จี้สอบ6ข้อป่วยทิพย หวั่น‘สมศักดิ์’แทรกแซง/‘แม้ว’ถก‘อันวาร์’เรื่องอาเซียน!

"บิ๊กป้อม" เลี่ยงเผชิญหน้า "ทักษิณ"  ยกเลิกร่วมงานอวยพรครบรอบ 75 ปี นสพ.ไทยรัฐ  "พ่อนายกฯ" รับขึ้นเรือยอชต์คุย "นายกฯ มาเลเซีย"   บอกหารือเรื่อง ศก.-การสร้างอาเซียนเข้มแข็ง ห่วงสถานการณ์สื่อขยายข่าวมากเกินไป ชี้นำสังคมด้วยอารมณ์ "อันวาร์" โชว์รูปคู่ตอกย้ำสัมพันธ์แนบแน่น เผยคุยหลายเรื่องทั้งฟื้นฟู ศก.และสร้างสันติภาพภาคใต้ "สมาชิกแพทยสภา" ส่งหนังสือร้อง "นพ.อมร" สอบข้อเท็จจริง 6 ประเด็นสำคัญ "ทักษิณ" นอนชั้น 14 รพ.ตำรวจป่วยจริงหรือป่วยทิพย์ กังวลสัมพันธ์ "พท.-แพทยสภา" ทำผลสอบไม่โปร่งใส

ที่สำนักงานหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ถนนวิภาวดีรังสิต วันที่ 27 ธันวาคม 2567 มีการจัดงานครบรอบ 75 ปีหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ โดยมีรัฐมนตรี สส. นักธุรกิจ และบุคคลในแวดวงต่างๆ มาร่วมแสดงความยินดีอย่างคับคั่ง ซึ่ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ  สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ  (พปชร.) มีกำหนดการจะมาร่วมแสดงความยินดีในเวลา 10.30 น. แต่ก่อนถึงเวลาเพียง 10 นาที ได้แจ้งยกเลิกการมาร่วมแสดงความยินดี โดยส่งเพียงตัวแทนมา และแจ้งว่า พล.อ.ประวิตรไม่ค่อยสบาย

ทั้งนี้ ในช่วงเวลา 11.30 น. นายทักษิณ ชินวัตร  อดีตนายกรัฐมนตรี มีกำหนดเดินทางร่วมแสดงความยินดีกับหนังสือพิมพ์ไทยรัฐเช่นกัน ทำให้มีการตั้งข้อสังเกตว่า การที่ พล.อ.ประวิตรยกเลิกการเดินทางมา น่าจะเลี่ยงการมาพบเจอกับนายทักษิณหรือไม่อย่างไร

อย่างไรก็ตาม นายทักษิณได้เดินทางมาตามกำหนด เมื่อลงจากรถได้สวมกอดนายสราวุธ วัชรพล หัวหน้ากองบรรณาธิการบริหารหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ก่อนจะถ่ายรูปหมู่และเซลฟีกับคณะผู้บริหาร จากนั้นผู้บริหารไทยรัฐกรุ๊ปได้พานายทักษิณเข้าชมพิพิธภัณฑ์ “นายกำพล วัชรพล” ซึ่งบอกเล่าประวัติการก่อตั้งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ จากอดีตจนถึงปัจจุบัน ที่มีการขยายไปทั้งสื่อออนไลน์และโทรทัศน์ จากนั้นได้รับประทานอาหารร่วมกัน

นายทักษิณให้สัมภาษณ์ถึงกรณีกระแสข่าวสะพัดขึ้นเรือยอชต์จาก จ.ภูเก็ต ไปเกาะหลีเป๊ะ เพื่อคุยกับนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียกลางทะเลช่วงแนวเขตประเทศไทย เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.ว่า คุยกันแล้วเรียบร้อยดี

นายทักษิณกล่าวว่า ถือเป็นเรื่องที่ดีที่ได้พูดคุยเรื่องสถานการณ์ในภาคใต้ เรื่องอาเซียนและเมียนมา รวมถึงสถานการณ์ของโลก หลังจากที่โลกได้เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งได้พูดคุยกันเยอะ โดยเฉพาะเศรษฐกิจประเทศไทย อีกทั้งตอนนี้อาเซียนต่างคนต่างอยู่ จึงอยากให้อาเซียนมีความเข้มแข็ง รวมกันเป็นหนึ่ง และเป็นพลังของ 700 ล้านคน ให้มีพลังมากกว่าเดิม ถ้าไม่เช่นนั้นจะเป็นพลังของประเทศไทยกว่า 70 ล้าน และมาเลเซียกว่า 20 ล้าน การจะทำให้รวมกัน จะทำให้เป็นพลังรวมกันได้ก็ต่อเมื่อร่วมไม้ร่วมมือกัน เป็นนโยบายรวมของอาเซียน

นายทักษิณยังกล่าวกรณีหลังกลับเข้ามาในประเทศไทยและใช้ชีวิตได้หนึ่งปีกว่าว่า วันนี้เป็นห่วงเรื่องสื่อมวลชน เพราะสื่อไปขยายข่าวมากเกินไปจากเนื้อหาที่แท้จริง ซึ่งการอธิบายข่าวเป็นเรื่องที่ดี แต่การขยายข่าวบางทีอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด

ขณะที่ นายดาโตะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว Anwar Ibrahim พร้อมรูปภาพคู่กับนายทักษิณ  ระบุว่า ผมได้พบกับเพื่อนที่ดีของผมและอดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย นายทักษิณ เมื่อวานนี้ (26 ธ.ค.) และเราได้พูดคุยกันอย่างกว้างขวางในหลายประเด็นสำคัญ รวมถึงบทบาทของเขาในฐานะที่ปรึกษาอย่างไม่เป็นทางการให้กับประธานอาเซียน การพูดคุยของเราเน้นไปที่ประเด็นสำคัญในระดับภูมิภาค ได้แก่ การฟื้นฟูเศรษฐกิจ การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่ การสร้างสันติภาพในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทย และการแก้ปัญหาวิกฤตการณ์ในเมียนมา

อันวาร์โชว์สัมพันธ์ทักษิณ

นายอันวาร์ระบุว่า เครือข่ายความสัมพันธ์ที่กว้างขวางและความเชี่ยวชาญที่โดดเด่นของนายทักษิณในภูมิภาคนี้ เปิดโอกาสสำคัญให้มาเลเซียและอาเซียนสามารถเผชิญกับความท้าทายเหล่านี้ได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้เราได้หารือเกี่ยวกับวิธีการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมาเลเซียและไทย ซึ่งมีความแข็งแกร่งอยู่แล้ว ให้ยิ่งแน่นแฟ้นขึ้น โดยสอดคล้องกับวิสัยทัศน์เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนและการรวมตัวในภูมิภาคที่ตนได้แบ่งปันกับนายกรัฐมนตรีของไทย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร

 “ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ผมและ ดร.ทักษิณ มีความเชื่อร่วมกันว่ามาเลเซียและไทยสามารถสร้างความสำเร็จร่วมกันได้มากยิ่งขึ้น ไม่เพียงแค่เพื่อประเทศของเราเท่านั้น แต่เพื่อภูมิภาคโดยรวม เรามุ่งมั่นที่จะทำให้วิสัยทัศน์นี้กลายเป็นความจริง" นายอันวาร์ระบุ

วันเดียวกัน สมาชิกแพทยสภาจำนวนหนึ่ง ได้ส่งหนังสือร้องเรียนถึง ศ.เกียรติคุณ นพ.อมร ลีลารัศมี ประธานอนุกรรมการสอบสวนคดีจริยธรรม คณะแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ และคณะแพทย์ในสังกัดกรมราชทัณฑ์ กรณีผู้ป่วยนายทักษิณ ชินวัตร  ระบุว่า ข้าพเจ้าและเพื่อนแพทย์หลายท่าน รวมทั้งประชาชนจำนวนมาก มีข้อสงสัยต่อมาตรฐานการประกอบวิชาชีพเวชกรรมของแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ และแพทย์ในสังกัดกรมราชทัณฑ์ กรณีผู้ป่วยนายทักษิณ จึงมีความประสงค์ให้ท่านและแพทยสภาสอบสวนเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงต่อไปนี้ด้วย นอกเหนือจากที่ท่านและแพทยสภากำลังดำเนินการอยู่

ทั้งนี้ หนังสือดังกล่าวระบุหัวข้อที่ขอให้สอบข้อเท็จจริง 6 ประเด็นสำคัญ 1.คณะแพทย์ รพ.ตำรวจ และคณะแพทย์ในสังกัดกรมราชทัณฑ์ รักษานายทักษิณถูกต้องตามมาตรฐานหลักวิชาการแพทย์หรือไม่ ได้แก่ 1.1 ในคืนแรกของการจองจำ ณ ทัณฑสถาน นายทักษิณปรากฏอาการผิดปกติกลางดึกได้รับการตรวจรักษาและวินิจฉัยโดยแพทย์ของทัณฑสถานถูกต้องตามหลักวิชาการและมาตรฐานแพทย์หรือไม่ การเคลื่อนย้ายจากทัณฑสถานไปยัง รพ.ตำรวจยามวิกาล มีเหตุผลและกรรมวิธีและโดยบุคลากรและอุปกรณ์ช่วยชีวิตชีวิตที่เหมาะสมถูกต้องตามหลักวิชาการและมาตรฐานแพทย์หรือไม่

1.2 นายทักษิณได้รับการตรวจ วินิจฉัย และรักษา รพ.ตำรวจในคืนวันแรก เพื่อบำบัดอาการเจ็บป่วยวิกฤตฉุกเฉินจริงหรือไม่ ถูกต้องตามหลักวิชาการและมาตรฐานแพทย์หรือไม่ 1.3 การตรวจรักษาผู้สูงอายุมากกว่า 70 ปี มีบุคลากรแพทย์ พยาบาล สหวิชาชีพ ที่มีความชำนาญใต้มาตรฐาน เช่น แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหัวใจ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการหายใจ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรกรรมผู้ป่วยวิกฤต และอื่นๆ ครบถ้วนถูกต้องหรือไม่ตลอดเวลาหลายเดือน ณ ชั้น 14

1.4 รพ.ทัณฑสถานฯ มีบุคลากรการแพทย์ พยาบาล และเครื่องมือ ไม่ถูกต้องตามหลักวิชา และมาตรฐานการแพทย์ จนมิอาจบำบัดภาวะวิกฤตของนายทักษิณ ชินวัตรได้ และมิอาจรับย้ายกลับจาก รพ.ตำรวจได้ตลอดเวลาหลายเดือนจริงหรือไม่ 1.5 ผู้ป่วยได้รับการตรวจด้วย MRI และการผ่าตัดทางกล้องที่ไหล่มีข้อบ่งชี้อย่างไร ถูกต้องตามหลักวิชาการแพทย์หรือไม่ นอกจากนั้น ผู้ป่วยใส่เฝือกอ่อนปลอกคอ การตรวจรักษาดังกล่าวที่คณะแพทย์ฯ จัดการมีความจำเป็นถูกต้องตามหลักวิชาหรือไม่ 1.6 เมื่อผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาลแล้ว  แพทย์ได้ตรวจรักษาติดตามอาการต่อเนื่องอย่างใดหรือไม่ มียาใดๆ ที่ต้องรับประทานต่อเนื่องหรือไม่

ยื่น 6 ประเด็นสอบป่วยทิพย์

2.ห้องพักผู้ป่วยชั้นที่ 14 ได้จัดมาตรฐานทางการแพทย์และการพยาบาลเหมาะสมสำหรับรักษาผู้ป่วยด้วยเหตุวิกฤตถูกต้องตามหลักวิชาเพียงใด  เป็นเพียงห้องพักผู้ป่วยในหรือเป็นหออภิบาลผู้ป่วย  มีการจัดเวรพยาบาลเฝ้าดูติดตามอาการตลอด 24 ชั่วโมงหรือไม่ มีบันทึกสัญญาณชีพ ปริมาณน้ำเข้า/ออก อาการทั่วไป และการตรวจเยี่ยมของแพทย์ อย่างถูกต้องต่อเนื่องทุกวันตลอดการรักษาหรือไม่

3.คณะแพทย์ฯ ดังกล่าวได้ทำหนังสือเอกสาร ลงบันทึกการตรวจรักษาในเวชระเบียนหรือออกใบรับรองการป่วยนายทักษิณ ชินวัตร หรือทำคำแถลงต่อหน่วยงานราชการ เช่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม คณะกรรมาธิการของรัฐสภา และ ป.ป.ช. ถูกต้องครบถ้วนตามความจริงหรือเป็นเท็จทุกฉบับถูกต้องตามมาตรฐานแห่งวิชาชีพเวชกรรมหรือไม่

4.คณะแพทย์ฯ ได้ประวิง ปกปิด อำพรางความจริง หรือหลีกเลี่ยงการรายงานข้อมูลซึ่งสมควรต้องรายงานหรือส่งมอบต่อหน่วยงานราชการทางยุติธรรม ได้แก่ คณะกรรมาธิการของรัฐสภา และ ป.ป.ช. โดยอ้างว่าคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของผู้ป่วยชอบด้วยจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรมหรือไม่

5.ข้าพเจ้าและเพื่อนแพทย์หลายท่านมีความเห็นตรงกันว่า ปรากฏความพิรุธอย่างสำคัญหลายประการดังต่อไปนี้ 5.1.หากผู้สูงอายุมากกว่า 70 ปี มีเหตุร้ายแรงเจ็บป่วยวิกฤตจนต้องเคลื่อนย้ายอย่างรีบด่วนจากทัณฑสถานกรมราชทัณฑ์ไปยังโรงพยาบาลตำรวจ และมีความจำเป็นที่จะต้องพักรักษาตัวอยู่โดยไม่อาจเคลื่อนย้ายกลับไปยังสถานพยาบาลของกรมราชทัณฑ์ตลอดเวลาหลายเดือน  เพราะมีสภาพการเจ็บป่วยวิกฤต จะต้องปรากฏหลักฐานทางการแพทย์ว่ามีสัญญาณชีพ คลื่นไฟฟ้าหัวใจ, ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ ดังนั้นจึงขอให้ท่านตรวจสอบว่ามีหลักฐานเช่นว่าตั้งแต่วันแรกของการเจ็บป่วยและตลอดหลายเดือนที่เป็นผู้ป่วยในโรงพยาบาลตำรวจหรือไม่ อย่างใด

5.2.กระดูกหัก/ข้อเคลื่อนจากอุบัติเหตุร้ายแรง หรือความผิดปกติของข้อไหล่ทำให้เกิดการกดทับเส้นประสาทสำคัญตรงกลุ่มเส้นประสาทในรักแร้ และหลอดเลือดใหญ่ใต้กระดูกไหปลาร้าและในรักแร้เท่านั้น ที่เป็นข้อบ่งชี้ให้ทำการผ่าตัดข้อไหล่ในผู้สูงอายุมากกว่า 70 ปี หากผู้ป่วยรายนั้นมีวิกฤตทางอายุรกรรมร่วมด้วย ซึ่งความผิดปกติของข้อไหล่เช่นนั้น สามารถวินิจฉัยได้จากการตรวจร่างกาย, Plain X-ray และ CT Scan ซึ่งให้ข้อมูลได้ละเอียดเพียงพอในเวลาอันสั้น มิใช่ MRI ที่กินเวลานานกว่ามาก

5.3.การเจ็บป่วยอื่นใดของข้อไหล่ ซึ่งไม่ใช่กระดูกหัก/ข้อเคลื่อนจาก Major Injury หรือทำให้เกิดการกดทับเส้นประสาทสำคัญตรงกลุ่มเส้นประสาทในรักแร้ Brachial Plexus และหลอดเลือดใหญ่ใต้กระดูกไหปลาร้าและในรักแร้ในผู้สูงอายุมากกว่า 70 ปี ขณะที่ผู้ป่วยอยู่ในวิกฤตทางอายุรกรรม เป็นการเจ็บป่วยที่ไม่จำเป็นต้องทำผ่าตัดแบบฉุกเฉิน สามารถรักษาตามอาการแบบประคับประคอง เช่น ใช้ยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบพวก NSAID, ยาคลายกล้ามเนื้อ, การทำกายภาพบำบัดประคบร้อน เย็น นวด หรือคลื่นเสียง จนกว่าจะพ้นภาวะวิกฤตทางอายุรกรรมแล้วเท่านั้น 5.4.การทำผ่าตัดทางกล้องที่ข้อไหล่เป็นหัตถการทางศัลยกรรมสำหรับเฉพาะโรคที่รอได้ จะทำต่อเมื่อผู้ป่วยนั้นไม่มีภาวะวิกฤตแล้วเท่านั้น เพราะต้องใช้การวางยาสลบ ซึ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงอย่างสำคัญโดยไม่จำเป็นต่อหัวใจ ระบบไหลเวียนและปอดในผู้ป่วยผู้สูงอายุมากกว่า 70 ปี หากมีสภาพวิกฤตทางอายุรกรรม

ห่วงสัมพันธ์แพทยสภา-พท.

5.5. การตรวจข้อไหล่ด้วย MRI ถือเป็นข้อห้ามสำหรับผู้ป่วยวิกฤต เพราะใช้เวลานาน และสนามแม่เหล็กกำลังสูงมากในห้อง MRI ขัดขวางหรือทำให้เกิดอันตรายได้จากอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เป็นเหล็ก เช่น เข็มฉีดยา มีด กรรไกร ไฟฉาย Laryngoscope (เครื่องสอดใส่ท่อช่วยหายใจ) ดังนั้นแล้วหากนายทักษิณป่วยวิกฤตจริง ขอให้ท่านและแพทยสภากล่าวหาและดำเนินการสอบสวนศัลยแพทย์สาขากระดูกและข้อ รังสีแพทย์ และวิสัญญีแพทย์ ผู้มีส่วนร่วมในการตรวจวินิจฉัยและรักษาผู้ป่วยรายนี้ ให้ครบถ้วนด้วยทุกสาขา เพราะแพทย์เหล่านั้นได้สั่งการตรวจและรักษาโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ป่วยซึ่งอยู่ในสภาพวิกฤต ทั้งที่โรคของข้อไหล่เป็นภาวะที่รอได้ ซึ่งไม่มีความจำเป็นรีบด่วน

5.6.ในทางตรงกันข้าม หากนายทักษิณ ชินวัตร มิได้ป่วยสภาพวิกฤตจริงแล้วไซร้ (ซึ่งยืนยันโดยพฤติการณ์ที่ได้รับการตรวจ MRI และการผ่าตัดส่องกล้องข้อไหล่ภายใต้การวางยาสลบ) แพทย์ผู้ใดที่โฆษณาหรือได้ทำเอกสารสำแดงความเท็จรับรองว่าผู้ป่วยมีสภาพวิกฤต ย่อมประพฤติมิชอบ ฝ่าฝืนมาตรฐานวิชาชีพเวชกรรมอย่างร้ายแรง ใช้วิชาชีพแพทย์โดยทุจริตเพื่อช่วยให้ผู้ต้องโทษหลีกเลี่ยงการรับโทษจำคุกในทัณฑสถาน 5.7.อนึ่ง ปรากฏข้อเท็จจริงในทางการแพทย์ว่า ผู้สูงอายุที่อยู่ในโรงพยาบาลเพียงสัปดาห์เดียว ไม่ว่าจะต้องนอนอยู่ในเตียงตลอด หรือจำกัดการเดินในห้องพักผู้ป่วย ย่อมจะเกิดภาวะสภาพการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ คือภาวะของมวลกล้ามเนื้อลดลง กล้ามเนื้อลีบลง เช่นสภาพของพลตำรวจเอก เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ป่วยเป็นปอดอักเสบเข้าพักรักษาในโรงพยาบาลสองสัปดาห์ หลังจากนั้นต้องฟื้นฟูสภาพร่างกายหลังออกจากโรงพยาบาลเป็นเวลานาน

แต่ในผู้ป่วยรายนี้ ปรากฏต่อสาธารณะว่า นายทักษิณ ชินวัตร ผู้ป่วยมิได้มีสภาพการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ ดังนั้นแล้ว จึงเป็นข้อพิรุธว่า ผู้ป่วยมิได้ป่วยด้วยด้วยสภาพวิกฤตตั้งแต่ต้น และมิได้รับการรักษาแบบผู้ป่วยวิกฤตใน รพ.ตำรวจ มิได้มีการจำกัดการเคลื่อนที่และการเดินบนชั้น 14 และเป็นหลักฐานที่แสดงว่า คณะแพทย์ฯ ได้ทำหนังสือเอกสารลงบันทึกการตรวจรักษาในเวชระเบียน หรือออกใบรับรอง หรือสำแดงอาการป่วยนายทักษิณ ชินวัตร เป็นเท็จว่าผู้ป่วยป่วยแบบวิกฤต ขณะรักษาอยู่ ณ ชั้น 14

"หากนายทักษิณป่วยวิกฤตจริง แต่มีการทำกายภาพบำบัดเพื่อป้องกันสภาพมวลกล้ามเนื้อลีบ ย่อมจะต้องมีบันทึกของแพทย์ฟื้นฟู Rehabilitation Medicine, นักกายภาพบำบัด Physiotherapist และแพทย์สาขาผู้สูงอายุ Geratrician อีกทั้งยังต้องมีการตรวจรักษาภายหลังจากออกจากโรงพยาบาลไปแล้ว ดังนั้น จึงขอให้ท่านตรวจสอบหลักฐานดังกล่าว"

6.เนื่องด้วย รมว.สาธารณสุข นายสมศักดิ์ เทพสุทิน จากพรรคเพื่อไทย มีความสัมพันธ์กับนายทักษิณ และมี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวเป็นหัวหน้าพรรคและนายกรัฐมนตรี เป็นผู้บังคับบัญชา และเนื่องด้วย รมว.สาธารณสุข เป็นสภานายกพิเศษของแพทยสภาโดยตำแหน่ง อีกทั้งกรรมการแพทยสภาบางท่าน หรือผู้บริหารของแพทยสภาบางท่านมีผลประโยชน์อันเกี่ยวเนื่องกับพรรคเพื่อไทย ซึ่งทำให้การสอบสวนคดีจริยธรรมนี้ล่าช้า และอาจส่งผลการตัดสินไม่ชอบ ทั้งที่ปรากฏข้อสงสัยต่อมาตรฐานวิชาชีพเวชกรรมของแพทย์ผู้ถูกร้องจากประชาชนจำนวนมาก ซึ่งส่วนหนึ่งได้รวมตัวประท้วงรัฐบาลกรณีการรักษาการป่วยนายทักษิณโดยมิชอบ ปรากฏในสื่อมวลชนอย่างแพร่หลายเป็นเวลากว่าปีตั้งแต่ ส.ค.2566 แล้ว แต่แพทยสภามิได้หยิบยกกรณีขึ้นมาพิจารณาตามอำนาจที่กฎหมายบัญญัติให้ทำได้โดยไม่จำเป็นต้องมีผู้ร้อง และเพิ่งมีการแจ้งขอเอกสารจากผู้ถูกร้องในเดือน ธ.ค.2567

"สำเนาหนังสือร้องเรียนฉบับนี้ มีการแปลความให้ปุถุชนเข้าใจศัพท์วิชาทางการแพทย์ด้วย นอกจากได้ส่งถึงบรรดาเพื่อนแพทย์ทั้งหลายแล้ว ยังได้ส่งให้สื่อมวลชน และประชาชนจำนวนมาก เพื่อให้ช่วยกันเปิดเผยข้อสงสัยและหลักฐานความจริง เพื่อสนับสนุนท่านประธานและอนุกรรมการสอบสวนของแพทยสภา ให้ผดุงความยุติธรรรม คือ สอบสวนให้ได้ข้อเท็จจริงโดยละเอียดแน่แท้ ทุกประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อให้ปรากฏความโปร่งใสต่อสาธารณชน อันเป็นวิถีโดยชอบที่จะรักษาเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพเวชกรรมตามวัตถุประสงค์ของพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม จึงขอให้ท่านและแพทยสภาโปรดดำเนินการสอบสวนตามประเด็นที่ข้าพเจ้าและพวกร้องเรียนมานี้โดยด่วน" ท้ายหนังสือระบุ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ธปท.จับตาแจกเงินเฟส2-3

“คลัง” ฟุ้งเศรษฐกิจไทยเดือน พ.ย.โตต่อเนื่อง อานิสงส์ส่งออก-ท่องเที่ยวหนุนเต็มพิกัด