ชัยชนะไทย-ซาอุฯ บิ๊กตู่ทูลเชิญ‘มกุฎราชกุมาร’มาเยือน-เร่งตั้งทูต

ซาอุ

“บิ๊กตู่” ถึงไทย แจ้งข่าวดี ฟื้นสัมพันธ์ซาอุฯ สำเร็จ ก้าวพ้นอดีตสู่อนาคตที่สดใส ต้องจารึกชัยชนะ ประเมิน 2 ประเทศได้รับโอกาสมหาศาลจากความร่วมมือ 9 ด้าน เผยกราบบังคมทูลเชิญมกุฎราชกุมารแห่งราชอาณาจักรซาอุฯเสด็จฯ เยือนไทยอย่างเป็นทางการ สานต่อหน้าใหม่ประวัติศาสตร์ "บัวแก้ว" เผยเตรียมตั้งเอกอัครราชทูตให้เร็วที่สุด

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 26 มกราคม 2565 ที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 ดอนเมือง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมคณะ เดินทางกลับจากการเยือนราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทันทีที่นายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางถึง เจ้าหน้าที่จากสถาบันบำราศนราดูรได้เข้าทำการตรวจเชื้อโควิด-19 แบบ RT-PCR และทุกคนต้องปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขในการกำหนดเส้นทางเป็นการเฉพาะ (ซีลรูต) โดยต้องแยกตัวเอง เว้นระยะห่าง รวมทั้งหากจำเป็นต้องประชุมจะใช้การประชุมผ่านระบบออนไลน์จากบ้านพักแทน และจะทำการตรวจเชื้อโดยวิธี RT-PCR อีกครั้งในวันที่ 30 ม.ค.นี้ ซึ่งเป็นวันที่ 5 หลังจากเดินทางกลับ

มีรายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลว่า  ตลอดวันนี้หลัง พล.อ.ประยุทธ์เดินทางกลับเข้าบ้านพัก ไม่มีภารกิจใดๆ ส่วนในวันที่ 27 ม.ค. นายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานการประชุม ก.ตร. ครั้งที่ 1/2565 จากบ้านพักภายในกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ ผ่านระบบออนไลน์ และในวันศุกร์ที่ 28 ม.ค. เดิมนายกรัฐมนตรีมีกำหนดพบกับผู้ที่ได้รับรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลประจำปี 2563 และประจำปี 2564 แต่ได้มอบหมายนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้การต้อนรับแทน ทั้งนี้นายกฯ จะปฏิบัติงานภายในบ้านพักตามมาตรการของสาธารณสุข ก่อนจะเริ่มงานที่ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งคาดว่าน่าจะในวันจันทร์ที่ 31 ม.ค.

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในการเดินทางเยือนซาอุฯ ของนายกรัฐมนตรี ได้พบปะกับคนไทยและนักเรียนไทยที่ซาอุดีอาระเบียด้วย ซึ่งจำเป็นต้องเข้มข้นในมาตรการสาธารณสุข ที่ต้องตรวจ ติดตามหาเชื้อโดยละเอียด

ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์โพสต์เฟซบุ๊ก "ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut-Chan-o-cha" ระบุว่า พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รักครับ วันนี้ ผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่จะขอแจ้งข่าวดีต่อปวงชนชาวไทย รวมทั้งชาวซาอุดีอาระเบีย เกี่ยวกับความสำเร็จในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ไทย-ซาอุดีอาระเบีย ให้กลับมาอยู่ใน “ระดับปกติ” อย่างสมบูรณ์ นับตั้งแต่วันนี้สืบไป ภายใต้ความพยายามอย่างเต็มความสามารถของทั้งสองฝ่าย ถือเป็นการสิ้นสุด 3 ทศวรรษแห่งความห่างเหิน และเริ่มต้นศักราชใหม่แห่งความร่วมมือ สร้างสรรค์ และพัฒนา เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน บนพื้นฐานความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ในทุกมิติระหว่างสองประเทศ

ภารกิจการเยือนซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการของผมในครั้งนี้ เป็นไปตามคำเชิญของเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด มกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ซึ่งนับว่าประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยในเบื้องต้นทั้งสองฝ่ายได้เห็นพ้องที่จะยกระดับผู้แทนทางการทูตของทั้งสองประเทศ จาก "อุปทูต" ให้กลับมาเป็นระดับ "เอกอัครราชทูต" ดังเดิม รวมทั้งจะพิจารณาจัดตั้งกลไกความร่วมมือทวิภาคี เพื่อผลักดันกรอบนโยบายและแผนความร่วมมือต่างๆ ทั้งในส่วนของภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ให้เจริญงอกงามสืบต่อไป และในโอกาสการพบหารือครั้งนี้ ผมได้กราบบังคมทูลเชิญมกุฎราชกุมารแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ให้เสด็จฯ เยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อสานต่อหน้าใหม่ของประวัติศาสตร์ในวันนี้ด้วย

ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งกับ “โอกาสอันมากมายมหาศาล” ที่ประเมินว่าทั้งสองประเทศจะได้รับจากการฟื้นฟูความสัมพันธ์ในครั้งนี้ ได้แก่

1.ด้านการท่องเที่ยว : เป็นโอกาสสำหรับการแลกเปลี่ยนการเยือนในระดับประชาชนที่จะมีพลวัตมากขึ้นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในด้านการท่องเที่ยว ซึ่งจะนำไปสู่การขยายความร่วมมือในอุตสาหกรรมนี้อย่างรอบด้าน เบื้องต้นมีการคาดการณ์ว่าการเดินทางไปมาหาสู่ที่สะดวกยิ่งขึ้นระหว่างประเทศไทยกับซาอุดีอาระเบีย จะสามารถสร้างรายได้ให้ประเทศไทยไม่ต่ำกว่าประมาณ 5,000 ล้านบาทต่อปี

2.ด้านพลังงาน : เกิดการร่วมวิจัยและลงทุน ทั้งในรูปแบบพลังงานดั้งเดิม พลังงานสะอาด และพลังงานหมุนเวียน ซึ่งเป็นเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ชาติของทั้งสองประเทศ โดยซาอุดีอาระเบียเป็นประเทศผู้ค้าและมีแหล่งสำรองน้ำมันอันดับต้นๆ ของโลก ตลอดจนมีวิทยาการด้านพลังงานที่ทันสมัย ส่วนไทยก็มีเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่พร้อมรองรับการวิจัย พัฒนา และการลงทุนแห่งอนาคต ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตามนโยบาย BCG Economy ซึ่งสอดรับกับข้อริเริ่ม Saudi Green Initiative และ Middle East Green Initative ของซาอุดีอาระเบีย

3.ด้านแรงงาน : ไทยมีแรงงานฝีมือและกึ่งฝีมือที่มีศักยภาพจำนวนมาก ในขณะที่ซาอุดีอาระเบียก็มีโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรูปแบบต่างๆ จำนวนมากเช่นกัน โดยช่วงปี 2530 ไทยเคยส่งแรงงานไปซาอุดีอาระเบียมากถึง 300,000 คน สร้างรายได้ส่งกลับประเทศมากกว่า 9,000 ล้านบาทต่อปี บัดนี้ ความร่วมมือและโอกาสนั้นจะกลับมาอีกครั้ง โดยแรงงานจากประเทศไทย จะมีส่วนช่วยเติมเต็ม “วิสัยทัศน์ซาอุดีอาระเบีย ค.ศ.2030” (Saudi Vision 2030) ผ่านโครงการก่อสร้างที่คาดว่าจะมีขึ้นเป็นจำนวนมาก

4.ด้านอาหาร : ประเทศไทยนั้นถือเป็น “ครัวโลก” อุดมสมบูรณ์ด้วยผลิตผลทางการเกษตร ผัก ผลไม้ และประมง อีกทั้งมีอาหารที่ทั่วโลกต่างหลงมนต์เสน่ห์ รวมถึงอาหาร “ฮาลาล” ซึ่งไทยมีศักยภาพในการผลิตและพร้อมส่งออกให้แก่ซาอุดีอาระเบีย รวมถึงผ่านซาอุดีอาระเบียไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค นำมาซึ่งโอกาสอย่างมหาศาลสำหรับผู้ประกอบการด้านอาหารของไทย

5.ด้านสุขภาพ : ด้วยความแข็งแกร่งด้านระบบสาธารณสุขของไทย และบุคลากรทางการแพทย์ชั้นนำระดับโลก รวมถึงการให้บริการที่ทุกคนประทับใจ ทำให้ไทยกลายเป็น "ศูนย์กลางทางการแพทย์" (Medical Hub) ที่ชาวต่างชาติ โดยเฉพาะจากภูมิภาคตะวันออกกลางที่เป็น "นักท่องเที่ยวระดับพรีเมียม" นิยมเดินทางมาท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในไทย โดยผู้ป่วยมักจะเดินทางมาพร้อมกับครอบครัวขนาดใหญ่ ที่มักจะซื้อแพ็กเกจที่รวมการรักษาพยาบาล ที่พัก และสถานที่ท่องเที่ยว จึงเป็นโอกาสที่จะเกิดการขยายตัวทางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและความร่วมมือทางการแพทย์ได้มากยิ่งขึ้น

6.ด้านความมั่นคง : ซาอุดีอาระเบียถือเป็นเป็นประเทศอิสลามสายกลาง ที่มีอิทธิพลสูงในกรอบองค์กรความร่วมมืออิสลาม (OIC) สามารถมีบทบาทช่วยส่งเสริมการแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างยั่งยืน ตามแนวทางสันติสุข นอกจากนั้น ยังสามารถมีความร่วมมือกันด้านข้อมูลข่าวสารความมั่นคง และการต่อต้านการก่อการร้ายอีกด้วย

7.ด้านการศึกษาและศาสนา : ที่ผ่านมานั้น ซาอุดีอาระเบียได้ให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียนไทยมุสลิมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการศึกษาด้านศาสนา นอกจากนั้น ซาอุดีอาระเบียยังเป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าทางวิทยาการด้านต่างๆ ทั้งด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม พลังงาน สุขภาพ การวิจัยทางทะเล การก่อสร้าง เทคโนโลยีป้องกันประเทศ และอื่นๆ ซึ่งจะทำให้ไทยมีโอกาสขยายการแลกเปลี่ยนด้านการศึกษาระหว่างกันอีกมาก

