคาร เพื่อดำเนินการให้ข้อมูลชื่อเจ้าของซิมตรงกับชื่อที่ใช้งาน Mobile Banking ภายในวันที่ 30 เม.ย.68 หากไม่ดำเนินการภายในกำหนด บริการ Mobile Banking อาจถูกระงับการใช้งาน

นายคารมกล่าวว่า กลุ่มที่ 3 คือลูกค้าที่ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แจ้งกลับมาเป็น P คือไม่พบชื่อเจ้าของซิม/ไม่มีข้อมูล มีจำนวน 13.5 ล้านหมายเลข คิดเป็นร้อยละ 11.29 ได้แก่ กลุ่มลูกค้าที่เปิดบัญชีตั้งแต่ปี พ.ศ.2565 และเปิดใช้งาน Mobile Banking ก่อนปี พ.ศ.2566 ที่ตรวจสอบจากค่ายมือถือแล้ว แต่ไม่พบชื่อเจ้าของซิม (ดำเนินการพร้อมกัน 2.4 ล้านเลขหมาย)

เขากล่าวว่า กรณีหมายเลขโทรศัพท์มือถือที่ใช้ลงทะเบียนกับธนาคารมีข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ สามารถติดต่อศูนย์บริการโทรศัพท์มือถือที่ใช้บริการด้วยตนเอง เพื่อดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้แก่ ลงทะเบียนชื่อเจ้าของซิมให้ตรงกับชื่อผู้ใช้งาน Mobile Banking ตามเงื่อนไขของผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือ (ธนาคารไม่สามารถดำเนินการในส่วนนี้แทนได้) พร้อมบัตรประชาชน เพื่อดำเนินการให้ข้อมูลชื่อเจ้าของซิมตรงกับชื่อที่ใช้งาน Mobile Banking ภายในวันที่ 30 เม.ย.68 หากไม่ดำเนินการภายในกำหนด บริการ Mobile Banking อาจถูกระงับการใช้งาน

อัปเดตข้อมูลชื่อเจ้าของซิม

ทั้งนี้ ลูกค้าที่ได้รับแจ้ง (P) ต้องดำเนินการอัปเดตข้อมูลชื่อเจ้าของซิม และชื่อผู้ใช้งาน Mobile Banking ให้ตรงกัน ภายในวันที่ 30 เม.ย.68 หากไม่ดำเนินการภายในเวลาที่กำหนด ปปง., ธปท. และ กสทช. จะพิจารณาระงับการใช้งาน Mobile Banking เป็นการชั่วคราวต่อไป

ในส่วนของขั้นตอนการดำเนินการ ธนาคารจะดำเนินการแจ้งประชาชน [ลูกค้าในกลุ่มที่ 2 (N) และกลุ่มที่ 3 (P)] ผ่านช่องทาง Mobile Banking ของแต่ละธนาคาร ภายในวันที่ 1 ก.พ.68 โดยประชาชนที่ได้รับแจ้งต้องดำเนินการอัปเดตข้อมูลชื่อเจ้าของซิม และชื่อผู้ใช้งาน Mobile Banking ให้ตรงกัน ภายในเวลา 90 วัน (สิ้นสุดวันที่ 30 เม.ย.68) หากไม่ดำเนินการภายในเวลาที่กำหนด ปปง., ธปท. และ กสทช. จะพิจารณาระงับการใช้งาน Mobile Banking เป็นการชั่วคราวต่อไป

นายคารมกล่าวด้วยว่า ทั้งนี้ มาตรการ Mobile Banking พิจารณายกเว้นกลุ่มบุคคลบางกลุ่ม เพื่ออำนวยความสะดวกให้กลุ่มที่มีข้อจำกัดในการปฏิบัติตามมาตรการ โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1.เบอร์มือถือที่จดทะเบียนในชื่อหน่วยงานราชการ (เช่น สำนักงานอัยการสูงสุด) หรือองค์กรที่ใช้โดยพนักงานหรือเจ้าหน้าที่ จะได้รับการพิจารณาเป็นข้อยกเว้น และไม่จำเป็นต้องดำเนินการตามมาตรการนี้

2.ลูกค้าที่มีความจำเป็น หรือข้อจำกัดเฉพาะ เช่น ไม่สามารถเปลี่ยนเบอร์มือถือได้ เนื่องจากข้อจำกัดทางกฎหมาย หรือเอกสาร สามารถยื่นคำขอยกเว้น พร้อมเอกสารประกอบแสดงเหตุผลต่อธนาคาร

3.กลุ่มบุคคลในครอบครัว เช่น พ่อ แม่ บุตร พี่น้อง ปู่ ย่า ตา ยาย คู่สมรส (จดทะเบียน) โดยจะต้องแสดงเอกสารความสัมพันธ์ต่อธนาคาร ได้แก่ เอกสารที่ออกโดยหน่วยงานราชการ เช่น ทะเบียนบ้าน สูติบัตร ทะเบียนสมรส เป็นต้น และเอกสารแสดงความเป็นเจ้าของเบอร์โทรศัพท์ เช่น ใบกำกับภาษี ใบเสร็จ ค่าโทรศัพท์

4.นิติบุคคล ได้แก่ บริษัทเอกชน หรือนิติบุคคลตามกฎหมาย (กรณีที่ลงทะเบียนในนามนิติบุคคล และให้พนักงานในองค์กรใช้งาน) จะต้องมีเอกสารรับรองจากบริษัท ที่มีข้อความระบุชื่อ เบอร์โทรศัพท์ และอนุญาตให้ใช้เบอร์โทรศัพท์ผูก Mobile Banking

5.ผู้ที่ต้องได้รับความดูแลตามกฎหมาย ได้แก่ ผู้ไร้ความสามารถ ผู้เสมือนไร้ความสามารถ และผู้พิการ จะต้องนำเอกสารตามคำสั่งศาลแต่งตั้งผู้อนุบาล หรือเอกสารตามคำสั่งศาลแต่งตั้งผู้พิทักษ์ บัตรผู้พิการ หรือเอกสารที่หน่วยงานราชการออกให้ มายื่นแสดงต่อธนาคาร

สิ้นสุด 30 เม.ย.2568

“รัฐบาลกำชับให้ธนาคารและผู้ให้บริการโทรคมนาคม สกัดบัญชีม้าเต็มรูปแบบ เริ่ม 1 ก.พ.68 นี้ โดยประชาชนจะได้รับแจ้งเตือนผ่านแอปธนาคาร Mobile Banking เท่านั้น ไม่แจ้งเตือนผ่านช่องทางอื่น ต้องตรวจสอบว่าตนเองอยู่ในกลุ่มใด และปฏิบัติตามคำแนะนำ พร้อมอัปเดตข้อมูลให้ชื่อเจ้าของซิมตรงกับชื่อผู้ใช้งาน Mobile Banking ภายใน 90 วัน (สิ้นสุด 30 เม.ย.2568) มิฉะนั้นอาจถูกระงับการใช้งานชั่วคราว ทั้งนี้ หากไม่ได้รับแจ้งเตือน สามารถใช้งาน Mobile Banking ได้ตามปกติ ส่วนสมุดบัญชียังคงใช้งานได้ทุกกรณี” นายคารมย้ำ

ด้านนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ  พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ออกมาระบุว่าการตัดไฟฟ้าให้กับประเทศเมียนมานั้นต้องรอคำสั่งและการจะยกเลิกต้องขั้นตอนว่า นายอนุทินก็คงพยายามทำแล้ว แต่ก็ยังทำไม่สำเร็จ ซึ่งคงเป็นกระแสที่ทุกคนก็เป็นห่วง และการที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เคยออกมาพูดถึงเรื่องนี้ ท่านก็พูดในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่มีความเป็นห่วงประเทศชาติบ้านเมือง ที่อยากให้มีการเปลี่ยนแปลงไวๆ และอยากให้มีการจัดการกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่ไม่ได้มาสั่งการในรัฐบาล

นายวิสุทธิ์กล่าวต่อว่า ซึ่งในการทำงานก็เป็นภาระหน้าที่ที่นายอนุทินจะต้องรับผิดชอบในฐานะรัฐมนตรี ซึ่งนายอนุทินก็ออกมาพูดในฐานะรัฐมนตรี จึงเป็นการพูดคนละมุม คนละอำนาจหน้าที่ แต่สุดท้ายรัฐบาลก็จะต้องแก้ไขปัญหาให้ได้ และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ก็คงไม่เอาคนที่ทำผิดกฎหมายไว้

เมื่อถามว่า การที่เห็นแย้งกันเช่นนี้ จะส่งผลต่อการทำงานของรัฐบาลหรือไม่ ประธานวิปรัฐบาลปฏิเสธว่า ไม่มีอะไรที่จะทำให้เกิดการแตกแยก และทราบว่า น.ส.แพทองธาร นายอนุทิน  และนายทักษิณก็คุยกันตลอดอยู่แล้ว

ถามย้ำว่า จะไม่กระทบต่อการทำงานของพรรคร่วมรัฐบาลใช่หรือไม่ นายวิสุทธิ์กล่าวว่า ไม่กระทบ เป็นเรื่องธรรมดาที่จะให้คนทำตามรวดเร็วทันใจทั้งหมดมันไม่มี เพราะบางครั้งอาจจะช้าและติดขั้นตอนทางกฎหมายบ้าง ย้ำว่านายทักษิณเป็นคนที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงไวๆ  ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ซึ่งเป็นแค่ข้อเสนอแนะ แต่นายทักษิณไม่ได้ไปตำหนินายอนุทินว่าไม่เปลี่ยนแปลงอะไร โดยตามขั้นตอนเราก็ต้องค่อยๆ ทำกันไป

คอลเซ็นเตอร์-พนันออนไลน์จะหมดไป

“มั่นใจว่าอีกไม่นานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พนันออนไลน์ คงจะหมดไปจากประเทศนี้ เพราะเห็นทาง น.ส.แพทองธาร, นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และนายอนุทิน ก็ได้สั่งให้มีการซีลพื้นที่ติดชายแดน ซึ่งคงจะมีผลต่อกระบวนการปราบปรามยาเสพติด เพราะใช้พลังจากทุกภาคส่วนในการไปสกัดไม่ให้เข้ามา พวกทุนสีเทาสีดำทั้งหลายก็จะทำงานยากขึ้น ซึ่ง น.ส.แพทองธารและนายอนุทินก็คงพูดคุยกันถึงเรื่องการแก้ปัญหาเรื่องนี้ จึงไม่มีอะไรให้น่าหนักใจ และไม่มีความขัดแย้งอะไร” นายวิสุทธิ์กล่าว

เมื่อถามว่า ยาเสพติดกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะหมดไปภายในสิ้นปีนี้เหมือนที่นายทักษิณเคยพูดไว้หรือไม่ นายวิสุทธิ์กล่าวว่า น.ส.แพทองธาร ในฐานะหัวหน้าพรรค และนายภูมิธรรม ในฐานะแกนนำพรรค ก็พูดในพรรคตลอดว่าต้องหาแนวทางในการซีลพื้นที่บริเวณชายแดนทั้งหมด ตนก็เชื่อมั่นว่าปัญหาจะลดน้อยลงทันที ซึ่งจะมีการตรวจสอบและแก้ปัญหาได้มากขึ้น

ขณะที่ นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และประธานคณะกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) กล่าวว่า ถึงแม้ว่ากระทรวงมหาดไทยจะเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ด้านความมั่นคง แต่เป็นหน่วยงานรักษาความมั่นคงภายในประเทศ ในขณะที่กรณีที่เกิดปัญหาในขณะนี้ เป็นกรณีที่เกิดขึ้นนอกประเทศไทย  การจะดำเนินการใดๆ กระทรวงมหาดไทยในฐานะกระทรวงที่กำกับดูแลการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ต้องได้รับข้อมูลจากหน่วยงานความมั่นคงตามกฎหมาย ทั้งในระดับพื้นที่และระดับนโยบาย เพื่อประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป เพราะ กฟภ.ทำหน้าที่เป็นเพียงผู้จัดทำระบบจำหน่ายและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าตามที่ได้รับมอบหมายหน้าที่เท่านั้น

"การดำเนินการของ มท.และ กฟภ. เป็นไปตามกระบวนการปกติ คือการแสวงหาข้อมูลประกอบการพิจารณาดำเนินการ ซึ่งภายหลังจากคณะรัฐมนตรีได้มีมติห้ามจำหน่าย ถ้าพบว่ามีการกระทำผิดสัญญาและส่งผลกระทบต่อความมั่นคง ดังนั้น มท.จึงต้องมีการประสานกับหน่วยงานความมั่นคงต่างๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลประกอบการพิจารณาในการงดจำหน่ายกระแสไฟฟ้าต่อไป เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน และมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน จึงต้องมีข้อมูลประกอบการพิจารณาที่รอบด้าน" นายอรรษิษฐ์กล่าวเพิ่มเติม

นายอรรษิษฐ์กล่าวในช่วงท้ายว่า  มท. ในฐานะผู้กำกับดูแล กฟภ. และ กฟภ.ในฐานะผู้จำหน่ายกระแสไฟฟ้า พร้อมปฏิบัติตามข้อมูลและคำแนะนำของฝ่ายความมั่นคง จึงเป็นที่มาของการจัดทำหนังสือสอบถามฉบับดังกล่าว และในวันที่ 6 ก.พ.68 ที่จะถึงนี้ กฟภ.ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 25 หน่วยงาน ร่วมประชุมหารือ เพื่อให้ได้ข้อมูลประกอบการพิจารณาอีกทางหนึ่งด้วย.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เตือนเฟกนิวส์! แจกเงินทายาทผู้สูงอายุที่เสียชีวิต

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากกรณีสื่อสังคมออนไลน์ แชร์ประเด็นเรื่องผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปที่เสียชีวิต ทายาทได้ 3,000 บาท ส่วนข้าราชการบำนาญได้ 30,000 บาท