"นายกรัฐมนตรี" อวยพรปีใหม่ 2568 ขอให้ปชช.มีความสุข ปราศจากอุปสรรค และเป็นปีแห่งโอกาสของทุกคน "วันมูหะมัดนอร์-บิ๊กป้อม" ขอคนไทยมีความสุข แคล้วคลาดจากอันตราย "ชวน" เตือนรัฐบาลยึดหลักความถูกต้องชอบธรรม อย่าคิดว่าคุมได้หมด กรีด “ทักษิณ” ควรสำนึกถึงพระมหากรุณาธิคุณได้ลดโทษจาก 8 เหลือ 1 ปี มอง 2 ปมร้อน "เขากระโดง-อัลไพน์" เงียบ เหตุต่างคนต่างไม่กล้าพูด "บัญญัติ" ชี้ "แม้ว" ทำสังคมอึดอัดจนม็อบต้องลงถนน "เด็จพี่" โวย "ชวน" วิจารณ์นายใหญ่ "เท้ง" ตั้งเป้าปี 68 ตรวจสอบ "ทักษิณ" นายกฯ ตัวจริงเต็มที่ บี้ “แพทองโพย” เห็นความสำคัญงานสภาฯ บ้าง
เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2567 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวคำอวยพรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2568 เผยแพร่ผ่านสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย คลื่น FM 92.5 MHz และเครือข่ายวิทยุกรมประชาสัมพันธ์ทั่วประเทศว่า พี่น้องประชาชนคนไทยที่รักทุกคน ในปี 2568 จะเป็นปีแห่งโอกาสของคนไทยทุกคน ทุกคนจะเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจ โอกาสที่จะประสบความสำเร็จ โอกาสที่จับต้องได้ โอกาสที่จะทำในสิ่งที่อยากทำและได้เป็นในสิ่งที่อยากเป็น
“ในโอกาสปีใหม่นี้ ดิฉันขอให้คนไทยทุกคนได้ใช้เวลาร่วมกับครอบครัว เพื่อน และคนที่ท่านรักอย่างมีความสุข เติมพลังกายพลังใจให้พร้อม เตรียมรับโอกาสดีๆ จากรัฐบาลตลอดปี 2568 และขอให้พี่น้องประชาชนชาวไทยทุกคน ประสบแต่ความสุข ปราศจากอุปสรรคและภัยอันตรายทั้งปวง และประสบความสำเร็จในสิ่งที่มุ่งหวังไว้ทุกประการโดยทั่วกัน สวัสดีปีใหม่ค่ะ” นายกรัฐมนตรี กล่าวอวยพร
นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวอวยพรเนื่องในวาระขึ้นปีใหม่ ปี 2568 ว่า ในนามประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานรัฐสภา รวมทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) และสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ขออำนวยพรให้พี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนมีความสุข มีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรง แคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งปวง
"ฝ่ายนิติบัญญัติที่มาจากประชาชนก็ขอขอบคุณ และให้กำลังใจทุกคนในปีต่อๆ ไป ขอให้มีกำลังใจเพื่อที่จะแก้ไขภัยที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติ ที่อาจจะมีเช่นเดียวกับปีนี้ ขอให้เรามีกำลังใจช่วยกันคนละไม้คนละมือ นำพาประเทศชาติของเราไปรอดและปลอดภัย ขอขอบคุณพี่น้องประชาชนทุกคน”นายวันมูหะมัดนอร์กล่าว
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 2568 ตนขออวยพรให้พี่น้องประชาชนมีแต่ความสุข สุขภาพร่างกายแข็งแรง ปลอดโรคภัยไข้เจ็บ โดยกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะดูแลด้านสุขภาพของพี่น้องประชาชน ก็มีความปราถนาดีที่จะมอบของขวัญปีใหม่ให้คนไทย ด้วยการมอบแนวทางและองค์ความรู้การดูแลสุขภาพ เพื่อให้พี่น้องประชาชนมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง อายุยืน