8.ด้านการค้าและการลงทุน : เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากการกลับมาสู่ความสัมพันธ์ในระดับปกติ จะสร้างโอกาสและเปิดประตูทางการค้าให้กับนักลงทุนและ SME ไทย ในการแสวงหาลู่ทางการทำธุรกิจและการแสวงหาหุ้นส่วนทางการค้าได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น ทั้งในซาอุดีอาระเบียและกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง เช่น ผลิตภัณฑ์อาหาร สินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าตกแต่งภายใน และเฟอร์นิเจอร์ ในขณะที่ซาอุดีอาระเบียก็ส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศผ่าน "กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ" ในด้านพลังงาน นวัตกรรม โทรคมนาคม อวกาศ เทคโนโลยีสีเขียว โครงสร้างพื้นฐาน ฯลฯ ซึ่งไทยนั้น มีความพร้อมในด้านทรัพยากรมนุษย์ องค์ความรู้ สถานศึกษา และเขตเศรษฐกิจพิเศษต่างๆ อย่าง EEC พื้นที่ระเบียงเศษฐกิจ และเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน ตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ รวมไปถึงการสร้างเมืองอัจฉริยะในจังหวัดต่างๆ ด้วย

9.ด้านการกีฬา : จะเป็นโอกาสอันดีในการสร้างความร่วมมือทางการกีฬาของทั้งสองประเทศ ที่มีความสนใจในการแข่งขันและการกีฬาต่างๆ ร่วมกัน เช่น ฟุตบอล มวย กอล์ฟ การแข่งรถ รวมถึง e-sport และอื่นๆ และเป็นโอกาสของไทยในการส่งเสริม "มวยไทย" ให้เป็นที่ยอมรับมากขึ้นในภูมิภาคตะวันออกกลางด้วย

ในวันนี้ ทั้งสองประเทศสามารถก้าวผ่านพ้นอดีต กลับมาสู่อนาคตที่สดใส โดยประวัติศาสตร์ต้องจารึกว่านี่คือ “ชัยชนะ” สำหรับประชาชนทั้งสองประเทศ ที่รัฐบาลของทั้งคู่ได้ใช้ความพยายามและทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่อง จนสำเร็จลุล่วงได้ในที่สุด และพร้อมก้าวย่างต่อไปอย่างมั่นคง ขยายจากความร่วมมือทวิภาคี "ไทย-ซาอุดีอาระเบีย" ไปสู่พหุภาคี "อาเซียน-คณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ” (Gulf Cooperation Council : GCC) โดยต่อจากนี้ รัฐบาลจะดำเนินงานอย่างไม่ลดละ ที่จะนำเอาความสำเร็จจากการสานสัมพันธ์ในครั้งนี้ แปลงไปสู่นโยบายและการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมในอนาคตอีกมากมาย ซึ่งผมจะเร่งสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ เพื่อสร้างโอกาสให้พี่น้องประชาชน และการฟื้นฟูประเทศหลังโควิดโดยเร็วที่สุด ซึ่งผมจะได้นำมาเรียนแจ้งพี่น้องในทันทีที่มีความคืบหน้าครับ

ด้านนายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงว่า ทั้ง 2 ประเทศได้เห็นชอบให้ปรับความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันให้กลับสู่ปกติอย่างสมบูรณ์ โดยจะมีการแต่งตั้งเอกอัครราชทูตและตั้งกลไกทวิภาคี หพุภาคี และความร่วมมืออื่นๆ เพื่อรื้อฟื้นความร่วมมือด้านต่างๆ ทั้งแรงงาน พลังงาน การท่องเที่ยว อาหาร และสาขาใหม่ๆ ที่มีศักยภาพต่อไป

นายธานียังกล่าวถึงขั้นตอนการแต่งตั้งเอกอัครราชทูตไทยเพื่อไปประจำการราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียว่า นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ยืนยันว่า กระทรวงการต่างประเทศจะเร่งพิจารณาแต่งตั้งเอกอัครราชทูตตามขั้นตอนอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เนื่องจากเอกอัครราชทูตจะมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการเปิดศักราชใหม่ ระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบีย.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ฟ้องต้นตอหมอคางดำ

สภาทนายความฯ เตรียมฟ้องแพ่งบิ๊กเอกชน-หน่วยงานรัฐ ต้นตอ "เอเลี่ยนสปีชีส์"

‘เนวิน’รวมใจชาวบุรีรัมย์ จัดมิวสิคัลเทิดพระเกียรติ

“เนวิน” รวมใจชาวบุรีรัมย์ จัดเทิดพระเกียรติ 72 พรรษา แสดง แสง สี เสียง มิวสิคัล “ลมหายใจของแผ่นดิน” โดยบุรีรัมย์ออร์เคสตรา แสดงความจงรักภักดี 28-30 ก.ค.2567 สนามช้างอารีนา บุรีรัมย์