คลังฟื้นEasy E-receipt ดันเงินเฟ้อ2%ผลดีต่อศก.

ข่าวดี! “คลัง” จ่อชง ครม.ปลุกผี Easy E-receipt หวังกระตุ้นใช้จ่าย เปิดช่องช็อปเต็มสูบ 50,000 บาท พร้อมเข็นพิจารณากรอบเงินเฟ้อปี 68 เคาะ 1-3% ยื่นคำขาดค่ากลาง 2% ชี้เป็นผลดีกับเศรษฐกิจ รัฐบาลเห็นชอบ 2,366 ล้าน ปล่อยสินเชื่อ-จัดงานขายสินค้า อุ้มเอสเอ็มอี

เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2567 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลังเตรียมเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในสัปดาห์หน้า (24 ธ.ค.) พิจารณามาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย Easy E-receipt ในการซื้อสินค้าและบริการเพื่อใช้ลดหย่อนภาษี โดยเบื้องต้นคาดว่าเงื่อนไขจะเหมือนที่ผ่านมา โดยจะให้สามารถหักลดหย่อนภาษีได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 50,000 บาท แบ่งเป็น รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ 30,000 บาท และรูปแบบกระดาษอีก 20,000 บาท  ซึ่งคาดว่าน่าจะเริ่มใช้ได้ภายในเดือน ม.ค.2568

นอกจากนี้ จะเสนอที่ประชุม ครม.พิจารณากรอบเป้าหมายเงินเฟ้อปี 2568 ที่ 1-3% โดยภายหลังจากที่ได้หารือร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แล้ว จะมีการกำหนดตัวเลขการดำเนินงานกึ่งกลางไว้ที่ระดับ 2% ซึ่งจะต้องเป็นระดับที่ต่อเนื่อง รวมถึงได้มีการกำหนดว่าจะต้องมีการดูแลเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนให้อยู่ในระดับที่มีเสถียรภาพ  ให้ประเทศสามารถแข่งขันได้เข้าไปในกรอบเงินเฟ้อเป้าหมายด้วย

 “วันนี้ได้ตกลงข้อความดังกล่าวกับ ธปท.แล้ว  โดยสิ่งที่รัฐบาลอยากเห็นไม่ว่าจะมาตรการใดก็ตาม จะเป็นเรื่องดอกเบี้ย หรืออื่นๆ ก็อยากเห็นว่าจะสามารถทำให้อัตราเงินเฟ้อขยับตัวขึ้นได้บ้าง ซึ่งจริงๆ แล้วอยากเห็นอยู่ในค่ากึ่งกลางแถวๆ 2%  เป็นอย่างน้อย เพราะตามธรรมชาติหากอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่เหมาะสม มันจะส่งผลดีกับเศรษฐกิจมากกว่า" นายพิชัยกล่าว

นายพิชัยกล่าวอีกว่า ในส่วนเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเรื่องค่าเงินนั้น อยากให้มีการพิจารณากันยาวๆ มากกว่า ไม่ใช่ดูแค่ระยะ 3 เดือน โดยต้องมาดูวิวัฒนาการ ดูว่าจะใช้มาตรการอะไร ซึ่งตามข้อเท็จจริงแล้วรัฐบาลก็อยากเห็นค่าเงินอ่อนได้มากกว่านี้ เพื่อให้สามารถแข่งขันได้” นายพิชัยกล่าว

ส่วนเรื่องอัตราดอกเบี้ยนั้น นายพิชัยระบุว่า ยังยืนยันคำเดิมว่า เรื่องนี้ให้เป็นไปตามการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งส่วนตัวมองว่าหากเศรษฐกิจดี อัตราดอกเบี้ยจะต้องเป็นอัตราที่ไม่ผูกกับนโยบายมากเกินไป และต้องพิจารณาเรื่องการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบเพื่อไปกระตุ้นไปที่รายย่อยมากกว่ารายใหญ่

ทั้งนี้ ในส่วนของการดำเนินนโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศนั้น ต้องยอมรับว่าเรามาถึงจุดที่ช่องว่างของมาตรการด้านการคลังแคบลง เม็ดเงินที่ใช้ก็แคบลง ดังนั้นนโยบายการด้านเงินอาจจะต้องเข้ามาพิจารณามากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจขยายตัว เพราะนั่นแปลว่าคนพร้อมจะลงทุนมากขึ้น ดังนั้น ธปท.ก็อาจจะต้องมาพิจารณาเรื่องนี้ให้มากขึ้นด้วย

 “ตามธรรมชาติเราสามารถทำให้พื้นที่ด้านการคลังกว้างขึ้นได้ ด้วยการลดการใช้งบประมาณ โดยเฉพาะงบประมาณรายจ่ายประจำ และอีกวิธีคือเมื่อเศรษฐกิจขยายตัวดีขึ้น เติบโตได้ใกล้เคียง 3.5% และเงินเฟ้อที่ระดับ 2% ก็จะทำให้ Nominal GDP อยู่ในระดับที่ใช้ได้ และจะส่งผลให้พื้นที่ทางการคลังใหญ่ขึ้นตามขนาดของเศรษฐกิจ” นายพิชัยกล่าว

สำหรับข้อเสนอของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เสนอให้มีการศึกษาการใช้บิตคอยน์ภายใต้โครงการแซนด์บ็อกซ์ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต เพื่อให้คนถือสินทรัพย์ดิจิทัลใช้จ่ายภายในพื้นที่ที่จำกัดนั้น นายพิชัยกล่าวว่า ถือเป็นการเพิ่มช่องทางในการใช้จ่ายเงินในอีกรูปแบบหนึ่ง และจะเป็นกลไกที่ช่วยทำให้คนที่ถือสินทรัพย์ดิจิทัลตัดสินใจใช้จ่ายได้ง่ายขึ้นกว่าการใช้เงินสด ในพื้นที่ที่จำกัดไว้ ส่วนจะนำบิตคอยน์มาเพิ่มในทุนสำรองระหว่างประเทศหรือไม่นั้น มองว่าเป็นเรื่องที่ ธปท.จะต้องพิจารณา หากเห็นว่าจำเป็นก็อาจจะต้องเสนอไปตามกฎระเบียบ เช่นเดียวกับครั้งหนึ่งที่เคยพิจารณาจะเพิ่มเงินหยวนเข้าไปในทุนสำรองระหว่างประเทศ

นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงสถานการณ์ค่าเงินบาทว่า ค่าเงินบาทมีการเคลื่อนไหวผันผวน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ขณะที่ทิศทางในปี 2568 ตลาดคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 2 ครั้ง จากคาดการณ์เดิม 4 ครั้ง ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เงินบาทอ่อนค่าลง

ทั้งนี้ ธปท.จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และจะดูแลตามหลักการเดิม โดยจะดูให้สอดคล้องกับพื้นฐานเศรษฐกิจ และไม่ให้กระทบกับภาคธุรกิจ

 “เงินบาทขณะนี้มีความผันผวน หลักๆ มาจากปัจจัยภายนอก ซึ่งเป็นความผันผวนที่มีเหตุผลสามารถอธิบายได้ ซึ่ง ธปท.พร้อมติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ขิด” นายสักกะภพกล่าว

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะประธานคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (บอร์ดส่งเสริมฯ สสว.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบโครงการสำคัญเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี รวม 4 โครงการ โดยใช้เงินงบประมาณ และเงินของกองทุนส่งเสริมเอสเอ็มอี วงเงินรวมกว่า 2,366 ล้านบาท

สำหรับโครงการสำคัญที่ผ่านการเห็นชอบจากที่ประชุมครั้งนี้ ส่วนแรกเป็นการสนับสนุนเงินกู้ให้แก่ผู้ประกอบการ วงเงินงบประมาณ 2,000 ล้านบาท สำหรับดำเนินการก่อตั้ง ปรับปรุง และพัฒนากิจการของเอสเอ็มอี ผ่านสถาบันการเงินของรัฐ ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ผ่าน 2 โครงการ คือ 1.การจัดวงเงินสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ Transformation Fund เพื่อสนับสนุนวงเงินให้เอสเอ็มอีใช้ในการเปลี่ยนผ่านธุรกิจ วงเงิน 1,000 ล้านบาท โดยปล่อยสินเชื่อให้เอสเอ็มอีวงเงินไม่เกินรายละ 10 ล้านบาท คิดดอกเบี้ย 1% ระยะเวลาให้กู้ 5 ปี 2.การจัดวงเงินสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอีที่มีศักยภาพให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ วงเงิน 1,000 ล้านบาท โดยจะปล่อยสินเชื่อให้เอสเอ็มอีวงเงินไม่เกินรายละ 5 ล้านบาท คิดดอกเบี้ย 1% ระยะเวลาให้กู้ 5-7 ปี

ที่ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์สาขาอาหาร และปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “Soft Power Food” กับการพัฒนาประเทศไทย โดยระบุว่า อยากให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางและเป็นครัวของโลก ดิฉันไปที่ประเทศไหนก็พูดเรื่องนี้อย่างเต็มปากว่าประเทศไทยเองพร้อมที่จะเป็นความมั่นคงทางอาหารให้ทั่วโลก ซึ่งบางประเทศมีความไม่สงบหรือการเกษตรไม่เพียงพอ เราเองสามารถเป็นผู้เก็บอาหารหรือความมั่นคงทางอาหารให้ได้ และถ้านวัตกรรมของเราไปถึง เราสามารถถนอมอาหารได้นานขึ้น จะช่วยให้เกษตรกรและคนไทย ที่สำคัญเราเอง พร้อมส่งออกทุกๆ วันทั้งปี อันนี้คือข้อที่ประเทศเราได้เปรียบ

"ฉะนั้นการทำทุกอย่างเหล่านี้เป็นการส่งเสริมรูปแบบอย่างต่อเนื่องทั้งระบบ นี่คือยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลมองเห็นว่าเราจะผลักดันเรื่องแบบนี้ต่อได้อย่างไร ซอฟต์พาวเวอร์เรื่องอาหารเป็นสิ่งที่พูดแล้วทุกคนรู้จักได้ง่าย อุตสาหกรรมอาหารสามารถเติบโตได้อย่างเต็มรูปแบบได้อีกมาก รัฐบาลสนับสนุนเต็มที่แน่นอน" นายกฯ กล่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง