นายกฯ อิ๊งค์พร้อมนั่งหัวโต๊ะทีมเฉพาะกิจปราบมาเฟียตามบัญชาพ่อ บอกให้ประชาชนดูต่อไปเรื่องจะลดน้อยลง “กองปราบฯ” ระดมกำลังค้น 5 จุดภายใต้ยุทธการล้างบางมาเฟีย ปราจีนบุรี เตรียมลุยต่ออีก 5 แห่งจันทร์นี้ แต่ไม่พบคนสนิทโกทรแม้แต่ที่เดียว
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม 2567 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ระบุว่า น.ส.แพทองธารจะเป็นหัวหน้าทีมเฉพาะกิจปราบผู้มีอิทธิพลทั่วประเทศ หลังจากเหตุความรุนแรงที่จังหวัดปราจีนบุรี ว่าเราต้องดูเรื่องนี้ให้หนักแน่นขึ้น และตำรวจดูเรื่องนี้อย่างเต็มที่ เพราะไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำขึ้นอีก รัฐบาลนี้และสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ คอร์รัปชัน ผู้มีอิทธิพลใดๆ เราให้ความสำคัญทั้งหมด ทุกทีมทำงานร่วมกัน และคนไทยต้องสังเกตให้ชัดว่าอีกหน่อยเรื่องพวกนี้จะน้อยลง
ถามต่อว่า จะกำชับอย่างไร เนื่องจากจะมีการเลือกตั้งท้องถิ่นอีกจำนวนมากในเร็วๆ นี้ น.ส.แพทองธารกล่าวว่า เราส่งกำลังดูแลประชาชนแน่นอน โดยตำรวจพูดเองว่าต้องดูแลอย่างใกล้ชิด และไม่ได้นิ่งนอนใจ และได้คุยเรียบร้อยแล้ว เพราะเรื่องนี้ประชาชนที่อยู่ตรงนั้นก็เห็นว่าเป็นเหตุการณ์ที่ค่อนข้างน่ากลัว
เมื่อถามว่า นายทักษิณระบุว่าการปราบผู้มีอิทธิพลพื้นที่ต่างๆ ในครั้งนี้จะเกลี้ยงแน่นอน น.ส.แพทองธารพยักหน้าพร้อมตอบว่า ค่ะ และจะนั่งหัวโต๊ะแน่นอน แต่ทุกฝ่ายทุกคนจะต้องช่วยกัน ร่วมมือกัน ถ้า ครม.และสำนักงานตำรวจแห่งชาติเอาจริงก็ต้องสำเร็จ
ด้านความคืบหน้าในกรณีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้รับตัวนายสุนทร วิลาวัลย์ หรือ โกทร อายุ 85 ปี กับพวกรวม 7 ราย เข้าคุมขังระหว่างพิจารณาคดี จากเหตุการณ์การเสียชีวิตด้วยอาวุธปืนของนายชัยเมศร์ สิทธิสนิทพงศ์ หรือ สจ.โต้ง เมื่อคืนวันที่ 11 ธ.ค.2567 นางกนกวรรณ จิ๋วเชื้อพันธุ์ ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดนนทบุรี และในฐานะรองโฆษกกรมราชทัณฑ์ กล่าวถึงการนอนเรือนจำคืนที่ 2 ของผู้ต้องหาทั้ง 7 ราย ว่านายสุนทรและพวกยังคงอยู่ในห้องกักโรคโควิด-19 ตามมาตรการของเรือนจำ ซึ่งในคืนที่ 2 ทั้งหมดยังคงหลับได้เป็นปกติ และไม่มีรายใดมีอาการเจ็บป่วยจนต้องพบแพทย์ หรือขอยารักษาแต่อย่างใด
“จากการสังเกตและสอบถามนายสุนทร เจ้าตัวปรับตัวได้ แต่หากพ้นจากการกักโรค 5 วัน จะพิจารณาอีกครั้งว่าจะนำตัวมาอยู่ที่สถานพยาบาลเรือนจำเพื่อสะดวกต่อการดูแล เนื่องจากเป็นผู้ต้องขังสูงอายุ ลุกเดินลำบาก และมีโรคประจำตัวที่ต้องดูแล แต่ขณะนี้ยังไม่มีอาการบ่งชี้ว่าจะต้องนำไปรักษาตัวภายนอกแต่อย่างใด”
ขณะเดียวกัน ในเวลา 06.00 น. ตำรวจกองปราบปรามได้ผนึกกำลังร่วมกับตำรวจสืบสวนภูธรภาค 2 และภูธรจังหวัดปราจีนบุรี นำกำลังกว่า 100 นาย บุกเข้าตรวจค้นแหล่งเป้าหมายเครือข่ายคนสนิทนายสุนทร ภายใต้ยุทธการล้างบางมาเฟียปราจีนบุรี โดยตำรวจได้นำหมายค้นของศาลจังหวัดปราจีนบุรี เข้าตรวจค้นพื้นที่แหล่งเป้าหมายรวม 5 จุด ประกอบด้วย พื้นที่ อ.ศรีมหาโพธิ 3 จุด, อ.บ้านสร้าง 1 จุด และ อ.ประจันตคาม 1 จุด
โดยจุดใหญ่อยู่ที่ที่ทำการผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 3 ต.กรอกสมบูรณ์ อ.ศรีมหาโพธิ ซึ่งภายในมีลักษณะเป็นบ้านสวน มีบ้านพักคนงาน มีแคมป์คนงานรับซื้อของเก่า เป็นแหล่งคัดแยกชิ้นส่วนของเก่า เนื้อที่ประมาณ 3 ไร่เศษ จากการตรวจค้นบ้านพัก 2 หลัง หลังแรกเป็นบ้านพักของผู้ใหญ่แอ๊ด พบอาวุธปืน 2 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุน ซึ่งจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบเป็นปืนถูกต้องตามกฎหมาย มีทะเบียนถือครอง ซึ่งการตรวจค้นไม่พบตัวผู้ใหญ่แอ๊ดแต่อย่างใด โดยสอบถามคนงานรวมถึงพ่อบ้านพบว่าผู้ใหญ่แอ๊ดไปธุระที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่ 3 วันที่ผ่านมา
นอกจากนี้ การตรวจค้นในจุดที่ 4 ที่ อ.บ้านสร้าง เจ้าหน้าที่ยังพบอาวุธปืนสั้นอีก 1 กระบอก เจ้าหน้าที่จึงทำการตรวจยึดไว้ตรวจสอบ ในขณะที่การตรวจค้นทั้ง 5 จุด ไม่พบตัวบุคคลผู้ต้องสงสัยคนสนิทของโกทรแม้แต่คนเดียว ซึ่งทั้งหมดได้หายตัวไปหลังจาก สจ.โต้งเสียชีวิตประมาณ 3 วัน
สำหรับการปราบมาเฟียปราจีนบุรี จะดำเนินการต่อไปในวันที่ 16 ธ.ค.อีก 1 วัน โดยมีแหล่งเป้าหมาย 5 จุด แต่จะเป็นพื้นที่ใดบ้างยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูล และในเวลา 16.00 น. จะมีการสรุปข้อมูลการตรวจค้นทั้งหมด และแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนอีกครั้ง
นายพงศกร เลขาฯ ส่วนตัวของนายสุนทร กล่าวในระหว่างเข้ารับทราบข้อกล่าวหาตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน และให้ปากคำที่กองบังคับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดปราจีนบุรี หลังจากตกเป็น 1 ใน 5 เป้าหมายที่ตำรวจระดมกำลังเข้าตรวจค้นที่บ้านเมื่อช่วงเช้า โดยระบุว่า ปืนกระบอกดังกล่าวเป็นของพ่อ ส่วนเครื่องกระสุนนั้นมีมานานกว่า 10 ปีแล้ว จำไม่ได้ว่ามีที่มาอย่างไร ซึ่งเครื่องกระสุนดังกล่าวนั้นพบเจอในตู้เซฟ และไม่เคยนำมาใช้งานแต่อย่างใด ไม่กังวลในเรื่องนี้
ผู้สื่อข่าวได้สอบถามถึงกรณีที่ตำรวจเดินหน้าปราบปรามผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ และเจ้าตัวยังตกเป็นหนึ่งในกลุ่มเป้าหมายว่ารู้สึกอย่างไร นายพงศกรระบุว่า ไม่กังวล และไม่เคยมีอิทธิพลใดๆ เพราะไม่เคยทำผิดกฎหมาย ส่วนผู้ใหญ่แอ๊ดนั้น ก็รู้จักเป็นปกติ เพราะเป็นนักการเมืองท้องถิ่น เช่นเดียวนายโจ้ รู้จักในฐานะเพื่อนจังหวัดเดียวกัน เพียงแต่ไม่มีความสนิทกันแต่อย่างใด ส่วนเต็งหนึ่ง ไม่รู้จักเลย.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
แฉนอมินีซื้อไฟฟ้าส่งเมืองบาป
“โรม” จี้ กฟภ.ตัดไฟฟ้าเมืองคอลเซ็นเตอร์ อย่าปล่อยให้ไทยถูกมอง “ชาร์จแบต”
ชงที่ดินอัลไพน์สู่ศาลปค.
อธิบดีกรมที่ดินเผย คำสั่งยกเลิกกรรมสิทธิ์ที่ดินอัลไพน์คืนที่ธรณีสงฆ์ถึงมือแล้ว
โค้งสุดท้ายอบจ. สทร.ขึ้นทุกเวที เหนือยันอีสาน!
แพ้ไม่ได้! เลือกนายก อบจ.โค้งสุดท้าย "ทักษิณ" บุกเหนือยันอีสาน
สมรสเท่าเทียม1,754คู่ ดันเปลี่ยนคำนำหน้านาม
ทั่วไทยคึกคัก! "สมรสเท่าเทียม" วันแรก "นายกฯ อิ๊งค์" แสดงความยินดีคู่รัก LGBTQIA+
ลงนาม‘FTAไทย-EFTA’ สานสัมพันธ์เศรษฐกิจ
นายกฯ ขอบคุณประเทศในสหภาพยุโรป ก่อนร่วมเป็นสักขีพยานลงนามความตกลง FTA
อิ๊งค์-ชัชชาติสำลักฝุ่น ยกเป็นวาระแห่งชาติสั่งทุกหน่วยงานแก้ไข/สธ.หวั่นก่อมะเร็ง
"นายกฯ" ประกาศวิกฤตฝุ่น PM 2.5 เป็นวาระแห่งชาติ สายตรงสั่ง "อนุทิน" ประสาน "ภูมิธรรม" เร่งแก้ปัญหาด่วน