อิ๊งค์สนอง‘พ่อแม้ว’ ลุยปราบแก๊งโกงล้างบางมาเฟีย/โต้สนธิปั่นMOU44ลงถนน

"นายกฯ อิ๊งค์" โชว์ภาพแฟ้มกองโตเต็มโต๊ะส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ทำงงถามใครคุยเรื่องยุบสภา พร้อมเรียกถกด่วน "ตำรวจ-ดีเอสไอ" สางคดี "ดิไอคอน-หมอบุญ-คอลเซ็นเตอร์"   หลัง "ทักษิณ" ประกาศจะลุยปราบแก๊งหลอกคนไทย "ตร."ดี๊ด๊า" รับลูกทันที เชื่อหาก "แม้ว" ช่วยปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้แน่ "ผบ.ตร." ส่ง "บิ๊กจวบ" ปราบผู้มีอิทธิพล เน้นลุยพื้นที่ขัดแย้งไม่ดาวกระจาย "นพดล" เย้ย "ม็อบสนธิ" ลงถนนก็แค่ทำรถติด แจงยิบ MOU 44 ไม่ใช่ยอมรับเส้นไหล่ทวีปของกัมพูชา "วันนอร์" เดินหน้าถกแก้ รธน.  14-15 ม.ค. "ศาล รธน." ตีตกคำร้อง จำกัดสิทธิสมัคร สว.

ที่ทำเนียบรัฐบาล วันที่ 25 ธันวาคม 2567  เวลา 10.50 น. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ปฏิเสธที่จะตอบคำถามกรณีที่ฝ่ายค้านอยากให้นายกฯ ไปตอบกระทู้ที่สภาในวันที่ 26 ธ.ค. โดยหันมายิ้มและบอกเพียงว่า "เมอร์รี่คริสต์มาสนะคะ"

ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร  อดีตนายกรัฐมนตรี ประกาศในเวทีหาเสียงที่จังหวัดเชียงใหม่ว่าจะไม่ยุบสภา รัฐบาลมีแนวทางเป็นแบบนั้นหรือไม่ นายกฯ ตอบว่า ยังไม่เห็นมีใครคุยกันเรื่องยุบสภาเลย ก็เลยงงว่ามาได้อย่างไร

ทั้งนี้ น.ส.แพทองธารยังได้โพสต์ภาพนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน โดยมีแฟ้มงานจำนวนมากบนโต๊ะ พร้อมข้อผ่านอินสตาแกรม “แฟ้มส่งท้ายปี 2567 และเตรียมงานให้พร้อมสำหรับสวัสดีปีใหม่ 2568 ค่ะ

ต่อมาเวลา 13.00 น. น.ส.แพทองธารเรียกประชุมด่วนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติและกรมสอบสวนคดีพิเศษ โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รายงานความคืบหน้าการดำเนินคดีต่างๆ โดยเฉพาะคดีสำคัญที่อยู่ในความสนใจของสังคม เช่น คดีดิไอคอน และคดีหมอบุญ

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐให้สัมภาษณ์หลังเข้าหารือว่า  นายกฯ ให้ความสนใจคดีที่อยู่ในการดูแลของดีเอสไอ ทั้งเรื่องคดีดิไอคอนที่ดีเอสไอดำเนินการฟ้องไปแล้ว และคดี นพ.บุญ วนาสิน ผู้ต้องหาคดีร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการหลอกลวงประชาชน เพราะเป็นคดีที่พนักงานสอบสวนของ ตร. ส่งเรื่องให้ดีเอสไอและอธิบดีดีเอสไอได้อนุมัติให้เป็นคดีพิเศษเรียบร้อยแล้ว จากนี้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย และข้อบังคับว่าดีเอสไอจะให้ ตร.ช่วยในเรื่องใด

"นายกฯ ได้สอบถามถึงความคืบหน้าการติดตามตัวหมอบุญมาดำเนินคดี ซึ่งผมรายงานว่าขณะนี้อยู่ระหว่างการติดตามอย่างใกล้ชิด ซึ่งได้ประสานตำรวจสากล (อินเตอร์โพล) และออกหมายแดงเรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้งได้ประสานงานกับปลายทางอย่างต่อเนื่องและเข้มข้น รวมทั้งนายกฯ ยังสอบถามเกี่ยวกับคดีอาชญากรรมออนไลน์ จึงได้พา พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) มาให้ข้อมูลกับนายกฯ เพราะถือว่าเป็นนโยบายหลักของรัฐบาล" พล.ต.อ.กิตติ์รัฐกล่าว 

ถามว่า ปีหน้าจะมีข่าวดีหรือไม่ ผบ.ตร.กล่าวว่า มั่นใจว่าจะได้ตัว แต่หากบอกว่าปีนี้หรือปีหน้าจะเป็นการกำหนดเวลาเกินไป แต่มั่นใจว่าจะประสบความสำเร็จในการติดตามจับกุมตัว โดยประเทศปลายทางมีการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนตามสนธิสัญญา ตอนนี้เรื่องอยู่ที่ดีเอสไอแล้ว

ซักถึงการปราบปรามผู้มีอิทธิพลที่นายกฯ ระบุจะนั่งเป็นหัวหน้าทีม ผบ.ตร.กล่าวว่า จะมอบหมาย พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รอง ผบ.ตร. เป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการ และ พล.ต.ท.อัครเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นรองหัวหน้าชุดฯ ส่วนข้อมูลได้พูดคุยกับ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก.  เพราะมีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว โดยเราไม่ได้เปิดปฏิบัติการแบบดาวกระจายทั้งหมด แต่จังหวัดไหนที่ดูแล้วอาจมีแนวโน้มเรื่องความขัดแย้งขึ้น เราต้องปฏิบัติงานทันทีเพื่อไม่ให้เหตุการณ์บานปลาย

รับลูกแม้วปราบคอลเซ็นเตอร์

เมื่อถามถึงการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่นายทักษิณระบุประสานประเทศเพื่อนบ้านแล้ว หากยังไม่คืบหน้าจะส่งคนของเราเข้าไปทลาย ทางตำรวจสามารถทำได้หรือไม่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐกล่าวว่า ยังไม่ทราบที่พูด และจากที่เคยเป็น ผอ.ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เราได้พูดคุยกับทางกัมพูชา เมียนมา ลาว ถึงขบวนการที่อยู่ต่างประเทศ และตอนนี้ยังเดินหน้าเรื่องนี้ต่อ

"เรามีข้อมูลเรื่องหมายจับอยู่ในมือ และยังประสานต่อเนื่องว่าต้องตามตัวคนพวกนี้กลับมาดำเนินคดี ส่วนยุทธวิธีในการล้มเสาสัญญาณและกลับมาทางประเทศเรา ทาง กสทช.ช่วยได้เยอะ ขณะที่ความเคลื่อนไหวของข้อมูลบัญชี ธนาคาร สมาคมธนาคาร ธนาคารแห่งประเทศไทย สถาบันการเงินให้ความร่วมมืออย่างดี เวลานี้ขยับกันทุกหน่วย เชื่อว่าข้อมูลที่เราได้จากหน่วยงานต่างๆ เหล่านี้จะเป็นประโยชน์กับการสืบสวนเป็นอย่างมากในอนาคต" พล.ต.อ.กิตติ์รัฐกล่าว

ส่วน พล.ต.อ.ธัชชัย กล่าวถึงการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ว่า นายกฯ ได้กำชับเรื่องการแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เบื้องต้นได้เร่งรัดเรื่องการลงทะเบียนซิม ซึ่งเป็นประเด็นหลักที่กำลังดำเนินการแก้ไขให้ได้ และมอบหมายให้ ผบก.ปอท.ไปดำเนินการตรวจสอบเรื่องที่มีการยึดซิมบ็อกซ์ได้ และพบว่าสัญญาณมาจากสิงคโปร์ แต่เชื่อว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ไม่ได้ตั้งศูนย์ที่สิงคโปร์ น่าจะอยู่แถวประเทศเพื่อนบ้านเช่นเดิม

ถามถึงกรณีนายทักษิณประกาศจะมาช่วยปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พล.ต.อ.ธัชชัยกล่าวว่า ถือเป็นเรื่องดี เพราะปัญหาหลักของแก๊งคอลเซ็นเตอร์คือมาจากประเทศเพื่อนบ้าน ก็จะดำเนินการทุกมาตรการอย่างต่อเนื่อง ทั้งการปิดกั้นสัญญาณ ถ้าสามารถทำให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ไม่สามารถไปตั้งที่ประเทศเพื่อนบ้าน ก็จะแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว

ซักว่า จะต้องขอคำแนะนำจากนายทักษิณหรือไม่ เพราะมีความใกล้ชิดกับผู้นำประเทศเพื่อนบ้าน พล.ต.อ.ธัชชัยกล่าวว่า เราทำตามหน้าที่ แต่ยินดีรับฟังคำแนะนำและการช่วยเหลืออยู่แล้ว ส่วนตัวมั่นใจว่าจะสามารถปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้ เป็นการตรวจพิสูจน์หลักฐานดิจิทัลในกระบวนการยุติธรรม หรือดิจิทัลฟอเรสสิกส์ ซึ่งพยานหลักฐานต่างๆ หาได้ไม่ยาก แต่ต้องได้ข้อมูลอย่างรวดเร็วจากผู้ให้บริการสัญญาณโทรศัพท์ ซึ่งกำลังประสานกันอยู่ว่าจะทำอย่างไรให้ได้ข้อมูลอย่างรวดเร็ว เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหารวดเร็ว

"เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับประเทศไทยไม่ได้ อยู่ที่ประเทศเพื่อนบ้าน เพราะมองว่าทางธนาคารและผู้ให้บริการสัญญาณโทรศัพท์หากมีข้อมูลที่ชัดเจน เราจะมีนโยบาย ออกเป็นรายสัปดาห์และรายเดือนแจ้งไปยังธนาคารถึงสาขาธนาคารมีการเปิดบัญชีม้า หรือการลงทะเบียนออนไลน์ที่เป็นช่องว่าง ให้คนร้ายสามารถลงทะเบียนได้ง่าย จนถึงการใช้ IP ของประเทศเพื่อนบ้าน มาตรการเหล่านี้หากแลกเปลี่ยนข้อมูลให้กับธนาคาร เชื่อว่าจะสามารถแก้ไขได้" พล.ต.อ.ธัชชัยกล่าว

เมื่อถามว่า ขณะนี้ได้รับความร่วมมือกับธนาคารและผู้ให้บริการสัญญาณโทรศัพท์แบบ 100% หรือไม่ พล.ต.อ.ธัชชัยกล่าวว่า ที่ผ่านมาได้พูดคุยกันกับทั้ง 2 หน่วยงาน เพื่อช่วยหาวิธีการแก้ไขปัญหา แต่ยอมรับว่าสิ่งที่ต้องแก้ไขคือเรื่องการสื่อสารกับผู้บริหารระดับสูงที่ต้องทำให้เร็ว

"การหน่วงเงินจากบัญชีม้าในการยักย้ายเงินของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หากมีการหน่วงเอาไว้จะช่วยได้เยอะ เพราะวันนี้คนร้ายสามารถโอนเงินได้ภายใน 5 หรือ 10 นาที ถ้าสามารถหน่วงเงินได้ก็จะทำให้มีเวลาตรวจสอบ" ผอ.ศปอส.ตร.กล่าว

ด้าน พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า นายกฯ ให้ความสนใจและเป็นห่วงเรื่องคดีด้านเศรษฐกิจ ต้องการสร้างความเชื่อมั่นทั้งคดีดิไอคอน ที่เพิ่งส่งสำนวนไปเมื่อวันที่ 23 ธ.ค.ที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน มีการรายงานคดีหุ้นสตาร์ค คดี EA และคดี นพ.บุญ วนาสิน ผู้ต้องหาคดีร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ซึ่งได้ประสานกับ ตร.ว่าเข้าเงื่อนไขที่จะต้องเป็นคดีพิเศษ โดยอาจใช้อำนาจนายกฯ ในการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานของรัฐอื่นๆ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการสอบสวน ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายของดีเอสไอ

ถามว่า หลายคนกังวลคดีใหญ่ๆ ที่อยู่ในมือดีเอสไออาจจะเกิดความล่าช้า พ.ต.ต.ยุทธนายืนยันว่า จะทำงานอย่างเต็มที่ ไม่ปฏิเสธความรับผิดชอบได้ แต่ดีเอสไอมีกฎหมายกลางที่ให้เจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐอื่นร่วมเป็นพนักงานสอบสวนได้ หรือขอความร่วมมือไปยังหน่วยงานอื่น ช่วยรับคำร้องทุกข์หรือสอบสวนผู้เสียหาย

"นายกฯ ยังได้เร่งรัดในเรื่องการทำความผิด สินค้าพืชผลทางการเกษตรทั้งคดีหมูเถื่อนและยางพารา นอกจากนี้ยังสอบถามเกี่ยวกับคดีออนไลน์ของ ตร.ด้วย" อธิบดีดีเอสไอกล่าว

ซัดอย่าใช้ความเท็จปลุกม็อบ

ขณะที่ นายนพดล ปัทมะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) และอดีต รมว.การต่างประเทศ แถลงถึงกรณีนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ทวงคำตอบจากรัฐบาลในประเด็นที่ได้เรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน หรือเอ็มโอยู 44 ว่า  ในฐานะที่ตนเป็นอดีต รมว.การต่างประเทศ อยากให้ความชัดเจน ประเด็นแรก การเคลื่อนไหวของนายสนธิไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวล รัฐบาลและพรรค พท.ไม่ได้กังวล แต่เราขอให้ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ  อย่าใช้เฮตสปีชหรือวาทกรรมสร้างความเกลียดชัง  และที่สำคัญอย่าใช้ความเท็จสร้างกระแสปลุกความเกลียดชังในชาติ รัฐบาลไม่ได้กังวล ถ้าลงถนนก็อาจจะรถติดนิดหน่อย

ประเด็นที่สอง ข้อห่วงใยทั้ง 6 ข้อที่ได้ยื่นไปให้รัฐบาลนั้น รัฐบาลกำลังทำคำตอบอยู่และชี้แจงได้ทุกข้อ เบื้องต้นรัฐบาลดำเนินการเรื่องเจรจาอ้างสิทธิทับซ้อนบนไหล่ทวีปทับซ้อนกันต่อเนื่องจากรัฐบาลที่ผ่านๆ มา ยืนยันชัดเจนเอ็มโอยู 44 ไม่ได้มีปัญหาอะไร ไม่ได้ทำให้ไทยเสียดินแดนใดๆ ทั้งสิ้น  ประเด็นที่สาม ไคลแมกซ์ที่นายสนธิกับพรรคพวกบอกเอ็มโอยู 44 จะทำให้ประเทศไทยเสียดินแดน เพราะไปยอมรับเส้นไหล่ทวีปของกัมพูชา แต่ความจริงแล้วฝ่ายรัฐบาลและกรมสนธิสัญญาและกฎหมายยืนยันชัดเจนว่า เอ็มโอยู 44 ไม่ได้เป็นการยอมรับเส้นไหล่ทวีปของกัมพูชา

"ท่านจะเชื่อใครระหว่างกลุ่มพันธมิตรฯ และกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ผมขอเชื่อกรมสนธิสัญญาและกฎหมายและหน่วยงานของรัฐ" นายนพดลกล่าว

ส่วนประเด็นที่สี่ ฝ่ายที่คัดค้านเอ็มโอยู 44 ตอนนี้พยายามยกข้อกฎหมายให้ดูน่าเชื่อถือ เปิดประเด็นใหม่ไปเรื่อย ตั้งแต่เกาะกูดไม่เสียก็เปิดประเด็นใหม่อีก โดยอ้างว่าการเจรจาด้วยเอ็มโอยู 44 จะทำให้ไทยเสียเขตแดนเพราะเป็นการไปยอมรับเส้นของกัมพูชา แล้วกัมพูชาจะอ้างสิทธิทางประวัติศาสตร์ของกัมพูชาหรือมีสถานการณ์พิเศษอื่นๆ ตามข้อ 15 ของอนุสัญญากฎหมายทะเล 1982 ตนยืนยันชัดเจนว่า ได้สอบถามจากกรมสนธิสัญญาและกฎหมายในเวทีของคณะกรรมาธิการการต่างประเทศเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เอ็มโอยู 44 จะไม่ทำให้เกิดสิทธิของกัมพูชา ที่จะอ้างสิทธิทางประวัติศาสตร์ของกัมพูชาหรือมีสถานการณ์พิเศษอื่นๆ ใดๆ ทั้งสิ้น

"เชื่อมั่นว่าจะไม่ซ้ำรอยกรณีของปราสาทพระวิหารในอดีต เอ็มโอยู 44 ไม่ได้ทำให้กัมพูชามีสิทธิพิเศษเหนือไทย" นายนพดลกล่าว

อดีต รมว.การต่างประเทศกล่าวว่า ประเด็นที่ห้าที่ให้ยกเลิก JC 44 นั้น เป็นการแถลงร่วมระหว่างสมเด็จฮุน เซน กับนายทักษิณ ไม่มีซื้อหาใดๆ กระทบสิทธิทางด้านเขตแดนของไทย ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตใดๆ เป็นเพียงการตระหนักว่ามีการลงนามเอ็มโอยู 44 เท่านั้น เพราะฉะนั้นทั้ง JC 44 และเอ็มโอยู 44 ไม่มีพิษมีภัยกับประเทศไทยอย่างแน่นอน

ประเด็นที่หก เอ็มโอยู 44 ไม่ได้ทำให้ไทยเสียสิทธิในด้านเขตแดนใดๆ ทั้งสิ้น เป็นเพียงกรอบในการเจรจา ไม่ได้ยอมรับสิทธิเขตแดนใดๆ เลย เป็นเพียงแค่การตกลงมาคุยกัน ส่วนคุยกันรู้เรื่องหรือไม่รู้เรื่องนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งขีดเส้นใต้ 500 เส้น เราไม่ยอมรับเส้นไหล่ทวีปของกัมพูชา เพราะไม่ได้ลากตามกฎหมายระหว่างประเทศ

นายนพดลกล่าวว่า ประเด็นสุดท้าย หากถามว่าเรื่องนี้จะงุบงิบแอบทำได้หรือไม่ ยืนยันว่าทำไม่ได้ เอ็มโอยู 44 จะต้องเจรจาโดย JTC เท่านั้น ดังนั้นแอบทำไม่ได้เด็ดขาดล้านเปอร์เซ็นต์ จะลงนามได้นั้นต้องผ่านประตูถึง 5 บาน ผ่านคณะทำงาน ผ่านคณะอนุ JTC คณะกรรมการ JTC ผ่านคณะรัฐมนตรี และยังต้องมาผ่านสภาผู้แทนราษฎร และรัฐสภาเห็นชอบ โปร่งใส ตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน

'วันนอร์' ถกแก้ รธน.14-15 ม.ค.

ด้านนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน ให้สัมภาษณ์กรณีสื่อทำเนียบฯ ตั้งฉายาให้ "พีระพัง" ว่า ไม่ได้อ่าน แต่เห็นประชาชนส่วนใหญ่อ่าน และช่วยชี้แจงไปแล้ว  ถามว่าโกรธสื่อหรือไม่ที่ตั้งฉายาให้แบบนี้ นายพีระพันธุ์กล่าวว่า ไม่สนใจ เวลางานแทบจะไม่มีอยู่แล้ว  เมื่อถามว่าเป็นเพราะแก้ปัญหาพลังงานล่าช้าหรือไม่ นายพีระพันธุ์กล่าวว่า มีใครแก้เร็วกว่าตนหรือไม่ ในหนึ่งปีที่ผ่านมาตนมีผลงานตั้งกี่อย่าง ก่อนจะถามแบบนี้ต้องไปถามก่อนว่ามีใครทำได้เร็วกว่าตนหรือไม่

"ผมยืนยันประชาชนมั่นใจได้เลยราคาพลังงานจะต้องดีกว่าเดิม และหลังจากนี้จะมีเรื่องน้ำมันต่อไป มั่นใจได้ว่าภายใต้การดูแลของผมทุกอย่างจะถูกลง และประชาชนกับประเทศชาติจะได้ประโยชน์มากที่สุด" นายพีระพันธุ์กล่าว

ซักว่ากฎหมายที่จะช่วยลดภาระค่าไฟฟ้าให้กับประชาชนอาจออกมาล่าช้า นายพีระพันธุ์กล่าวว่า ถ้าทุกอย่างอยู่ในมือตนคนเดียวพรุ่งนี้ก็เสร็จไปแล้ว ในระบบเป็นแบบนี้ หากจะให้เร็วตามใจ ก็ต้องไปแก้ระบบ รวมถึงแก้รัฐธรรมนูญ ขั้นตอน คือต้องมีกฎหมายเข้าสภาให้ได้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุด พรรครวมไทยสร้างชาติก็ได้ร่างเสร็จแล้ว

"หลังจากนี้จะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับประธานสภาฯ จะบรรจุระเบียบวาระได้เมื่อไหร่ และมั่นใจว่าจะได้ความร่วมมือจากพรรคร่วมรัฐบาลรับเป็นกฎหมายที่ได้ประโยชน์กับประชาชน และเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งมีการพูดคุยกับนายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีมาโดยตลอด" นายพีระพันธุ์กล่าว

ที่รัฐสภา นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา กล่าวถึงการพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญว่า ได้คุยกับวิป 3 ฝ่ายไปแล้วว่าเรามีร่างรัฐธรรมนูญที่แก้รายมาตรา 17 ฉบับ และยังมีร่างที่แก้ทั้งฉบับของพรรคประชาชน (ปชน.) โดยนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ที่เสนอแก้ไขมาตรา 256 และหมวด 15/1 เพื่อมีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ซึ่งคณะกรรมการฝ่ายกฎหมายของประธานสภาฯ พิจารณาแล้ว และมีความเห็นให้ส่งมายังตนเพื่อบรรจุเข้าระเบียบวาระ  แต่ตนขอดูรายละเอียด โดยอาจจะมีร่างแก้ไขของพรรคการเมืองอื่นก็ได้ เราจะพิจารณาไปพร้อมกับร่างแก้ไขรายมาตราในวันที่ 14-15 ม.ค.68 ทั้งนี้ ในวันที่ 8 ม.ค. จะเชิญวิป 3 ฝ่าย รวมถึงผู้แทนจากรัฐบาล หารืออีกครั้งว่าจะหยิบยกฉบับใดขึ้นมาพิจารณาก่อน

 “ไม่ว่าจะทำประชามติกี่ครั้ง การจะผ่านร่างแก้ไขต้องเป็นมติที่ประชุมร่วมรัฐสภา และต้องได้รับเสียงเห็นชอบ 1 ใน 3 จากวุฒิสภา ตั้งแต่ด่านแรก เมื่อผ่านแล้วต้องนำไปทำประชามติ แล้วไปยกร่างรัฐธรรมนูญ และเมื่อทำเสร็จก็ต้องนำกลับไปทำประชามติถามประชาชนอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นจะทันสภาชุดนี้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับคณะทำงาน แต่ผมหวังว่าการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่เสร็จทันในการเลือกตั้งปี 70 แต่ต้องไม่ลืมว่า การได้บรรจุเข้าสู่การพิจารณาไม่ใช่หมายความว่าจะผ่านการพิจารณา แต่ต้องเป็นไปตามขั้นตอน ดังนั้นการบรรจุเข้าระเบียบวาระ อย่างน้อยก็จะทำให้สามารถพิจารณาได้ในวันที่ 14-15 ม.ค.นี้ ถือเป็นข่าวดีในช่วงปีใหม่สำหรับประชาชน" ประธานรัฐสภากล่าว

ตีตกร้องจำกัดสิทธิสมัคร สว.

วันเดียวกัน ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณากรณีศาลจังหวัดนครนายกส่งคำโต้แย้งของจำเลย รวม 2 คำร้อง เพื่อขอให้ศาล รธน.พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 212 ว่า พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2562 มาตรา 50 (10) ที่บัญญัติให้ผู้เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่า กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ เป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 และมาตรา 40 หรือไม่

ศาล รธน.มีมติเป็นเอกฉันท์วินิจฉัยว่า พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2562 มาตรา 50 (10) ที่บัญญัติให้ผู้เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ เป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 และมาตรา 40

นอกจากนี้ ศาล รธน.มีมติเป็นเอกฉันท์มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย กรณีที่นายเสฐียร ศรีเมือง (ผู้ร้อง) ขอให้ศาล รธน.พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 213 ดังนี้ 1.การกระทำของ กกต.​ (ผู้ถูกร้องที่ 1) เกี่ยวกับการจำกัดสิทธิของผู้ร้อง ในการสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม ทำให้การเลือกสมาชิกวุฒิสภาไม่สุจริตและเที่ยงธรรม ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 215 และมาตรา 224 วรรคหนึ่ง (1) (2) (3) (4) และ (6)

2.การพิจารณาพิพากษาคดีของศาลปกครองกลาง (ผู้ถูกร้องที่ 1) ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของผู้ร้องตามรัฐธรรมนูญคุ้มครองไว้ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 25 มาตรา 188 มาตรา 191 มาตรา 197 วรรคหนึ่งและวรรคสาม และมาตรา 215 และ 3.การปฏิบัติหน้าที่ของผู้ตรวจการแผ่นดิน (ผู้ถูกร้องที่ 3) ที่ยุติเรื่องร้องเรียนโดยไม่ดำเนินการแสวงหาข้อเท็จจริงเพื่อเสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ เป็นการละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของผู้ร้อง ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 215 มาตรา 221 มาตรา 230 วรรคหนึ่ง (1) และ (2) และมาตรา 231

ศาล รธน.พิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้อง ไม่ปรากฏว่าผู้ร้องยื่นคำร้องเกี่ยวกับการกระทำของผู้ถูกร้องที่ 1  ต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน กรณีไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 46 วรรคหนึ่ง ดังนั้น ผู้ร้องไม่อาจยื่นคำร้องดังกล่าวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213

สำหรับการพิจารณาพิพากษาคดีของผู้ถูกร้องที่ 2 เป็นการใช้อำนาจของผู้พิพากษาหรือตุลาการ

ที่มีอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 188 วรรคสอง ประกอบกับเป็นเรื่องที่ศาลอื่นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดแล้วตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 47 (4) ซึ่งมาตรา 46 วรรคสาม บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณา ดังนั้น ผู้ร้องไม่อาจยื่นคำร้องดังกล่าวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213

ส่วนการกระทำของผู้ถูกร้องที่ 3 เป็นการใช้อำนาจตามกฎหมาย หากผู้ร้องเห็นว่าเป็นการกระทำละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพ ผู้ร้องอาจใช้สิทธิทางศาลได้ศาลตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 25 วรรคสาม เป็นกรณีที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญได้กำหนดกระบวนการร้องหรือผู้มีสิทธิขอให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยไว้เป็นการเฉพาะแล้ว  ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 47 (2) ซึ่งมาตรา 46 วรรคสาม บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณา ดังนั้น ผู้ร้องไม่อาจยื่นคำร้องดังกล่าวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา  213.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

นายกฯ เร่งเคลียร์งานก่อนปีใหม่ โชว์แฟ้มเอกสารกองโต

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก พร้อมรูปภาพแฟ้มเอกสารตั้งบนโต๊ะ ก่อนระบุว่า แฟ้มส่งท้ายปี 2567 และเตรียมงานให้พร้อมสำหรับสวัสดีปีใหม่ 2568ค่ะ