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวว่า ขอให้ประชาชนชาวไทยที่เคารพรักทุกคน มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง มีความมั่นคง มีความรัก ความสามัคคี และโชคดีตลอดปี 2568 ประสบแต่สิ่งอันเป็นมงคล มีความสุข ความเจริญ มีสุขภาพพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง ปราศจากภยันตรายทั้งปวง และขอเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในช่วงเทศกาลเฉลิมฉลอง ที่คอยอำนวยความสะดวกและดูแลช่วยเหลือประชาชนที่เดินทางกลับภูมิลำเนาด้วยความราบรื่น
"ในปี 68 ผมไม่รู้ว่าคนไทยจะต้องเผชิญกับปัญหาในเรื่องใดอีกบ้าง แต่เชื่อว่าหากคนไทยมีพลังแห่งความรัก และความสามัคคีก็จะหนุนนำให้ชาติบ้านเมืองผ่านพ้นอุปสรรค เช่นเดียวกับพรรคพลังประชารัฐของเราที่จะเดินอยู่เคียงข้างคนไทยตลอดไป" พล.อ.ประวิตรระบุ
ขณะที่นายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงการเคลื่อนไหวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อาจทำให้บ้านเมืองปั่นป่วนว่า ต้องถามรัฐบาลที่มีอำนาจในการจัดการทำอะไร ให้ถูกต้องตรงไปตรงมาโดยไม่มีข้อยกเว้น ทำไมไม่ทำ ทำไมปล่อยให้คนที่ทำให้เสียหายต่อส่วนรวมลอยนวลอยู่ได้
"ความจริงกรณีของนายทักษิณต้องถือว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งใหญ่ จะมีสักกี่คนที่ได้ลดโทษจาก 8 ปีเหลือ 1 ปี มีใครบ้างต้องเอ่ยมา เราไม่เคยได้ยินเลย ฉะนั้นเมื่อได้รับสิ่งนี้แล้วน่าจะสนองตอบพระมหากรุณาธิคุณ โดยปฏิบัติไปตามที่ได้รับพระราชทานมาอย่างเคร่งครัด เมื่อได้รับลดโทษเหลือ 1 ปี ก็ต้องติดคุก 1 ปี ไม่ใช่หาทางเลี่ยงออกไปอย่างนี้ แต่ต้องไปดูที่องค์กรทั้งหลายที่ทำให้คำวินิจฉัยนั้นปฏิบัติได้หรือไม่ นายทักษิณเป็นส่วนประกอบตัวเสริมสนับสนุน แต่องค์กรคือผู้ปฏิบัติ" นายชวนกล่าว
แนะ รบ.ยึดหลักความถูกต้อง
ถามว่า จะคาดหวังได้อย่างไรในเมื่อนายกฯ เป็นบุตรสาวของนายทักษิณ และยังคงออกมายืนยันว่าจำเป็นต้องใช้นายทักษิณเป็นที่ปรึกษา นายชวนกล่าวว่า นั่นเป็นเรื่องของเขา แต่หน้าที่ของรัฐบาลต้องยึดหลักที่ถูกต้องโดยไม่มีข้อแม้ ต้องซื่อสัตย์ สมมุติว่าตัวบุคคลไม่ใช่นายทักษิณก็ต้องเอาหลักนี้ ถูกก็ถูก ผิดก็ผิด ไม่ใช่เป็นการเหลื่อมล้ำหรือยกเว้นกับคนนี้ไม่ต้องปฏิบัติ หรือปล่อยปละละเลยให้มีการละเมิดหลักความถูกต้องชอบธรรม ก็เป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไปทั้งประเทศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ตนเชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร รัฐบาลจะไปประมาทด้วยเชื่อว่าเขาสามารถคุมได้หมด ก็ต้องระวัง
เมื่อถามถึงความขัดแย้งระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะกรณีที่ดินเขากระโดงกับสนามกอล์ฟอัลไพน์ จะมีผลกระทบต่อรัฐบาลหรือไม่ นายชวนกล่าวว่า ตนเข้าใจว่าต่างคนต่างอยู่ ซึ่งกรณีนี้พรรคประชาชาติก็เคยอภิปรายเรื่องเขากระโดงไว้หนัก โดยเฉพาะ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม วันนี้ปัญหาคือต่างคนต่างอยู่ไม่นำมาพูดกัน
นายชวนกล่าวถึงประเด็น MOU 44 ที่กลุ่มของนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยออกมาเคลื่อนไหว เกรงเสี่ยงทำให้เสียดินแดนทางทะเลว่า สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เอาเข้าครม.แล้วยกเลิก มันต้องมีเหตุผลว่าที่ทำไปมันไม่ดีอย่างไร ซึ่งนายอภิสิทธิ์อธิบายให้ตนฟังว่า ข้อตกลงนี้ทางกระทรวงการต่างประเทศในสมัยนั้นไม่เห็นด้วย แต่เมื่อเป็นความต้องการของฝ่ายการเมืองก็ต้องทำ
"เขาคงรู้แล้วว่าที่ไปทำไว้มีอะไรที่เป็นจุดอ่อนจุดแข็งที่ทำให้เสียเปรียบ แต่ข้อตกลงนี้มีข้อหนึ่งระบุไว้ว่า หากจะหาผลประโยชน์ร่วมกันจะต้องทำให้ข้อตกลงเรื่องเขตแดนจบก่อน ซึ่งนายอภิสิทธิ์ยังเล่าอีกว่าเคยสอบถามข้าราชการขณะนั้น ว่าปัญหาคือ รมว.ต่างประเทศทำไปเพราะเกรงใจนายทักษิณหรือไม่ ปัญหาคือความสัมพันธ์ส่วนตัวถึงขั้นมาขอให้ยอม มันเป็นข้อเท็จจริง และคงมีข้อยุติในวันใดวันหนึ่ง คนที่รู้ก็จะต้องเปิดเผยในวันหนึ่ง" นายชวนกล่าว
ส่วนนายบัญญัติ บรรทัดฐาน สส.บัญชีรายชื่อ พรรคปชป. วิเคราะห์ถึงสถานการณ์การเมืองในปี 2568 ว่า น่าจะเป็นปีแห่งความรุ่มร้อนและร้อนรุ่ม ด้วย 3 เหตุผล คือ 1.การเมืองในปีที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าค่อนข้างจะร้อนกันอยู่แล้ว ทั้งปัญหาด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ประชาชนประสบความยากลำบากจากปัญหาเศรษฐกิจครัวเรือน แล้วยังเกิดน้ำท่วมใหญ่ในหลายพื้นที่ ยิ่งซ้ำเติมให้เดือดร้อนมากขึ้น ขณะเดียวกันการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลที่ผ่านมาใช้นโยบายประชานิยม ที่เป็นนโยบายเฉพาะหน้าทำได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราว ไม่ได้แก้ที่รากฐานเพื่อนำไปสู่ความยั่งยืน แม้รัฐบาลจะประกาศว่าจะทำให้ตัวเลขจีดีพีทางเศรษฐกิจเติบโตให้อยู่ที่ 2.6 และ 2.8 ตอนนี้ดูแล้วไม่เห็นมีปัจจัยอะไรที่สามารถค้ำจุนเศรษฐกิจให้มั่นคงแข็งแรงถาวรได้
นอกจากนี้ เรื่องรายได้จากการส่งออกที่หลายคนเป็นห่วง จากกรณีที่สหรัฐอเมริกาอาจจะมีการปรับเปลี่ยนนโยบายที่มีต่อจีน และอีกหลายประเทศที่เขามองว่าเสียดุล โดยหนึ่งในนั้นมีไทยด้วย คิดว่าไทยอาจอยู่ในเป้าหมายของสหรัฐฯ ด้วย และอาจโดนสองต่อคือถ้าสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าจากไทย 10% เราก็จะแย่ และถ้าสหรัฐฯ ไปเล่นงานจีนหนักก็จะกระทบกับไทยด้วย เพราะจีนเป็นคู่ค้าสำคัญของเรา ขณะเดียวกันก็มีสินค้าราคาถูกจำนวนมากเข้ามาตีตลาดในไทย ตนจึงเห็นว่าเศรษฐกิจในปีหน้ายังหวังอะไรไม่ได้ ประชาชนก็ยังประสบความลำบากและยังรุ่มร้อนต่อไป และถ้าระดับเพิ่มมากๆ ทุกคนก็จะกดดันไปยังรัฐบาลให้ร้อนรุ่มไปด้วย
2.ปัญหาที่จะรุมเร้ารัฐบาลมาก ทั้งปัญหาสังคม เช่น ยาเสพติด การฉ้อโกง การลักเล็กขโมยน้อย แต่สิ่งที่จะทำให้ประชาชนรู้สึกอึดอัด โดยเฉพาะผู้ที่ตื่นตัวทางการเมือง คือความเหลื่อมล้ำในกระบวนการยุติธรรม และการเลือกปฏิบัติ ถือเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก แค่เฉพาะกรณีของกรมราชทัณฑ์ที่เชื่อมโยงกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตนมองว่าเป็นปัญหาที่น่ากลัวมาก แม้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และแพทยสภาเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว แต่ก็ต้องติดตามดูว่าท้ายที่สุดจะออกมาเป็นอย่างไร ยังบอกไม่ได้ว่าผู้ที่เกี่ยวข้องกับนายทักษิณในเรื่องนี้จะไปให้ถ้อยคำกับ ป.ป.ช.อย่างไร
'ทักษิณ' จุดชนวนทำคนลงถนน
เช่นเดียวกับเรื่องที่ดินเขากระโดง ที่ จ.บุรีรัมย์ ตนเห็นว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ได้เหมือนกัน เพราะคาราคาซังมานาน แม้ศาลจะมีคำพิพากษาแล้ว แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ยังไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล และเมื่อดูจากฝ่ายผู้ครอบครองที่ดินดังกล่าวไม่ใช่บุคคลธรรมดา และเขาพยายามออกมาต่อสู้ไม่ยอมแพ้ จึงไม่แน่ใจว่าเรื่องจะบานปลายมากน้อยแค่ไหน รวมถึงเรื่องปัญหาที่ดินอัลไพน์ที่ถูกพูดถึงอย่างมาก และดูเหมือนจะมีคนยื่นเรื่องให้องค์กรอิสระตรวจสอบแล้วเช่นกัน จึงถือว่าเรื่องเหล่านี้น่ากลัว
3.ปัญหาข้อขัดแย้งกรณี MOU 44 ระหว่างไทยกับกัมพูชา ก็ยังเกิดเป็นประเด็นได้ แม้รัฐบาลพยายามอธิบายว่าเป็นข้อตกลงที่ทำร่วมกันไว้ เพื่อทำให้ไทยและกัมพูชามีการเจรจา โดยสิ่งที่น่าห่วงคือคำพูดของนายทักษิณ ที่บอกว่าหากการปักปันหรือแบ่งเขตพื้นที่ทับซ้อนยังมีปัญหา ก็ให้ไปตกลงแบ่งผลประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติใต้ทะเลกันเสียก่อน เพราะถ้ายิ่งทิ้งเวลาไว้นานก็จะยิ่งไร้คุณค่า เพราะในอนาคตคนจะหันไปใช้พลังงานบริสุทธิ์มากขึ้น และยิ่งหากจะให้ไปแบ่งผลประโยชน์แบบ 50:50 ตนมองว่ามันทำไม่ได้
“เรื่องการตั้งคณะกรรมการเจทีซีตามเอ็มโอยูที่ยังคาราคาซัง ผมมองว่าการที่รัฐมนตรีเข้าประชุม ครม.ไม่ครบ จนทำให้นายทักษิณอารมณ์เสีย ไปอาละวาดข้างนอก เพราะรัฐมนตรีกลัวเรื่องนี้ด้วย วันนั้นรัฐมนตรีหลายคนกลัวอยู่สองเรื่อง คือการแต่งตั้งประธานบอร์ดแบงก์ชาติ กับการแต่งตั้งคณะกรรมการเจทีซี เขาจึงไม่อยากไปรับรู้ด้วย” นายบัญญัติกล่าว
ถามถึงเรื่องความเหลื่อมล้ำในกระบวนการยุติธรรม นายบัญญัติกล่าวว่า เป็นเรื่องที่มีมานานแล้ว ทั้งเรื่องความไม่ชอบธรรม ความเหลื่อมล้ำในกระบวนการยุติธรรม การเลือกปฏิบัติจะยิ่งปรากฏชัดขึ้น และสังคมจะเกิดความรุ่มร้อน เหลืออดเหลือทน จนต้องลงมาบนถนนอาจเกิดขึ้นได้ ความรู้สึกเชื่อมั่นต่อรัฐบาลจะลดลงอย่างต่อเนื่อง แม้รัฐบาลจะมีเสียงมากก็จริง แต่ความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างแท้จริงนั้นไม่น่าจะมี เพราะสังเกตได้ว่าในระยะหลังมักจะมีการช่วงชิงความได้เปรียบระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเองมาตลอด
"นับตั้งแต่เริ่มตั้งรัฐบาล พรรคการเมืองอันดับ 2 ใช้เกมช่วงชิงอำนาจกดดันพรรคแกนนำออกไปจากการเป็นผู้นำ ซึ่งในอดีตเราไม่เคยเห็นปรากฏการณ์นี้ มีแต่พรรคแกนนำอันดับ 1 เป็นตัวกดดันพรรคร่วมรัฐบาลให้ออกไป แล้วเอาพรรคอื่นเข้ามาแทน แต่นี่กลับเล่นเกมกันตลอด โดยดึงพรรคที่ประกาศตอนหาเสียงว่าหัวเด็ดตีนขาดก็จะไม่ร่วมรัฐบาลมาร่วมด้วย ดังนั้นการร่วมรัฐบาลครั้งนี้เรียกได้ว่าเป็นการร่วมแบบหลวมๆ และจะช่วงชิงความได้เปรียบเสียเปรียบกันตลอด โดยเกมนี้จะร้อนแรงตลอดในปี 68 แน่นอน” นายบัญญัติกล่าว
ซักถึงการเลือกตั้งท้องถิ่น นายบัญญัติกล่าวว่า การช่วงชิงระดับท้องถิ่นในการเลือกตั้งนายก อบจ.ทั่วประเทศในวันที่ 1 ก.พ. 68 ตรงนี้จะเป็นการตอกย้ำความกินแหนงแคลงใจระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน แต่ที่น่าอันตรายกับการพัฒนาประชาธิปไตย คือการช่วงชิงท้องถิ่นของบ้านใหญ่ เพื่อให้เข้ามาค้ำจุนเสถียรภาพของรัฐบาล ดังนั้นการจะแก้ปัญหาผู้มีอิทธิพลในสังคมไทย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ก็จะทำได้ยาก เมื่อท้องถิ่นที่มีอิทธิพลเชื่อมกับการเมืองใหญ่จะยิ่งมีอิทธิพลมากขึ้นทำให้ข้าราชการยิ่งเกรงใจ
นายบัญญัติมองว่า ในปี 2568 บทบาทของฝ่ายค้านจะมีมากขึ้น การอภิปรายทั่วไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 คงไม่เกิดขึ้น แต่จะเป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจตามมาตรา 151 มากกว่า ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกต้อง และเป็นหน้าที่ที่ควรทำ หากสามารถทำให้รัฐบาลตั้งอยู่ในหลักในเกณฑ์ รัฐสภามีความแข็งแกร่งแก้ปัญหาของประเทศได้ ความจลาจลที่อาจเกิดขึ้นก็จะลดลง แต่ตนไม่มั่นใจว่าจะทำสำเร็จได้มากน้อยแค่ไหน ได้แต่ภาวนาว่าขอให้ทำได้ มิฉะนั้นอาจเกิดวิกฤตในประเทศอีกครั้งก็เป็นได้ ส่วนจะมาในรูปแบบไหนนั้นไม่สามารถคาดเดาได้ แต่ความรู้สึกอึดอัดที่ได้รับมาตลอดในปี 2567 ตนยังมั่นใจว่าบทบาทของฝ่ายค้านในปีหน้าน่าดูชมได้พอสมควร
ถามว่า ตัวที่เร่งให้การเมืองร้อนรุ่มมากยิ่งขึ้นคือนายทักษิณด้วยใช่หรือไม่ นายบัญญัติกล่าวว่า นายทักษิณมีคนชื่นชมมาก แต่ก็มีคนที่เกลียดอยู่จำนวนไม่น้อย ตามคำโบราณที่ว่า “คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ” พอมีการขับเคี่ยวกันหนักๆ มีการหยิบยกพฤติกรรมในอดีตและความล้มเหลวในระบอบทักษิณมาพูดให้สังคมรับรู้มากขึ้น ยกตัวอย่างวันนี้หลายสื่อมีการหยิบยกคดีที่นายทักษิณแพ้ในอดีตขึ้นมาพูด และบางคดีที่ยังคาราคาซัง
"ผมมองว่าจะมีการหยิบยกมาพูดอีก ซึ่งก็เป็นการดีสังคมจะได้รับรู้ และเป็นบทเรียนด้วยว่าดูนักการเมือง อย่าดูเฉพาะหน้าฉาบฉวย หรือดูแต่นโยบายประชานิยมอย่างเดียวไม่ได้ ต้องดูพฤติกรรมด้วยว่าอดีตที่มาเป็นอย่างไร และอนาคตจะเป็นอย่างไร" นายบัญญัติกล่าว
พท.โวย 'ชวน' หาแม้วทำป่วน
ด้านนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีตโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) ตอบโต้กรณีนายชวนออกมาวิจารณ์นายทักษิณทำตัวปั่นป่วนบ้านเมืองว่า ไม่เป็นความจริง นายทักษิณพยายามช่วยเหลือประชาชนและประเทศชาติ นำความรู้ความสามารถประสบการณ์มาทำทุกอย่างเพื่อบ้านเมือง นายชวนต่างหากเป็นคนที่อวดอ้างว่ามีหลักการประชาธิปไตย แต่เมื่อตรวจสอบแล้วนายชวนไม่อยู่ในหลักการเลย มีแต่หลักลอย ดีแต่พูด หลงยุคไม่ปรับตัว ยังวิพากษ์วิจารณ์ด้วยอคติเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง ยังจมปลักกับอดีตของความขัดแย้ง ผ่านมา 20 ปีไม่เคยเปลี่ยนแปลง เคยวิจารณ์อย่างไร มีอคติกับอดีตนายทักษิณมาตลอดเวลา 20 ปี ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ปล่อยวาง จมงมงายอยู่กับอดีตมืดดำ วังวนความแค้น ถือเป็นทัศนคติที่อันตราย ส่งต่อสืบทอดความชิงชัง
"คนรุ่นใหม่ในประชาธิปัตย์มีมากมาย หัวหน้าพรรคอย่างนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน และกรรมการบริหารประชาธิปัตย์ยุคใหม่ เขากล้าคิด กล้าทำ กล้าข้ามความขัดแย้ง คิดนอกกรอบ สลายความขัดแย้งที่มีมาเกือบ 20 ปี ทำการเมืองเพื่อบ้านเมือง เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน และตั้งรัฐบาลสมานฉันท์โดยมีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ นี่คือเส้นแบ่งความคิดที่ก้าวข้ามและแยกส่วน นายชวนจึงต้องเป็นฝ่ายค้านในฝั่งรัฐบาล ถึงจะมีเอกสิทธิ์ สส. แต่ก็ขอบอกว่าควรมีมารยาทในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล ระวังจะเสียผู้ใหญ่ โดนไล่ถอนหงอก การพูดเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น" นายพร้อมพงศ์กล่าว
อดีตโฆษกพรรค พท.กล่าวว่า การกล่าวหาว่านายทักษิณทำตัวปั่นป่วนไม่อยู่ในหลักการนั้น นายชวนส่องกระจกดูตัวเองและทบทวนอดีตให้มาก จะได้เห็นสัจธรรมความจริง ปล่อยวาง อย่าจับผิดทุกเรื่อง ที่ดินเขากระโดง อัลไพน์ ก็คงว่าไปตามกฎหมาย ไม่มีใครช่วยได้เป็นไปตามหลักนิติรัฐนิติธรรม อย่างไรก็คงเทียบไม่ได้กับความเสียหายจากวีรกรรมฉาวโฉ่ ส.ป.ก. 4-01 โจ๋งครึ่มไร้ยางอาย
วันเดียวกัน นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ประเมินการทำงานของรัฐบาลในปี 2567 ว่า พรรคร่วมรัฐบาลเกิดขึ้นจากสิ่งที่เรียกว่าการตกลงผลประโยชน์ร่วมกัน ขณะเดียวกันพรรค พท.ไม่สามารถกำหนดทิศทางได้ หลายครั้งที่พรรคภูมิใจไทยไม่เห็นด้วย จนทำให้ทิศทางของรัฐบาลไม่สามารถขับเคลื่อนได้เต็มประสิทธิภาพ ตนคิดว่ามันเกิดจากการจัดตั้งรัฐบาลผสมพันธุ์ข้ามขั้วตั้งแต่ตอนแรก และส่งผลมาถึงปัจจุบัน ทำให้พรรคเพื่อไทยไม่สามารถผลักดันนโยบายที่หาเสียงไว้ได้อย่างเต็มที่
ถามว่า ในปี 2568 มีโอกาสที่รอยร้าวของพรรคร่วมรัฐบาลจะขยายขึ้น ทำให้รัฐบาลสั่นคลอนหรือล้มลงได้หรือไม่ นายณัฐพงษ์กล่าวว่า มีโอกาสมาก สิ่งนี้เองตนคิดว่าเวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ฝ่ายค้านจะเป็นแว่นขยายทำให้เห็นรอยร้าวได้อย่างชัดเจนมากขึ้น ตนคิดว่าเรื่องนี้รัฐบาลจัดการได้ยาก ฝ่ายค้านจะทำหน้าที่อย่างเต็มที่ อีกประเด็นที่ตนคิดว่าสำคัญคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องนี้จะผลักดันได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับพรรคภูมิใจไทยด้วย
ขึงขังตรวจสอบนายกฯ ตัวจริง
ซักถึงบทบาทของนายทักษิณที่ช่วงหลังมีสูงมาก หลายคนเปรียบเทียบว่าเป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริง นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า คงเดินหน้าตรวจสอบอย่างเต็มที่ บทบาทของนายทักษิณเองที่อาจจะมีการตั้งข้อสงสัยว่าเป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริงหรือไม่
“ผมเองก็อยากเรียกร้องให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ควรจะต้องเป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริงมากกว่า แต่ว่าการแสดงออก พฤติกรรมที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการหลีกเลี่ยงการตอบกระทู้ถามสด การไม่เป็นประธานในที่ประชุมบอร์ดคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) หรือหลีกเลี่ยงการตอบคำถามสื่อ สื่อถามคำถามแบบหนึ่ง ตอบแบบหนึ่ง ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเราตั้งข้อสงสัยว่า คนคนนี้ ไม่ใช่นายกรัฐมนตรีตัวจริง รวมถึงลอยตัวหนีปัญหา เป็นข้อสงสัยได้ว่าท่านอาจจะขาดคุณสมบัติในการเป็นนายกรัฐมนตรี และสิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้สำหรับ น.ส.แพทองธาร หากอยากจะได้ความมั่นใจจากประชาชนกลับมาว่าเป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริง ต้องยอมตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมา แสดงความรับผิดรับชอบต่อสภาฯ" นายณัฐพงษ์กล่าว
ถามว่า บนเวทีปราศรัยหลายแห่งนายทักษิณปราศรัยกระทบกระเทียบมาถึงพรรค ปชน. เช่นทำงานไม่เป็น ด่าเก่ง จะกระทบต่อความเชื่อมั่นของพรรคหรือไม่ หัวหน้าพรรค ปชน.กล่าวว่า ต้องพิสูจน์จากการทำงานหนัก แน่นอนที่สุดว่ามุมมองของนายทักษิณอาจจะคิดว่าพรรค ปชน.ไม่เคยบริหารจริงๆ แต่อย่างน้อยนอกจากเรื่องจำนวนกฎหมายที่พรรคเสนอมากที่สุด อีกหนึ่งสิ่งที่เห็นได้ชัด คือเรื่องการชะลอการรับซื้อพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียน เป็นสิ่งที่เราสะท้อนต่อสังคมและเกิดผลได้จริง
"ในปี 2568 ยังมีอีกหลายวาระที่เราอยากผลักดันต่อ การแก้ไขรัฐธรรมนูญก็เป็นอีก 1 เรื่องที่ไม่ใช่พรรคอยากผลักดันพรรคเดียว ถ้าพรรค พท.เห็นด้วยก็ต้องผลักดันต่อ รวมถึงการพูดคุยกับพรรคร่วมรัฐบาลให้เอาด้วยกับเรื่องนี้ เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าเสียงในวาระ 1 ก็ต้องอาศัยเสียง สว. 1 ใน 3 เช่นเดียวกัน" หัวหน้าพรรค ปชน.กล่าว
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวถึงการทำงานของพรรค ภท.ในปี 2568 ว่า เราเอาผลงานเข้าแลกผ่านสโลแกนพูดแล้วทำ สิ่งที่ไม่ได้พูดก็ทำ เราไม่ได้ดีแต่พูด ซึ่งเป็นสิ่งที่ชัดเจนอยู่แล้วว่าอย่างน้อยนี่เป็นเครดิต และความเชื่อถือที่ประชาชนจับต้องได้ และให้คะแนนเราในเรื่องของการปฏิบัติ แม้พูดไม่ค่อยเก่ง พูดไม่ค่อยเพราะ เอาใจคนไม่ค่อยเป็น แต่เวลาทำงานเราทำอย่างเต็มที่ มีผลงานเป็นรูปธรรมจับต้องได้
นายอนุทินกล่าวว่า ในส่วนการเมืองท้องถิ่น พรรค ภท.ไม่ได้ลุยในนามพรรค แต่เรามีเครือข่ายอยู่แล้ว เพราะอย่างที่ตนได้เคยอธิบายกับสื่อมวลชนไปว่า บางท่านก็เป็นญาติกัน น้องช่วยพี่ ญาติช่วยญาติ แต่หากมายึดโยงกับพรรค ภท. และคนที่มาช่วยอยู่อีกพรรคการเมืองหนึ่ง ถึงแม้อยากจะช่วยเขาก็ช่วยไม่ได้ เพราะเดี๋ยวจะทำให้พรรคคู่แข่งนั้นโตขึ้นมา สุดท้ายมันไม่ได้เป็นประโยชน์กับใคร และไม่ได้เป็นประโยชน์กับประชาชนในท้องถิ่นนั้น
"พรรค ภท.เราคำนึงถึงประชาชนเป็นหลักอยู่แล้ว เราก็ถอนตัวออกมาในการที่จะส่งในนามพรรค ซึ่งหากเครือข่ายของพรรค ภท.ท่านใดจะลงสมัครในท้องถิ่น เราก็มีความยินดีที่จะช่วยสนับสนุน ให้กำลังใจให้เขาได้รับชัยชนะ ทั้งนี้ตนยอมรับว่าวันนี้ทำอะไรมากไม่ได้ เพราะมีหน้าที่ในการรับผิดชอบดูแลความเรียบร้อยในการเลือกตั้ง ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ออกหนังสือเวียนให้ข้าราชการมหาดไทยทั่วประเทศวางตัวเป็นกลาง ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าในเมื่อเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จะไปเชียร์ใครออกนอกหน้าก็ไม่เหมาะสม กฎหมายไม่ได้ห้าม แต่มันไม่มีความเหมาะสม" นายอนุทินกล่าว.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
‘แพทองธาร’ เข้าพบ ‘สุรยุทธ์’
นายกฯ เผย สมเด็จพระสังฆราชประทานพรให้แข็งแรง ดูแลบ้านเมืองให้สงบ พร้อมเข้าขอพรปีใหม่ประธานองคมนตรี สักการะพระแก้วมรกต-ศาลหลักเมือง
นายกฯรวยหมื่นล้าน อิ๊งค์แจงบัญชีทรัพย์สิน ใช้จ่ายส่วนตัวปีละ45ล.
“ป.ป.ช.” เปิดทรัพย์สิน “นายกฯ อิ๊งค์” รวยมโหฬารกว่า 1.3 หมื่นล้านบาท แบกหนี้กู้เงินญาติพี่น้อง 4.4 พันล้าน สะสมนาฬิกา 75 เรือน มูลค่า 162 ล้านบาท มีกระเป๋า 217 ใบ
7 วันอันตรายดุ สังเวย321ชีวิต สุราษฎร์แชมป์
7 วันอันตรายตายสะสมแล้ว 321 ราย ขับรถเร็วครองแชมป์อุบัติเหตุ “สุราษฎร์ฯ” กวาดทริปเปิลทั้งยอดอุบัติเหตุ-ตาย-เจ็บ “บขส.” เผยยอดผู้ใช้บริการ 9 วันกว่า 1.2 ล้านราย
บึ้มรับปีมะเส็ง ตร.เจ็บ 6 นาย
บึ้มรับปีมะเส็ง คนร้ายซุกบึ้มหน้าโรงเรียนบ้านกะลาพอที่สายบุรี ทำตำรวจ 6 นาย พ่วงเด็ก 3 ขวบบาดเจ็บ “ผบช.ภ.9” วิทยุด่วนสั่งเฝ้าระวังเข้ม
‘พ่อ-ลูก’ แห่ช่วยหาเสียง หลายพื้นที่สอย ‘ผู้สมัคร’
“แพทองธาร” ลุยช่วยหาเสียง อบจ.นครพนม 12 ม.ค.นี้ ส่วนพ่อนายกฯ ลงซ้ำ 18 ม.ค.นี้ “อนุทิน” ไม่หวั่น ขอแค่ส่งใจช่วยเครือข่ายสีน้ำเงินรักษาเก้าอี้ภาคอีสาน
พิชัยปธ.งบ69 เน้นศก.เติบโต การเงินเข้มแข็ง
มอบแต่ต้นปี “แพทองธาร” ให้ “พิชัย” นั่งหัวโต๊ะแทนประชุมกรอบงบประมาณปี