อ้างสถาบันหาเสียง คปท.ชงกกต.เอาผิดทักษิณ แพทยสภารอผลสอบลับ

"คปท." นำเครือข่ายบุก กกต. ยื่นเอาผิด "ทักษิณ" ปราศรัยช่วยหาเสียง อบจ.อุบลฯ อ้างสถาบันฯ จูงใจให้คนเลือก ลั่นหากผิดโดนยุบพรรค  "พิชิต" จี้ รมว.ยธ.ไขก๊อกรับผิดชอบปมป่วยทิพย์ชั้น 14 "เลขาฯ แพทยสภา" รอผลสอบทางลับจริยธรรมแพทย์ รพ.ตำรวจ "หมออมร" แจงเดินหน้าสรุปผลเร็ว เหตุพบมีมูลไม่ใช่เรื่องโคมลอย "ทวี-ผบ.ตร."  ลั่นยังไม่ลงโทษลูกน้อง รอ "ป.ป.ช." ชี้มูลก่อน "ชูศักดิ์" ยันนายกฯ อิ๊งค์ไม่จำเป็นต้องไปแจง กกต.ปมทักษิณครอบงำ รับอาสาเคลียร์เอง แย้มหลังปีใหม่รูันักร้องคนไหนโดนเช็กบิลคืน

ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)  วันที่ 19 ธันวาคม 2567 เวลา 10.30 น. นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.), นายอานนท์ กลิ่นแก้ว  แกนนำศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.)  และกองทัพธรรม นำมวลชนเดินทางไปยื่นหนังสือต่อ กกต. ขอให้ตรวจสอบการปราศรัยช่วยหาเสียงนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.)  อุบลราชธานี ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 ธ.ค.2567 ว่าเข้าข่ายผิดระเบียบ กกต.ว่าด้วยการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งท้องถิ่น 2563 ข้อที่ 22  ที่กำหนดห้ามผู้สมัครดำเนินการหรือยินยอมให้พรรคการเมือง หรือผู้ใด ดำเนินการนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเกี่ยวข้องกับการหาเสียงเลือกตั้ง

นายพิชิตกล่าวว่า การปราศรัยดังกล่าว นายทักษิณมีการปราศรัยด้วยข้อความที่พาดพิงและกล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยนายทักษิณพูดในทำนองว่า "17 ปีที่หายไปจะกลับมาคืนความสุขให้กับคนไทย ถ้าคนไทยอยากได้ความสุขก็ให้เลือกนายก อบจ.ของพรรคเพื่อไทย หรือ สส.ของพรรคเพื่อไทยให้เพิ่มมากขึ้นกว่านี้" และพูดถึงว่า "การกลับมาครั้งนี้จะกลับมารับใช้เบื้องพระยุคลบาท เพื่อคืนความสุขให้กับคนไทย" ซึ่งก็จะไปสอดคล้องกับที่พูดก่อนหน้านี้ว่า ต้องเลือกพรรคเพื่อไทย จึงจะคืนความสุขให้ ดังนั้นจึงเข้าข่ายหมิ่นเหม่ แอบอ้างนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาหาเสียง ทำให้เข้าใจได้ว่าตัวเองทำงานรับใช้ใกล้ชิดพระมหากษัตริย์

นายพิชิตกล่าวว่า การอ้างแบบนี้เหมือนอ้างทั้งพรรค เพราะบอกว่าต้องเลือกพรรคเพื่อไทย ซึ่งคิดว่าระเบียบ กกต.ว่าด้วยการหาเสียงเลือกตั้งท้องถิ่น 2563 ข้อ 22 เขียนไว้ชัดเจนว่า ห้ามพาดพิงหรือกล่าวถึงสถาบันฯ ข้อความที่นายทักษิณพูดมาทำให้เกิดการตีความทางกฎหมายว่าตัวเองเหมือนเป็นผู้รับใช้เบื้องพระยุคลบาท ทำให้คนเข้าใจคลาดเคลื่อน และอาจกลายเป็นมูลเหตุจูงใจให้คนเลือก ซึ่งอยากให้เกิดความกระจ่าง จึงอยากยื่นเรื่องให้กับ กกต.ตรวจสอบ การลงเลือกตั้งนายก อบจ.ครั้งนี้ ลงในนามพรรคเพื่อไทย นายทักษิณไปเป็นผู้ช่วยหาเสียง ก็ในนามพรรคเพื่อไทย ถ้าหากการปราศรัยของนายทักษิณผิดตามมาตรา 22 ก็จะนำไปสู่การร้องยุบพรรคได้หรือไม่

ถามว่า มั่นใจหรือไม่เรื่องที่นำมายื่นในวันนี้จะนำไปสู่การยุบพรรคเพื่อไทย นายพิชิตกล่าวว่า เรายังจะต้องยื่นหลักฐานอื่นเพิ่มเติม ตนมองว่าสิ่งที่นายทักษิณได้ปราศรัยมีถ่ายทอดสดไปทั่วโลก และมีพฤติกรรมบ่งบอกด้วย ถ้า กกต.วินิจฉัยว่าการปราศรัยเป็นการพาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็จะนำไปสู่การร้องยุบพรรคเพื่อไทยต่อไป เพราะนายทักษิณไปเป็นผู้ช่วยหาเสียง อบจ.อุบลราชธานี ก็ไปในนามพรรคเพื่อไทย ดังนั้นก็เป็นการกระทำร่วมกันของพรรคการเมือง

ต่อมานายพิชิตยังได้โพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง "รมต.ยุติธรรมที่อยุติธรรม" ระบุว่า คุณทวี สอดส่อง รมต.ยุติธรรม ถึงแม้จะยังไม่มีรายชื่อถูกไต่สวนจาก ป.ป.ช. แต่ในฐานะ รมต.ที่กำกับดูแล จะหนีความรับผิดชอบไม่ได้ การทำลายกระบวนการยุติธรรมเกิดในยุคที่ ทวี สอดส่อง นั่งเก้าอี้ รมต.ยุติธรรม แต่ข้าราชการกรมราชทัณฑ์ถูกกล่าวโทษตั้งแต่อธิบดี มาจน ผบ.เรือนจำ

"รมต.ยุติธรรม ยิ่งอธิบายยิ่งพันตัวเอง ในทางคดีกับ ป.ป.ช.วันนี้ในห้องประชุม เราก็ชี้ให้ท่านเลขาฯ ป.ป.ช. ทราบข้อเท็จจริงทางการแพทย์ไปหลายประเด็น ซึ่งหนึ่งในประเด็นที่ชี้ มีประเด็นที่ท่านต้องรับผิดชอบโดยตรงในทางการเมือง ผมว่าท่าน รมต.ยุติธรรมลาออกเถอะครับ รับผิดชอบความเหลวแหลกที่เกิดขึ้น ในทางคดี ป.ป.ช.ก็จะชี้มูลท่านต่อไป" นายพิชิตระบุ

อนุฯ ชี้ป่วยทิพย์ไม่โคมลอย

ขณะที่ พล.อ.อ.นพ.อิทธพร คณะเจริญ เลขาธิการแพทยสภา กล่าวถึงกรณี ศ.เกียรติคุณ นพ.อมร ลีลารัศมี กรรมการแพทยสภา ในฐานะประธานอนุกรรมการสอบสวนชุดเฉพาะกิจ ที่ตั้งโดยมติที่ประชุมแพทยสภา ทำหนังสือถึงนายแพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ ให้ชี้แจงการรักษาพยาบาลนายทักษิณที่พักรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ ชั้น 14 เป็นเวลา 6 เดือนว่า ตามขั้นตอนปกติ กรณีมีผู้กล่าวโทษหรือยื่นคำร้องต่อแพทยสภา จะมีการดำเนินการหาข้อมูลและตั้งคณะอนุกรรมการจริยธรรมขึ้นมาเพื่อรวบรวมเอกสารหลักฐานว่ามีมูลหรือไม่ โดยมีกรอบระยะเวลาชัดเจน และนำผลเข้าสู่คณะกรรมการแพทยสภา เพื่อพิจารณาว่ามีมูลหรือไม่มีมูล หากไม่มีมูลก็ยกฟ้อง แต่หากมีมูลก็จะตั้งคณะอนุกรรมการชุดที่ 2 คือ คณะอนุกรรมการสอบสวนฯ ซึ่งก็คือชุดของ ศ.เกียรติคุณ นพ.อมร เป็นประธาน

"หลังจากนั้นก็จะดำเนินการเป็นการลับ เพราะต้องเร็ว ยุติธรรม และที่ต้องเป็นการลับ เพื่อให้ไม่มีผลต่อใครมากระทบกระเทือนเรื่องการสอบสวนพิจารณาได้ ซึ่งกรรมการแพทยสภาอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องก็จะไม่ทราบเช่นกัน โดยกระบวนการที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นกระบวนการตามข้อบังคับของแพทยสภา" พล.อ.อ.นพ.อิทธพรกล่าว

ถามว่า หลังจากคณะอนุกรรมการฯ ได้ข้อมูลจาก รพ.ตำรวจ จะดำเนินการอย่างไร เลขาธิการ แพทยสภากล่าวว่า ต้องทำตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด โดยเมื่อคำร้องมีมูล มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการสอบสวนฯ ตาม พ.ร.บ.วิชาชีพฯ พ.ศ. 2525 มาตรา 36-38 และข้อบังคับว่าด้วยวิธีพิจารณาฯ พ.ศ.2563 ข้อ 27-39 พิจารณาภายใน 180 วัน ขยายได้ 120 วัน และขยายได้อีกตามที่กรรมการเห็นสมควรพิจารณาว่า ผู้ถูกร้องประพฤติผิดจริยธรรมหรือไม่ อย่างไร จากนั้นเสนอคณะกรรมการแพทยสภาพิจารณาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานว่าเพียงพอหรือไม่ หากเพียงพอก็จะพิจารณาว่าประพฤติผิดหรือไม่ หากผิดต้องพิจารณาว่าผิดหมวดใด และพิจารณาโทษต่อไป

"ผลการสอบสวนต้องไปดูผลก่อนว่าเกี่ยวข้องกับแพทย์หรือไม่ คนไหนอย่างไร โทษก็จะขึ้นอยู่กับว่ามีความผิดจริงหรือไม่ ถ้าผิดจริงมากน้อยเพียงใด ตั้งใจ จงใจ เจตนาหรือไม่ ซึ่งยังบอกไม่ได้ จริงๆ แล้วเรื่องนี้ต้องไปดูว่าต้นเหตุมีแพทย์เกี่ยวข้องหรือไม่ หรือเกี่ยวข้องมากน้อยแค่ไหน หรือแพทย์ไม่เกี่ยวข้องเลย ตรงนี้มีรายละเอียดมาก ตอนนี้ยังไม่ได้สรุปว่าหมอผิด จนกว่าจะพิสูจน์พยานหลักฐานก่อน แต่หากผิดจริยธรรม ก็ต้องไปดูว่ามากน้อยแค่ไหน โทษก็จะเป็นไปตามความผิดที่เกิดขึ้น" เลขาฯ แพทยสภากล่าว

ซักว่ากรณีนี้แพทยสภารับเรื่องมาจากคำร้องของนายวัชระ เพชรทอง อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ใช่หรือไม่ พล.อ.อ.นพ.อิทธพรกล่าวว่า ไม่สามารถตอบเช่นนั้นได้ เพราะมาจากหลายทาง เป็นการรวมคดีจากผู้ร้องทั้งหมด

ส่วน ศ.เกียรติคุณ นพ.อมรกล่าวว่า การที่ อนุ กรรมการฯ ขอข้อมูลดังกล่าวมาจากคณะกรรมการชุดแรกเห็นว่าเรื่องมีมูล ทำให้มีการส่งเรื่องมาให้คณะอนุกรรมการสอบสวนชุดเฉพาะกิจดำเนินการพิจารณาฯ ก็เป็นตามกระบวนการของแพทยสภา  ทางอนุกรรมการฯ จึงทำหนังสือถึง รพ.ตำรวจ เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา     

 “ตอนนี้ก็ดำเนินการไปตามกระบวนการ อนุกรรมการฯ ยังไม่ได้รับเอกสารอะไร ต้องรอไปก่อน ฝ่ายกฎหมายของแพทยสภาก็จัดการไปตามที่ส่งในหนังสือ” ศ.เกียรติคุณ นพ.อมรกล่าว

ถามว่า คณะอนุกรรมการฯ มีอำนาจเรียกเรื่องต่างๆ มาสอบสวนได้ตามกฎหมายใช่หรือไม่ ศ.เกียรติคุณ นพ.อมรกล่าวว่า ใช่ เรื่องการสอบสวนต้องมีอำนาจอยู่แล้ว เพราะเรามีหน้าที่สอบสวนเรื่องจรรยาบรรณแพทย์ หนังสือที่ส่งไปก็ขอให้เขาส่งมาให้เราอย่างรวดเร็ว เพราะอนุกรรมการฯ ก็อยากทำให้มันจบเร็วเหมือนกัน แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะทำได้ขนาดไหน แต่ก็อยากให้เร็ว

"ตอนที่กรรมการสอบชุดแรกสรุปมา เขาก็สรุปว่าเรื่องมีมูล ไม่ใช่ข่าวโคมลอย ก็มีข้อมูล ทางนี้ก็เลยต้องขอข้อมูลมาดูให้มันชัดๆ ครบถ้วน เพราะตอนนี้ยังมีข้อมูลไม่ครบถ้วน” ประธานอนุกรรมการฯ ระบุ

อนึ่ง สำหรับ ศ.เกียรติคุณ นพ.อมร ถือเป็นแพทย์ผู้ใหญ่ที่ได้รับการยอมรับในวงการสาธารณสุขอย่างมาก โดยก่อนหน้านี้ได้รับรางวัลเกียรติยศที่สำคัญ

ทวี-ผบ.ตร.ลั่นลูกน้องยังไม่ผิด

นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานที่ปรึกษาพรรคไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊กให้กำลังใจแพทยสภา ตอนหนึ่งระบุว่า แพทยสภามีการขยับในการสอบจริยธรรมแพทย์ของแพทย์ที่ทำการรักษานายทักษิณ เนื่องจากแพทยสภามีความเป็นวิชาชีพสูงกว่า ป.ป.ช. การเรียกเอกสารต่างๆ ของแพทยสภาในวงการถือว่ารู้ทางมวยเป็นมืออาชีพในการเรียกเอกสาร โดยเฉพาะเวชระเบียน รายงานการผ่าตัด รายงานการดมยาสลบ แล็บต่างๆ รวมทั้งความเห็นแพทย์ในแต่ละช่วงเวลา รวมทั้งใบส่งตัวผู้ป่วย ไม่น่าจะมีปัญหาถ้าทุกอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งปัญหาคือเอกสารเหล่านี้จะมีจริงหรือไม่

"คณะกรรมการที่แพทยสภาตั้งขึ้น พวกท่านไม่เพียงแต่จะมีส่วนช่วยจรรโลงวิชาชีพฯ แพทย์ ให้มีเกียรติมีศักดิ์ศรี ผลการสอบของท่านยังมีส่วนช่วยรักษากระบวนการยุติธรรมของชาติด้วย ท้ายนี้ขอฝากไปยัง ป.ป.ช.ว่า การดูแลผู้ป่วยหนักสักราย ถ้าเขาไม่ส่งเวชระเบียนให้ (ท่านมีอำนาจอยู่แล้ว) ยังมีองค์ประกอบของพยาบาล ผู้ช่วย คนงานตึก ที่ต้องมาช่วยกันเช็ดเนื้อเช็ดตัว ทำความสะอาดเตียงและห้องทุกวัน ซึ่งท่านสามารถสอบถามได้ ทางที่ดีท่านน่าจะมีทีมแพทย์ที่ปรึกษาสักคณะ เพราะเรื่องแบบนี้ง่ายมาๆ สำหรับแพทย์ จะทำให้งานของท่าน เข้าประเด็นได้รวดเร็วและรู้จุดที่จะสอบในการพิสูจน์ว่าป่วยหนักจริงหรือไม่ ต้องอยู่โรงพยาบาล 180 วันตลอดหรือไม่" นพ.วรงค์ระบุ

ด้าน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงกรณี ป.ป.ช.มีมติให้ตั้งองค์คณะไต่สวนเจ้าหน้าที่รัฐสังกัดกรมราชทัณฑ์และโรงพยาบาลตำรวจรวม 12 ราย กรณีส่งตัวนายทักษิณไปรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ โดยไม่ต้องถูกคุมขังในเรือนจำว่า  ถือเป็นเรื่องปกติที่ทาง ป.ป.ช.มีข้อมูล ก็จะต้องรับไว้พิจารณาในเรื่องดังกล่าวเพื่อหาข้อเท็จจริงต่อไป  แต่ในส่วนของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ที่ถูกระบุว่าเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในส่วนของต้นสังกัด ขณะนี้ยังไม่มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง เพราะตามขั้นตอนแล้วหาก ป.ป.ช.ยังไม่ชี้มูล ถือว่ายังเป็นเพียงผู้ถูกกล่าวหา เพราะที่ผ่านมาก็มีหลายหน่วยงานที่มีการตรวจสอบ เช่น สตง.หรือองค์กรอิสระ ที่มีการตรวจสอบและไม่พบว่าไม่มีความผิด  แต่หากคณะกรรมการชุดใหญ่ของ ป.ป.ช.ชี้มูล ก็จะเข้าเกณฑ์ตามระเบียบที่จะต้องตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ

 “จากการสอบถาม อธิบดีกรมราชทัณฑ์และเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ทุกคนที่เกี่ยวข้องยืนยันว่าไม่หวั่นไหวหรือกังวลกับการที่ ป.ป.ช.รับไว้พิจารณา  เพราะเจ้าหน้าที่ก็ทำตามข้อกฎหมายมาตรฐานวิชาชีพกับผู้ต้องขังทุกรายตามระเบียบทั้งหมด ไม่ได้ดุลยพินิจเกินกว่าเหตุแต่อย่างใด” รมว.ยุติธรรมกล่าว 

เช่นเดียวกับ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. กล่าวว่า เคยให้สัมภาษณ์ไปแล้วว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องของ รพ.ตำรวจ ในการที่จะพิจารณาตามอำนาจหน้าที่แต่ละส่วนราชการหน่วยงาน โดยตนเองจะไม่เข้าไปก้าวก่าย และไม่ขอแสดงความคิดเห็นใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะมีหน่วยงาน องค์กร ทำหน้าที่ตรวจสอบอยู่แล้ว

"ไม่ปฏิเสธความรับผิดชอบหรือลอยตัวในการแก้ปัญหาในฐานะผู้นำหน่วย แต่ขอให้รอผลการตรวจสอบขององค์กรหรือหน่วยงานที่ทำหน้าที่รับผิดชอบออกมาก่อน ซึ่งผลออกมาอย่างไรก็มีระเบียบขั้นตอนของกฎหมายดำเนินการอยู่แล้ว ซึ่งการที่ ป.ป.ช.มีมติตั้งองค์คณะไต่สวนข้าราชการตำรวจที่ถูกกกล่าวหา ก็ยังไม่เข้าข่ายกระทำผิดหรือต้องสั่งลงโทษ เพราะยังเป็นการไต่สวน แต่หาก ป.ป.ช.มีการชี้มูลความผิด สำนักงานตำรวจแห่งชาติก็มีระเบียบขั้นตอนดำเนินการกับข้าราชการตำรวจทุกนายอยู่แล้ว" ผบ.ตร.ระบุ

อิ๊งค์โยนชูศักดิ์แจง 'กกต.' แทน

ด้านนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีตโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวกรณีนายแก้วสรร อติโพธิ, นายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตแกนนำ นปช. พร้อมเครือข่าย   เดินทางไป ป.ป.ช. ยื่นหนังสือให้เร่งรัดพิจารณาข้อกล่าวหาเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์และ รพ.ตำรวจช่วยนายทักษิณโดยมิชอบว่า ตนมองกลุ่มคนเหล่านี้กดดันกระบวนการยุติธรรมทางอาญา และน่าจะมีประโยชน์ซ่อนเร้นหวังผลทางการเมือง โดยไม่เกิดประโยชน์กับประเทศชาติและประชาชนเลย

 “ผมเห็นแล้วสมเพช เหมือนฝนตกขี้หมูไหล คนอะไรมารวมกัน ไร้สาระสิ้นดี คนพวกนี้น่าจะเป็นพวกหาประโยชน์จากความขัดแย้ง ถ้าไม่มีความขัดแย้ง คงตกงาน ขาดความสำคัญ ขาดตำแหน่งหน้าที่ เพราะบางคนอาชีพก็ไม่มี แต่กลับมีฐานะร่ำรวย ซึ่งสวนทางกัน การเคลื่อนไหวทางการเมือง แล้วอ้างประชาชน อ้างประโยชน์สาธารณะ แต่พวกที่อ้างกลับมีฐานะดี ผมอยากให้ประชาชนตาสว่าง อย่าไปหลงเชื่อ เลิกได้เลิกเถอะมุกเดิมๆ  มันเก่า ชาวบ้านเขาตาสว่างแล้ว” นายพร้อมพงศ์กล่าว

วันเดียวกัน นายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี กกต.ส่งหนังสือเชิญนายกรัฐมนตรีให้ไปชี้แจงกรณีนายทักษิณครอบงำพรรคว่า เรื่องนี้นายกฯ ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปชี้แจงด้วยตนเอง ซึ่งที่ผ่านมาก็ทำเช่นนี้มาตลอด โดยนายกฯ ได้มอบหมายตนเองไปชี้แจง และตนก็ต้องไปยกร่างคำชี้แจงแค่นั้น

ถามว่า ครั้งนี้ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการแทนหรือไม่ นายชูศักดิ์กล่าวว่า แน่นอน ก็ต้องมอบหมาย และท้ายที่สุดตนคงไม่ต้องไป เพราะทำหนังสือชี้แจงไปก็ได้ ซึ่งทำแบบนี้มาตลอด

ซักว่าหากนายกฯ เดินทางไปด้วยตนเองจะดีกว่าหรือไม่ นายชูศักดิ์กล่าวว่า ไม่ใช่ดีกว่าหรือไม่ดีกว่าอะไร ซึ่งประเด็นอยู่ที่ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร และข้อกฎหมายเป็นอย่างไร ส่วนใหญ่กรณีเช่นนี้จะมอบหมายตนเอง และทำคำชี้แจงไปว่าความจริงเป็นนี้ที่ไม่ใช่การครอบงำ พร้อมกับนำพยานหลักฐานแนบไปด้วย

 เมื่อถามว่า เห็นหนังสือจาก กกต.แล้วหรือไม่ นายชูศักดิ์กล่าวว่า เห็นแล้วเมื่อวันที่ 18 ธ.ค. ซึ่งเป็นเรื่องเก่าๆ ทั้งนั้น และท้ายที่สุด กกต.ก็ใช้วิธีรวบรวมมา ซึ่งมี 4-5 เรื่อง เพื่อที่จะได้ตอบชี้แจงไปทีเดียว

ถามว่า คำร้องต่างๆ ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญตีตกไปก่อนหน้านี้ ระบุจะมีการฟ้องร้องกลับเหล่าบรรดานักร้อง ขณะนี้ดำเนินการคืบหน่าอย่างไรแล้ว นายชูศักดิ์กล่าวว่า ฝ่ายกฎหมายกำลังดำเนินการอยู่ เดี๋ยวคงได้ยินข่าว เมื่อถามว่าหลังปีใหม่จะเริ่มเช็กบิลเลยหรือไม่ นายชูศักดิ์กล่าวว่า เดี๋ยวคงได้ได้ยินข่าว ส่วนจะกี่คนยังตอบไม่ได้ เดี๋ยวเวลานั้นก็รู้เอง

นายเชาว์ มีขวด ทนายความและอดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงกรณีนายชัยชนะ เดชเดโช สส.นครศรีธรรมราช พรรค ปชป. ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการตำรวจ  สภาฯ ระบุทักษิณไม่ผิดปมชั้น 14 คุกทิพย์พร้อมโยนความผิดทั้งหมดไปที่ข้าราชการที่เกี่ยวข้องว่า  คำสัมภาษณ์ของนายชัยชนะเป็นตรรกะวิบัติอย่างยิ่ง เพราะเมื่อคนที่เขาช่วยเหลือผิด แล้วตัวการที่ได้รับผลประโยชน์จากการเข้าด้วยช่วยเหลือนั้นจะเป็นผู้บริสุทธิ์ได้อย่างไร ในทางกฎหมายการก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิด ไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้างวาน หรือยุยงส่งเสริมหรือด้วยวิธีอื่นใด ถือเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิด ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง