สั่งส่งหลักฐานชั้น14 แพทยสภาขีดเส้น‘รพ.ตร.’15ม.ค.68/เรียกอิ๊งค์-แม้วแจงกกต.

"ศาล รธน." ตีตกคำร้อง "รมว.ยุติธรรม-ราชทัณฑ์" เอื้อประโยชน์ "ทักษิณ"  รักษาตัวชั้น 14 เหตุไม่มีหลักฐานชัด พร้อมมีมติไม่รับคำร้อง "สนธิญา" กล่าวหานายกฯ เปลี่ยนแนวทางแจกเงินดิจิทัลฯ "กกต." ระบุส่งหนังสือเชิญ 4 พรรคถูกร้องยุบพรรคให้ถ้อยคำ แนะ "ทักษิณ" ควรมาชี้แจงเอง "นายกฯ อิ๊งค์" ยิ้มไม่ตอบ 2 ปมร้อนโดนเรียกแจงทักษิณครอบงำ-ยกคำร้องดิจิทัลฯ "ม็อบ" บุก ป.ป.ช.ยื่น 4 ข้อตรวจสอบป่วยทิพย์ "แก้วสรร" ชี้หากพบการช่วยเหลือ​ ศาลฎีกาสั่งจับ​ "แม้ว" กลับเข้าคุกได้​ "จตุพร" รับยังไม่ไว้ใจการทำหน้าที่ แนะใช้​ ม.157 เรียกดูเวชระเบียนได้​ "แพทยสภา" ส่งหนังสือถึง รพ.ตำรวจ ขอเอกสาร-เวชระเบียนรักษาชั้น 14 ตรวจสอบ  "ธรรมนัส" นำ 20 สส.เปิดตัวพรรคกล้าธรรม 19  ธ.ค.นี้

เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2567 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาคำร้องของนายคงเดชา ชัยรัตน์ ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ผู้ถูกร้องที่ 1 มีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลกรมราชทัณฑ์และรับทราบการบังคับใช้กฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำ พ.ศ.2563 อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ผู้ถูกร้องที่ 2 และผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ผู้ถูกร้องที่ 3 มีอำนาจให้ความเห็นชอบและอนุญาตบังคับใช้กฎกระทรวงดังกล่าวส่งตัวนายทักษิณ ชินวัตร ไปรักษาตัวที่ห้องพิเศษ ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ทั้งที่ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่ามีอาการป่วยรุนแรง อีกทั้งไม่ได้ดูแลให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด กระทำการเอื้อประโยชน์ให้แก่นายทักษิณ ให้ได้รับสิทธิรักษาพยาบาลดีกว่าผู้ต้องขังรายอื่น ทำให้บุคคลไม่เสมอกันในกฎหมาย ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 27 เป็นการกระทำที่เป็นการล้มล้างอำนาจอธิปไตยฝ่ายตุลาการ เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามมาตรา 49 วรรค 1

ซึ่งผู้ร้องได้ยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุดเมื่อวันที่ 11 พ.ย.2567 โดยขอให้อัยการสูงสุดร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้นายทักษิณ ชินวัตร  เลิกการกระทำที่เป็นการครอบงำหรือจูงใจ ให้ผู้ถูกร้องทั้ง 3 ใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่อัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่รับดำเนินการตามที่ร้องขอ จึงยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อขอให้วินิจฉัยสั่งการให้ผู้ถูกร้องทั้ง 3 เลิกการกระทำดังกล่าว 

ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องเป็นเพียงการกล่าวอ้างว่า ผู้ถูกร้องทั้ง 3 ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานอื่นที่ชัดเจนเพียงพอ และยังห่างไกลเกินกว่าเหตุที่แสดงให้เห็นได้ว่าผู้ถูกร้องทั้ง 3  กระทำการอันเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพผู้พิการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กรณีจึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการตามรัฐธรรมนูญ จึงมีมติเป็นเอกฉันท์มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณา

นอกจากนี้ ศาลรัฐธรรมนูญเผยแพร่เอกสาร มีมติเป็นเอกฉันท์ไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย  กรณีนายสนธิญา สวัสดี นักเคลื่อนไหวทางการเมือง เป็นผู้ร้อง ขอให้ศาล รธน.พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ว่า การที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และนายกรัฐมนตรี (ผู้ถูกร้อง) ใช้นโยบายดิจิทัลวอลเล็ตในการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป พ.ศ.2566 ซึ่งต่อมาเมื่อพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลได้เปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์และกลุ่มเป้าหมายของนโยบายที่ใช้ในการหาเสียงเดิม เป็นการกระทำที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 257 (1) และมาตรา 258 ก. ด้านการเมือง (2) และ (3) และไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 มาตรา 73 วรรคหนึ่ง (1) และ (5)

ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้อง คำร้องเพิ่มเติม และเอกสารประกอบคำร้อง เป็นกรณีที่ผู้ร้องโต้แย้งนโยบายพรรคของผู้ถูกร้อง และไม่ปรากฏว่าผู้ร้องถูกละเมิดสิทธิและเสรีภาพ และได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายจากการถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพโดยตรง กรณีไม่เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 46 วรรคหนึ่งและวรรคสอง ซึ่งมาตรา 46 วรรคสาม  บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณา ดังนั้น ผู้ร้องไม่อาจยื่นคำร้องดังกล่าวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 233 ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีมติเป็นเอกฉันท์มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย

'อิ๊งค์' ยิ้มไม่ตอบ 2 ปมร้อน

ขณะที่ นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกรรมการ​การเลือกตั้ง (กกต.)​ กล่าวถึงกรณี กกต.มีหนังสือถึง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และหัวหน้าพรรคการเมืองอื่นที่ถูกกล่าวหาว่ายอมให้นายทักษิณครอบงำมาให้ถ้อยคำกรณีถูกร้องยุบพรรคว่า เมื่อมีผู้มายื่นคำร้องว่าอาจมีการกระทำที่มีการฝ่าฝืนกฎหมายพรรคการเมือง กกต.จะพิจารณาก่อนว่าคำร้องนั้นสมควรที่จะรับไว้พิจารณาหรือไม่ หากเห็นว่าเป็นคำร้องที่เลื่อนลอย ทางคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในฐานะนายทะเบียนเห็นว่าเรื่องนี้ไม่มีมูล ไม่ควรรับดำเนินการ แต่หากเห็นข้อเท็จจริงมีมูล สมควรรับไว้พิจารณา นายทะเบียนพรรคการเมืองก็จะสั่งให้คณะกรรมการรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานรับไปดำเนินการ

"เรื่องการส่งหนังสือเท่าที่ผมทราบ ลักษณะการทำงานของเรา เมื่อเรื่องอยู่ในกรอบความรับผิดชอบของใคร เรามักจะไม่ไปแทรกแซง แต่กรณีเรื่องยุบพรรคนี้มี 4 คำร้อง ซึ่งได้มีการเชิญผู้ร้อง 4 ท่านมาให้ข้อมูลแล้ว และมีหนังสือเชิญผู้ถูกร้องมาให้ถ้อยคำด้วย ซึ่งไม่ทราบว่ามาให้ถ้อยคำแล้วหรือยัง" นายอิทธิพรกล่าว

ถามว่า รวมถึงมีหนังสือให้นายทักษิณมาชี้แจงด้วยใช่หรือไม่ นายอิทธิพรกล่าวว่า ไม่แน่ใจ แต่ว่าเขาร้องใคร สิ่งแรกที่ กกต.ต้องทำคือให้โอกาสได้มีโอกาสชี้แจง รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคำนี้แปลความได้กว้างว่ารวมถึงบุคคลต่างๆ ก็ได้ด้วย

ซักว่าหากนายทักษิณไม่สะดวกจะให้ข้อมูล  ทางคณะกรรมการฯ มีอำนาจที่จะเรียกนายทักษิณมาให้ข้อมูลได้หรือไม่ ประธาน กกต.กล่าวว่า การให้ความร่วมมือ ถ้ามองให้ดีแล้วจะเป็นประโยชน์ เพราะจะเป็นโอกาสให้ผู้ที่เกี่ยวข้องหรือผู้ถูกร้องสามารถให้ความเห็นชี้แจง โต้ตอบข้อกล่าวหาที่มีต่อตนได้ จึงมีประโยชน์ต่อตนและรูปคดี

เมื่อถามกรณีพรรค พท.จัดสัมมนา และมีการเชิญนายทักษิณมาเป็นวิทยากร มีการใช้งบประมาณจากกองทุนเพื่อพัฒนาพรรคการเมืองในทางที่ถูกต้องหรือไม่ ประธาน กกต.กล่าวว่า    กกต.มีกระบวนการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินอุดหนุนกองทุนพัฒนาพรรคการเมืองอยู่แล้ว และเมื่อจัดงานสัมมนา กกต.ก็จะส่งเจ้าหน้าที่ไปร่วมตรวจติดตามการดำเนินการของพรรคการเมืองด้วย โดยหลังจัดกิจกรรมแล้วก็จะต้องรายงานให้กับคณะกรรมการกองทุนฯ ทราบตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด

ด้าน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี  ในฐานะหัวหน้าพรรค พท. กล่าวถึงกรณี กกต.มีหนังสือถึงหัวหน้าพรรค พท. ให้ชี้แจงกรณีคำร้องนายทักษิณครอบงำพรรค พท.ว่า ยังไม่ได้รับหนังสือเลย ได้ยินเหมือนกัน แต่ยังไม่ได้รับ

เมื่อถามว่า ถ้าได้รับหนังสือแล้วจะไปชี้แจงด้วยตัวเองหรือไม่ นายกฯ กล่าวย้อนถามว่า  หนังสือว่าอย่างไรนะ ผู้สื่อข่าวตอบว่าเชิญหัวหน้าพรรค นายกฯ จึงกล่าวว่า “อ๋อ” 

พอถามเรื่อง ศาล รธน.ไม่รับคำร้องการใช้นโยบายดิจิทัลวอลเล็ตในการหาเสียง แต่เมื่อได้เป็นรัฐบาลได้เปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์และกลุ่มเป้าหมาย เป็นการกระทำที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญจะทำให้การเดินหน้าโครงการราบรื่นขึ้นหรือไม่ โดยนายกฯ ไม่ตอบคำถามดังกล่าวเพียงแต่ยิ้ม

เมื่อผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า จะยิ้มอย่างเดียวเลยหรือ นายกฯ กล่าวสวนกลับว่า “ต้องหน้าบึ้งเหรอ” จากนั้นผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามกรณีมีการเผยแพร่ภาพในโซเชียลมีเดียเป็นคนรวมกลุ่มนั่งเล่นการพนัน ซึ่งมีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็น สก.กทม. โดยนายกฯ ไม่ตอบคำถามดังกล่าวและเดินขึ้นรถออกไปทันที

ม็อบยื่น ปปช. 4 ข้อสอบชั้น 14

ที่สำนักงานคณะกรรมการ​ป้องกัน​และ​ปราบปราม​การ​ทุจริต​แห่งชาติ​ (ป.ป.ช.​) เวลา 11.00 น. เครือข่ายอดีตกลุ่มพันธมิตรฯ และ กปปส.​ รวมถึงนายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน นำมวลชนมาที่ ป.ป.ช. เพื่อยื่นหนังสือกรณีที่ ป.ป.ช.​รับพิจารณาข้อกล่าวหานายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์,  พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง กรณีส่งตัวผู้ต้องขังรายนายทักษิณจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจโดยมิชอบ​ เพื่อให้เร่งรัดพิจารณาเรื่องนี้และดำเนินคดีขึ้นสู่ศาลโดยเร็ว​

นายพิชิต​ ไชยมงคล​ แกนนำ คปท.​ แถลงข้อเสนอเพื่อประกอบการพิจารณาว่า​ ข้อ​ 1 คดีส่งตัวไปรักษานอกเรือนจำ พบว่ามีพยานเป็นบุคคลชัดเจน ได้เข้าไปเยี่ยมและพบว่าไม่มีอาการเจ็บป่วย อีกทั้งยังไม่มีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ควบคุม หรือประจำอยู่ห้องพิเศษดังกล่าว และยังไม่ปรากฏหลักฐานการตรวจ หรือหลักฐานความเห็นของแพทย์ที่อนุญาตให้ไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งพิธีการทั้งหมดขัดต่อขั้นตอนกฎกระทรวงทั้งสิ้น, ข้อ​ 2 คดีให้อยู่บ้านพักโทษ โดยมติการให้พักโทษ โดยอ้างว่านักโทษมีสภาพร่างกายที่ไม่อาจช่วยเหลือตัวเองได้ แต่ปรากฏว่าหลังการพักโทษ นักโทษกลับแข็งแรงขึ้นมาโดยพลัน เดินทางไปทั่วประเทศ จึงไม่อาจเชื่อได้ว่าการพักโทษมาจากการประเมินสภาพร่างกายโดยสุจริตและถูกต้อง​

ข้อ 3 เรื่องของการบังคับใช้กฎหมาย โดยกฎหมายไทยพยายามปราบปรามคดีทุจริตคอร์รัปชันเป็นพิเศษ แต่ปรากฏว่า หลังดำเนินคดีไปแล้วไม่มีกรอบเกณฑ์​การตรวจสอบที่เคร่งครัด  ปล่อยให้กระบวนการทุจริตตัดทอน โทษทัณฑ์ตามคำพิพากษา กำเริบเสิบสาน เป็นผลให้ความยุติธรรมเสื่อมสลาย จนประชาชนสิ้นศรัทธา, ข้อ 4 เข้าข่ายเป็นกระบวนการทุจริตระดับชาติ ใช้เงินสร้างอำนาจ แล้วใช้อำนาจมา​สร้างเงิน​ สร้างพวก​ สร้างสื่อ สร้างผลงานทุจริตไว้ 2 ทศวรรษ​ แต่แทนที่จะยอมรับโทษกลับหลีกเลี่ยง แสดงตน เข้าครอบงำพรรค​ ผลักดันนโยบายทุจริต สร้างประชานิยมไม่หยุดยั้ง

"นี่คือหายนะที่เห็นได้อย่างชัดเจน และอนาคตที่มืดมิดเช่นนี้ จึงฝาก ป.ป.ช.ตระหนักและทุ่มเท รับผิดชอบ กู้อนาคตบ้านเมืองอย่างเต็มสติกำลัง ขณะเดียวกัน​ ยังจะมีการยื่นให้สอบบุคคลเพิ่มเติม​ ทั้ง​ พ.ต.อ.ทวี​ สอดส่อง​ รมว.ยุติธรรม และ​นางพงษ์สวาท นีละโยธิน ปลัดกระทรวงยุติธรรม​ เพราะมองว่าอยู่ในกระบวนการที่ช่วยนายทักษิณ​" แกนนำ คปท.กล่าว

ส่วนนายแก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการอิสระ​ กล่าวว่า​ จากที่เคยเป็นนักวิชาการด้านกฎหมายและตรวจยึดทรัพย์นายทักษิณมาแล้ว​ มองได้ว่า​งานนี้หลักฐานและข้อกฎหมายชัดเจนว่ามีมูลความผิด และตนมั่นใจในการทำงานของ ป.ป.ช. และขอให้แพทย์ที่รักษานายทักษิณออกมาพูด โดยขอให้เอาตัวการจริงๆ มาลงโทษ​

"ถ้าหมายศาลให้ขัง และหากไม่มีการขังตามหมาย ต้องออกหมายใหม่กลับไปเข้าคุก เป็นอำนาจศาลฎีกาแผนกคดีอาญาทางการเมือง ที่นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ กำลังจะไปร้อง ซึ่งศาลสามารถเรียกสำนวนจาก ป.ป.ช.ไปดูและวินิจฉัยได้ จุดสำคัญ ศาลสั่งกลับเข้าคุกได้ถ้าหลักฐานชัดเจน โดยไม่ต้องรอคำวินิจฉัยของ ป.ป.ช. เพราะคดีนี้เป็นคดีเจ้าหน้าที่ ดังนั้นนายทักษิณเตรียมตัวได้​” นายแก้วสรรกล่าว

ด้านนายจตุพรกล่าวว่า มาให้กำลังใจ ป.ป.ช. เพราะมีความไม่สบายใจในอนาคต เพราะคดีของนายทักษิณ ป.ป.ช.เป็นผู้ชี้มูลเอง วันนี้เรามาด้วยความหวังในการทำหน้าที่ของ ป.ป.ช.อย่างตรงไปตรงมา ในจำนวนผู้ที่ถูกตั้งองค์คณะไต่สวน 12 คนนี้ ใครไม่ผิดคือไม่ผิด ไม่ได้ต้องการมาทำให้ดำเป็นขาว ขาวเป็นดำ แต่ต้องการมาให้ถูกเป็นถูก ผิดเป็นผิด ดีเป็นดี ชั่วเป็นชั่ว ยอมรับว่าเรื่องการไต่สวนวันนี้ยังไม่ไว้ใจ จนกว่าท่านจะได้พิสูจน์จนสิ้นข้อสงสัยแล้ว และได้ทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ถึงวันนั้นตนและคณะจะมาขอบคุณอีกครั้ง

"เราต้องการเห็นน้ำยาของ ป.ป.ช. ไม่ต้องการเห็นขนมจีน เวชระเบียน ป.ป.ช.ไม่มีปัญหาเรียกมาใช่หรือไม่ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ มีการขอไปยังกรมราชทัณฑ์และ รพ.ตำรวจ ไม่ได้ล้วงความลับผู้ป่วย ซึ่งการจะอ้างเป็นความลับ ป.ป.ช.สามารถขอเรื่องการทำหน้าที่ว่าได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายอาญา ม.157 หรือไม่ หากโรงพยาบาลตำรวจไม่ให้เวชระเบียน ป.ป.ช.ต้องดำเนินคดีตั้งแต่ ผบ.ตร.รพ.ตำรวจ แม้กระทั่งผู้บังคับบัญชาของ ผบ.ตร. คือนายกรัฐมนตรี" นายจตุพรกล่าว

ขณะที่ นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวว่า​ คณะกรรมการ  ป.ป.ช.ได้ตั้งองค์คณะไต่สวนบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้แล้ว และมีมติชัดเจนว่าหากพบบุคคลอื่นที่มีส่วนร่วมกระทำความผิดก็ให้ดำเนินการไต่สวนต่อไปด้วย ดังนั้นไม่ต้องกังวล เราจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด

"ขอยืนยัน ป.ป.ช.ทำงานตามพยานหลักฐานเป็นหลัก ทำให้บางเรื่องอาจไม่ตรงตามใจของประชาชน แต่การพิจารณาของเราต้องดูพยานหลักฐาน ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ไต่สวน จะรวบรวมมาพิจารณา เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และพร้อมเป็นเสาหลักในกระบวนการยุติธรรมของบ้านเมืองต่อไป" เลขาธิการ ป.ป.ช.กล่าว

แพทยสภาจี้ รพ.ตร.ชี้แจง

อย่างไรก็ตาม พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ยืนยันอีกครั้งเรื่องชั้น 14 ว่า ในส่วนของข้าราชการ แพทย์ ได้ทำตามกฎหมาย ระเบียบ โดยไม่มีส่วนไหนที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบ ซึ่งข้าราชการทุกคนที่เข้ามาทำงาน เป็นที่ยอมรับเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตอยู่แล้ว จึงมีความมั่นใจในส่วนนี้

"ยังนึกไม่ออกว่าจะแจ้งข้อหาเรื่องอะไร เพราะทำตามขั้นตอน โดยเฉพาะผู้รับตัว จัดส่ง ที่มีใบแพทย์จากต่างประเทศมาด้วย และมีหลักฐานหลายอย่าง อีกทั้งเป็นการดำเนินการที่สูงกว่ามาตรฐานวิชาชีพทั่วไปด้วยซ้ำ ซึ่งในส่วนของเจ้าหน้าที่ เราก็ให้ความเคารพทุกฝ่าย เมื่อเรื่องอยู่ที่ชั้น ป.ป.ช. หากใครมีข้อมูลสงสัยก็ควรส่งให้ ป.ป.ช." พ.ต.อ.ทวีกล่าว

ถามถึงการรับฟังความเห็นระเบียบว่าด้วยการคุมขังนอกเรือนจำที่แล้วเสร็จไปเมื่อวันที่ 17 ธ.ค.ที่ผ่านมา ขั้นตอนต่อไปเป็นอย่างไร รมว.ยุติธรรมกล่าวว่า ต้องดูว่าหลังจากนี้มีคนเห็นด้วยหรือเห็นแย้งอย่างไร เพราะระเบียบได้ออกไปแล้ว แต่ขั้นตอนนี้คือเรื่องของระเบียบ หลักเกณฑ์ ซึ่งเป็นอำนาจของกรมราชทัณฑ์ ซึ่งระเบียบเดิมหากจะออกไปข้างนอกได้ จะต้องมีหลายบอร์ด หลายคณะทำงาน ก็อยากจะเร่งให้เสร็จ แต่ทั้งนี้ก็ต้องรอบคอบ โดยเป็นการรับฟังความเห็นจากทุกฝ่าย

ถามว่า จะสามารถใช้ได้ในช่วงไตรมาสแรกของปี 68 หรือไม่ พ.ต.อ.ทวีกล่าวว่า ก็เป็นระเบียบออกมาแล้ว ถือว่าเป็นกฎเกณฑ์ที่จะใช้ในการปฏิบัติ และถ้าเสร็จก็จะประกาศใช้ เมื่อถามว่าล็อตแรกจะเป็นผู้ต้องขังประเภทไหนบ้าง  พ.ต.อ.ทวี​กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการฯ แต่ตนคิดว่าต้องไม่หลบหนี ต้องไม่ได้อภิสิทธิ์อย่างอื่น และต้องอยู่ที่คุมขัง เหมือนที่อยู่โรงพยาบาล ก็ถือเป็นที่คุมขัง

มีรายงานแพทยสภาระบุว่า เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.ที่ผ่านมา นพ.อมร ลีลารัศมี ในฐานะประธานอนุกรรมการสอบสวนชุดเฉพาะกิจแพทยสภา ที่ตั้งโดยมติที่ประชุมแพทยสภาฯ ได้ทำหนังสือของแพทยสภาถึงแพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ กว่า 3 หน้า

เนื้อหาโดยสรุประบุว่า คณะอนุฯ ขอให้แพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ ชี้แจงข้อเท็จจริงและส่งพยานหลักฐานหรือวัตถุพยานเพื่อประโยชน์การแก่การพิจารณาจริยธรรม 1.คำชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับการเข้ารับการรักษาพยาบาลของผู้ป่วยชาย นายทักษิณ ชินวัตร ทั้งหมดโดยละเอียด 2.ขอทราบชื่อ สกุลแพทย์ทั้งหมด ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลรักษาผู้ป่วย นายทักษิณ ชินวัตร รวมถึงเลขใบประกอบวิชาชีพ รวมถึงคำชี้แจงของบุคคลในข้อ 2 เกี่ยวกับกระบวนการตรวจ การวินิจฉัย การดูแลรักษาในรายผู้ป่วย นายทักษิณ ชินวัตร โดยละเอียด

นอกจากนี้ อนุฯ ของแพทยสภายังขอให้ส่งสำเนาใบส่งตัวเพื่อเข้ารับการรักษาต่อ สำเนาเวชระเบียน สำเนาบันทึกการผ่าตัด สำเนาบันทึกการให้ยาระงับความรู้สึก สำเนาบันทึกการพยาบาล สำเนารายงานทางการแพทย์ และเอกสารหรือเอกสารอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับการรักษาพยาบาล เช่น ภาพถ่ายทางรังสีวินิจฉัย ผลการตรวจทางรังสี ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ หรือเอกสารใดที่เกี่ยวข้องกับการรักษานายทักษิณ ชินวัตร โดยให้ระบุหมายเลขหน้าเอกสาร และให้เจ้าหน้าที่ลงนามรับรองเอกสารทุกหน้าด้วย

 “ขอตั้งแต่วันที่ 23 ส.ค.2566 ที่ผู้ป่วยถูกส่งต่อการรักษาไปที่ รพ.ตำรวจ จนกระทั่งผู้ป่วยถูกจำหน่ายออกจาก รพ.ตำรวจ ซึ่งถือว่าเกี่ยวข้องกับการพิจารณาจริยธรรมในครั้งนี้ โดยขอให้ท่านทำคำชี้แจงพร้อมพยานหลักฐานที่สนับสนุนคำชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรตามประเด็นข้างต้น โดยให้ส่งมาให้คณะอนุกรรมการสอบสวนชุดเฉพาะกิจ ภายในวันที่ 15 ม.ค.2568" ท้ายเอกสารระบุ

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม ในฐานะเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงกระแสข่าวที่ 25 สส.พรรค รทสช.เตรียมย้ายไปอยู่พรรคโอกาสใหม่  ว่าเป็นข่าวลือ และไม่เป็นความจริง นายจิรวุฒิ สิงห์โตทอง สส.ชลบุรี และ สส.ทุกคน ยืนยันยังอยู่กับพรรค รทสช.ไม่ไปไหน

ถามว่า การเลือกตั้งครั้งหน้ายังมีชื่อพรรค รทสช.อยู่หรือไม่ นายเอกนัฏยืนยันว่า แน่นอน มีแล้ว มีอยู่ มีต่อ ไม่ไปไหน และตนก็ยังอยู่กับพรรคแน่นอนไปจนถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า โดยเอาตำแหน่งเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติเป็นประกัน และมั่นใจการเลือกตั้งครั้งต่อไปจะได้ สส.มากกว่าเดิม และหวังว่าจะได้มากกว่า 36 ที่นั่ง

มีรายงานว่า ในวันที่ 19 ธ.ค. เวลา 11.00 น. กลุ่ม 20 สส. นำโดย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สส.พะเยา จะมีการแถลงข่าวเปิดตัวเข้าร่วมพรรคกล้าธรรม ที่อาคารรัฐสภา หลังจากทั้งหมดถูกขับพ้นพรรคพลังประชารัฐเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยทั้งหมดได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคกล้าธรรม ที่มีนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.เกษตรและสหกรณ์ เป็นหัวหน้าพรรคเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นายภาคภูมิ บูลย์ประมุข สส.ตาก ก็ได้อภิปรายหารือในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรในสังกัดพรรคกล้าธรรมด้วย

ทั้งนี้ เมื่อ สส.กลุ่ม ร.อ.ธรรมนัสย้ายเข้าร่วมกับพรรคกล้าธรรม ทำให้ขณะนี้มีจำนวน สส.ทั้งหมด 24 คน

ที่รัฐสภา นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคประชาชน (ปชน.) กล่าวถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 ได้มีการประเมินเสียงของ สส.ของฝ่ายค้านแล้วหรือไม่ว่า พรรคประชาชนมี สส. 140 คน ตนคิดว่าแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ในการเปิดอภิปรายทั่วไป และใช้กลไกต่างๆ ของสภาเพื่อตรวจสอบรัฐบาลได้ และคิดว่าเรื่องของจำนวนไม่เป็นปัญหา ในฐานะที่เป็นพรรคการเมืองที่ใหญ่ที่สุดในสภาผู้แทนราษฎร มี สส.เกิน 140 คน ย้ำว่าเพียงพอแน่นอน

ที่ศาลจังหวัดขอนแก่น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  ศาล จ.ขอนแก่น ได้มีการนัดอ่านคำพิพากษา ในคดีที่ อ258/2564 ระหว่างพนักงานอัยการ จ.ขอนแก่น ในฐานะฝ่ายโจทก์ กับนายเอกราช ช่างเหลา สส.ขอนแก่น เขต 4 พรรคภูมิใจไทย ในฐานะจำเลย ในคดีร่วมกันยักยอกทรัพย์ และร่วมกันปลอมแปลงเอกสารสิทธิและร่วมกันใช้เอกสารสิทธิปลอม ในคดีทุจริตสหกรณ์ออมทรัพย์ครูขอนแก่น

โดยทันทีที่ถึงเวลานัดหมาย ได้มีทนายความชุดใหม่ของนายเอกราชนำเอกสารการติดสมัยประชุมสภาฯ มาแสดงต่อศาล เพื่อเลื่อนขอการนัดฟังคำพิพากษา โดยศาลได้พิจารณาตามเอกสารหลักฐานดังกล่าว และมีคำสั่งให้เลื่อนการฟังคำพิพากษาในคดีดังกล่าวไปเป็นวันที่ 11 ก.พ.2568 ในเวลา 09.00 น.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ทวียก 'ทักษิณ' นั่งที่ปรึกษาอันวาร์ ผลดีงานแนวชายแดนใต้

ทวียกทักษิณ นั่งที่ปรึกษาอันวาร์ ส่งผลดีความร่วมมือแนวชายแดนใต้ “ทวี”เชื่อ การที่ นายกฯอันวาร์ อิบราฮิม แต่งตั้ง อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย จะส่งดีต่อการเจรจาเพื่อยกระดับความร่วมมือตามแนวชายแดน ไทย-มาเลเซีย โดยเฉพาะการเพิ่มการค้าการลงทุนและการแก้ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