เชียงใหม่พร้อมรับ "นายกฯ อิ๊งค์" นำประชุม ครม.สัญจรนอกสถานที่ครั้งแรก "ภูมิธรรม" ขู่ "สนธิ" ลงถนนอย่าทำผิด กม.แล้วกัน โต้สั่งทัพเรือฝึกทหารใกล้เกาะกูด แจงฝึกตามแผนวงรอบ ขอคนในประเทศอย่ายุยงกระตุ้นความขัดแย้ง "ชูศักดิ์" ยกบทเรียนรัฐประหารฉุดรั้งประเทศเตือนสติม็อบ "สนธิ" ยันไม่ได้บอกนำม็อบลงถนน แค่ชี้สถานการณ์สุกงอมแล้ว เลื่อนวันบุกทำเนียบฯ เป็น 9 ธ.ค. ยื่นหนังสือกล่าวหากำลังขายแผ่นดินด้วย MOU 44 "พริษฐ์" คุย "ปธ.สภาฯ" ย้ำทำประชามติแก้ รธน. 2 ครั้งเพียงพอ "นิกร" หวั่นทำผิดขั้นตอน ระบุคำวินิจฉัยศาลฯ ชัดให้ทำประชามติ 3 ครั้ง
ที่ทำเนียบรัฐบาล วันที่ 27 พฤศจิกายน 2567 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้พบปะหารือกับคณะนักธุรกิจจากสภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา-อาเซียน (USABC) นำโดยนายโรเบิร์ต โกเดค เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย และนายไบรอัน แมคฟีเตอร์ส รองประธานอาวุโส และกรรมการผู้จัดการระดับภูมิภาค สภาธุรกิจสหรัฐ-อาเซียน พร้อมผู้แทนบริษัทสมาชิกกว่า 40 บริษัท ครอบคลุมในธุรกิจพลังงาน สาธารณสุข เทคโนโลยีดิจิทัล การท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ รวมไปถึงที่ปรึกษาด้านกฎหมายและการเงิน เข้าร่วมการหารือด้วย โดยนายกรัฐมนตรีได้สนทนากับคณะนักธุรกิจจาก USABC เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองและเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทยและสหรัฐ
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในวันที่ 28 พ.ย. นายลอเรนซ์ หว่อง นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสิงคโปร์ มีกำหนดการเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล ซึ่งนับเป็นการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการครั้งแรกของนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสิงคโปร์ ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนพฤษภาคม 2567
ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งนายกฯ เตรียมเดินทางลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย เพื่อตรวจราชการและเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 1/2567 ในระหว่างวันที่ 28 พ.ย.-1 ธ.ค.2567 ว่า จังหวัดเชียงใหม่ได้มีการจัดเตรียมสถานที่รองรับการประชุม ครม.สัญจรนอกสถานที่ โดยจัดแต่งสถานที่ห้องประชุมฉากพื้นหลังที่มีความสวยงามและสื่อถึงความเป็นจังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้ธีมหลักคือ “Form Flood to Flourish (ฟื้นคืนสู่ความเฟื่องฟู)” เป็นภาพของแสงสว่างจากพระอาทิตย์ยามเช้า ทะเลหมอก ณ อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์
ขณะที่ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์กรณีนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผู้ก่อตั้งและเจ้าของหนังสือพิมพ์ในเครือผู้จัดการ ออกมาตั้งคำถามเรื่องการฝึกของกองทัพเรือใกล้เกาะกูด จ.ตราด ว่าได้รับรายงานเรื่องนี้ว่าได้มีการไปฝึกซ้อม ซึ่งความจริงแล้วเป็นการฝึกซ้อมเล็กๆ ไม่ได้เป็นการฝึกซ้อมใหญ่แต่อย่างใด และเป็นการฝึกซ้อมตามวงรอบ การที่นายสนธิออกมาพูดเกินไปว่าตนเองไปสั่งการให้ย้ายที่การฝึก
"ขอยืนยันว่าไม่มีอะไร และสามารถสอบถามผู้บัญชาการทหารเรือได้ เพราะกองทัพเรือดำเนินการไปตามกระบวนการ ซึ่งการฝึกไม่ได้เจาะจงอยู่ในเฉพาะพื้นที่ใด แต่มีการเลื่อนพื้นที่ไปทางใต้บ้าง และเป็นไปตามแผนงานประจำปีของแต่ละเหล่าทัพ การตั้งข้อสังเกตว่าผมเป็นคนสั่งการนั้น ขอถามนายสนธิว่าไปเอาข้อมูลมาจากไหน เพราะไม่มีการกล่าวแบบนี้ และจากการได้พบกับ ผบ.ทร. ก็ยืนยันไม่ได้พูดตามที่นายสนธิออกมากล่าวอ้าง ซึ่ง ผบ.ทร.ก็ยืนยันว่ารับผิดชอบเองได้ และไม่ต้องให้ใครมาสั่งในเรื่องแบบนี้" นายภูมิธรรมกล่าว
ถามว่า การเปลี่ยนจากการฝึกไปลาดตระเวนแท่นขุดเจาะน้ำมันอ่าวไทยแทน นายภูมิธรรมย้ำว่า กองทัพเรือได้ทำตามแผนอยู่แล้ว และเป็นไปตามวงรอบการฝึก ไม่สามารถบิดเบือนได้ ซึ่งการลาดตระเวนก็มีหลายสาเหตุ อาจจะเป็นการดูพื้นที่บ้างหรือลาดตระเวนตามชายฝั่ง และแผนที่ที่กองทัพเรือวางไว้ ดังนั้นอย่าไปพูดเรื่องนี้จนกลายเป็นประเด็นอีก เนื่องจากการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องเกาะกูดเป็นเรื่องอ่อนไหวและอาจมีผลเสียหายต่อประเทศ เหมือนการไปยุยงให้เกิดการต่อสู้กันหรือใช้ความรุนแรงต่อกัน จึงเป็นเรื่องไม่เหมาะไม่ควร ทั้งนี้ ขอให้ฟังตามข้อเท็จจริง และขออย่าใส่ใจกับข่าวลือ-ข่าวปล่อยมากนัก
ซักถึงการเปลี่ยนพื้นที่การฝึก เพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าใจผิดระหว่าง 2 ประเทศใช่หรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า ไม่มีอะไรที่จะป้องกัน เพราะกองทัพเรือดำเนินการตามปกติ มีแต่ภายในประเทศเราเท่านั้นที่มากระตุ้นกันเอง
ยกบทเรียนรัฐประหารฉุด ปท.
เมื่อถามถึงกรณีนายสนธิประกาศลงถนน นายภูมิธรรมกล่าวว่า เป็นการใช้สิทธิ์ตามกฎหมาย อย่าให้ผิดกฎหมายก็แล้วกัน
นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงม็อบลงถนนว่า จากประสบการณ์ส่วนตัวเราผ่านเรื่องนี้มาช้านาน จนนำมาสู่การปฏิวัติรัฐประหาร ประสบการณ์ตรงนี้คือบทเรียนสำคัญสำหรับประเทศไทย เพราะที่ผ่านมาไทยหยุดอยู่กับที่และถอยหลังเพราะเรื่องการเมือง ขอพูดตรงๆ เนื่องจากการเมืองไม่มีเสถียรภาพ ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ทำให้ประเทศฉุดรั้ง และเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องพึงระลึก ซึ่งอาจจะทำให้เกิดวังวนเดิมๆ ที่ทำให้ประเทศหยุดอยู่กับที่ ไปไหนไม่ได้ ขณะที่ประเทศอื่นๆ เจริญก้าวหน้าไปมาก
ถามว่า เงื่อนไขในขณะนี้สามารถทำให้ม็อบจุดติดเหมือนในอดีตหรือไม่ นายชูศักดิ์กล่าวว่า เราก็เห็นว่าไม่มีเงื่อนไขอะไร เรื่อง MOU 44 ก็ทำกันมาตั้งแต่ปี 2544 ก็ไม่ทำให้เสียดินแดน เป็นเรื่องหลักการเจรจา ถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีการเจรจาเลย ยังไม่ตั้งคณะกรรมการด้วยซ้ำ แล้วเมื่อเจรจาแล้วเสร็จก็ต้องนำเข้าเพื่อรับความเห็นชอบจากรัฐสภา
"ผมขอย้ำนะว่าเราผ่านวิกฤตเช่นนี้มาช้านานแล้ว ก็ไม่อยากให้ประเทศกลับไปสู่วังวนเดิมๆ ให้เดินหน้าไป อย่าให้ถอยหลัง" นายชูศักดิ์กล่าว
ส่วนนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคประชาชน (ปชน.) กล่าวถึงกรณีนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ออกมาระบุจะมีมวลชนจากพรรคประชาชนร่วมลงถนนกับกลุ่มนายสนธิว่า เป็นการคาดการณ์ของนายณัฐวุฒิ ซึ่งไม่แน่ใจว่าอ้างอิงจากข้อมูลอะไร แต่ในมุมของพรรค ปชน. คิดว่าเราทำหน้าที่ในฐานะแกนนำพรรคฝ่ายค้านในสภา และเราเห็นถึงบทบาทของพรรคในการตรวจสอบการทำงานรัฐบาลทุกเรื่องที่สังคมสนใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกระบวนการยุติธรรม เรื่องการตรวจสอบเอ็มโอยู 44 หรือเรื่องที่ดินเขากระโดง ที่มี สส.ตรวจสอบในเรื่องนี้ โดยใช้กลไกสภาเพื่อตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล
"หากประชาชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งต้องการแสดงออกทางการเมืองผ่านการชุมนุม ผมคิดว่าต้องยึดหลักก่อนว่าเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานอยู่แล้วในระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนชุมนุมกันได้ ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมที่พรรคประชาชนจะเห็นด้วยหรือไม่ แต่เราหวังว่าการแสดงออกทางการเมืองในการชุมนุมดังกล่าวจะไม่ไปละเมิดหลักการขั้นพื้นฐานอะไรของระบอบประชาธิปไตยเช่นกัน ดังนั้นวันนี้ชัดเจนว่าพรรค ปชน.ไม่มีความพยายามเคลื่อนไหวอะไรนอกสภา หรือในลักษณะของการชุมนุม แต่เรามีความชัดเจนว่าทำงานผ่านกลไกสภา เพื่อตรวจสอบรัฐบาล และผลักดันการเปลี่ยนแปลง" นายพริษฐ์กล่าว
ถามว่า หากนายสนธิสามารถปลุกมวลชนได้จริงๆ แนวทางการทำงานของพรรค ปชน.จะเปลี่ยนไปหรือไม่ โฆษกพรรค ปชน.กล่าวว่า เวลานี้พรรคเดินหน้าทำงานเต็มที่ในสภา แต่ถ้าประชาชนกลุ่มไหนไม่ใช่แค่นายสนธิหรือใครก็ตามต้องการจะเรียกร้องประเด็นใด ก็เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานในการชุมนุมอยู่แล้ว
ด้านนายสนธิ กล่าวตอนหนึ่งในรายการ "สนธิเล่าเรื่อง" ระบุว่า ตนไม่ได้บอกว่านำมวลชน แต่บอกสถานการณ์สุกงอมแล้ว ซึ่งคอยดูสถานการณ์ คุณภูมิธรรมพูดจาไม่อยู่กับร่องรอย พูดในทำนองตนทำความเสียหายให้บ้านเมือง อย่าทำอีกเลย นายภูมิธรรมลืมว่านี่โลกแห่งความจริง
สนธิลุยร้อง MOU ขายแผ่นดิน
"MOU 44 ที่ผมจะไปยื่นไม่ใช่ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง นายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองจะมารับแทนหรือให้คนอื่นมารับก็ก็ไม่เป็นไร แต่ต้องลงเลขรับหนังสือ คือ หนังสือกล่าวหาไม่ใช่ร้องเรียน กล่าวหาพวกคุณว่ากำลังขายชาติขายแผ่นดินด้วย MOU 2544 ถ้าไม่พอใจผมให้ฟ้องมา จากนี้ไปให้บอกคุณอุ๊งอิ๊งด้วย บอกนายคุณด้วยทักษิณ ชินวัตร เจรจากันล็อตต่อไปพวกผมเหมือนเหยี่ยวบนท้องฟ้า จะจับตาพวกคุณ จะทำอะไรที่ทำผิดปกติหรือเปล่า ถ้าผิดปกติเมื่อไหร่ นั่นคือการออกถนนของผม" นายสนธิกล่าว
นอกจากนี้ นายสนธิกล่าวว่า ขอยกเลิกกำหนดการที่จะไปยื่นหนังสือที่ทำเนียบฯ ในวันที่ 2 ธ.ค. เนื่องจากต้องไปขึ้นศาลตามที่มีนัดก่อนหน้า แต่จะเลื่อนไปเป็นวันจันทร์ที่ 9 ธ.ค. เวลา 10.00 น. ช่องรับเรื่องร้องทุกข์ประตู 4 ตรงข้าม ก.พ.
ที่รัฐสภา นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรค ปชน. ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร หารือร่วมกับนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา เกี่ยวกับกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
นายพริษฐ์แถลงว่า วันนี้เป็นการประชุมหารือกันระหว่างคณะกรรมาธิการฯ และประธานรัฐสภาเกี่ยวกับเรื่องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยข้อถกเถียงหลักอย่างหนึ่งเกี่ยวกับกระบวนการนี้คือเรื่องจำนวนในการทำประชามติ ในส่วนของกฎหมาย หรือคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งกำหนดไว้ให้ต้องทำอย่างน้อย 2 ครั้ง หรือ 3 ครั้งนั้น มาถึงวันนี้ความเห็นต่างในการตีความคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564 ก็ยังคงมีอยู่ แต่เรามีข้อมูลเพิ่มเติม 2 อย่าง ที่ได้พูดคุยกับประธานสภาฯ และทีมในวันนี้คือ 1.หากดูตามความเห็นส่วนบุคคลของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 คน ประกอบคำวินิจฉัยที่ 4/2564 นั้น จะเห็นว่าเสียงส่วนใหญ่ของตุลาการเขียนไว้ค่อนข้างชัดเจน ว่าการทำประชามติ 2 ครั้งนั้นเพียงพอแล้ว และ 2.คือข้อมูลที่มาจากการประชุมหารืออย่างไม่เป็นทางการกับประธานศาลรัฐธรรมนูญเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
"เมื่อได้นำข้อมูล 2 ชุดนี้หารือกับประธานสภาฯ ได้ข้อสรุปว่า หากจะให้คณะกรรมการประสานงานมีการวินิจฉัยเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง จะต้องมีการยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยมีเนื้อหาเพิ่มหมวด 15/1 เกี่ยวกับการมีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) เพื่อมาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เข้าสู่สภาอีกรอบหนึ่ง" นายพริษฐ์กล่าว
โฆษกพรรค ปชน.กล่าวว่า หลังจากนี้ตนจะไปหารือกับ สส.พรรค ปชน. เพื่อยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งจะทำให้คณะกรรมการประสานงานมีโอกาสในการวินิจฉัยอีกครั้งว่า ตกลงแล้วจำเป็นจะต้องมีการทำประชามติเพิ่มขึ้นมาเป็นครั้งที่ 3 หรือสามารถทำ 2 ครั้งเพียงพอ และเรามีความหวังว่าข้อมูลใหม่ที่ได้นำมาในวันนี้ จะเพียงพอในการทำให้คณะกรรมการประสานงานวินิจฉัยว่า 2 ครั้งเพียงพอ
ถามว่า จะทันการเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่ โฆษกพรรค ปชน.กล่าวว่า รัฐบาลเคยสัญญาไว้กับประชาชนว่า จะมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทันก่อนการเลือกตั้งครั้งถัดไป หากย้อนไปตอนที่พรรคเพื่อไทยฉีกเอ็มโอยูกับอดีตพรรคก้าวไกลแล้วมีการจัดตั้งรัฐบาล ก็ได้มีแถลงการณ์ออกมาระบุว่าต้องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้เสร็จก่อนการเลือกตั้ง และเมื่อจัดทำเสร็จแล้วจะมีการยุบสภาเพื่อคืนอำนาจให้กับประชาชนด้วยซ้ำ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการตีความเจตนารมณ์ของแถลงการณ์นั้น หรือการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาของรัฐบาลชุดนี้ จะเห็นชัดว่าเป็นเป้าหมายที่รัฐบาลได้สัญญาไว้
ปชน.ยันประชามติ 2 ครั้งพอ
"มาถึงวันนี้ชัดเจนว่าหากรัฐบาลเดินตามแผนเดิมที่จะมีการทำประชามติ 3 ครั้ง โดยไม่ริเริ่มครั้งแรก จนกว่าจะมีการแก้พระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติเสร็จนั้น เป้าหมายดังกล่าวก็มีโอกาสเป็นจริงน้อยมาก จึงเห็นว่าหนทางเดียวที่จะทำให้เป้าหมายดังกล่าวเป็นจริงได้ คือการลดจำนวนการทำประชามติจาก 3 เป็น 2 ครั้ง ซึ่งความพยายามที่ผ่านมาในการเข้าพบกับประธานศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขอความชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องความวินิจฉัยศาล รวมถึงการหารือกับประธานสภาฯ วันนี้ให้อาจจะมีการทบทวนการตีความคำวินิจฉัย และบรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับ ส.ส.ร. จะต้องทำอย่างไรนั้น ก็ล้วนเป็นความพยายามของตนในฐานะประธานคณะกรรมาธิการฯ เพื่อให้เรามีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ใช้ทันการเลือกตั้งครั้งถัดไป" โฆษกพรรค ปชน.กล่าว
ส่วนว่าที่ ร.ต.ต.อาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานและเสนอความเห็นต่อประธานสภาฯ ก็ได้รับข้อมูลใหม่ให้คณะกรรมการฯ นำไปทบทวน หากมีการเสนอร่างจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ พร้อมได้ส่งมอบความเห็นเพิ่มเติมที่ได้รับจากศาลรัฐธรรมนูญ ประธานสภาฯ จึงมีดำริว่าให้คณะกรรมการฯ นำข้อมูลส่วนนี้ไปประกอบคำวินิจฉัยเดิม ส่วนจะเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญร่างเดิมได้หรือไม่นั้น แล้วแต่ท่านผู้เสนอ
ถามว่า ประธานสภาฯ ให้เหตุผลอะไรทำให้ความเห็นของฝ่ายกฎหมายของสภามีน้ำหนักมากกว่าความเห็นของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมากที่บอกว่าให้ทำประชามติ 2 ครั้ง ว่าที่ ร.ต.อาพัทธ์ระบุว่า ประธานสภาฯ เพียงมอบโจทย์ใหม่จากข้อมูลที่เปลี่ยนไปให้เป็นดุลพินิจของคณะกรรมการฯ แต่ละคน ซึ่งมีทั้งผู้บริหารและผู้ที่เกี่ยวข้องกับฝ่ายกฎหมายของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรที่นำมาพิจารณา
"ผมรับปากกับนายพริษฐ์ไปต่อหน้าประธานสภาฯ ว่าจะนำความเห็นของประธานศาลรัฐธรรมนูญมาร่วมพิจารณาด้วย และถ้ามีโอกาสจะเชิญนายพริษฐ์และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปร่วมให้ข้อมูลด้วย" เลขาธิการสภาฯ ระบุ
อย่างไรก็ตาม นายนิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา ยืนยันว่า ในฐานะที่ตนเคยเป็นเลขานุการคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่..) พ.ศ.... (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256 และเพิ่มหมวด 15/1) และได้ร่วมจัดทำรายงานที่เสนอต่อรัฐสภา มองว่าตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อ 11 มี.ค.2564 ที่ระบุให้รัฐสภามีหน้าที่และอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ โดยต้องให้ประชาชนประชามติก่อนว่าจะต้องการให้มีฉบับใหม่หรือไม่ และระบุว่าเมื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จต้องส่งให้ประชาชนลงประชามติอีกครั้ง ดังนั้นการทำตามคำวินิจฉัยจำเป็นต้องทำประชามติสอบถามประชาชนก่อนการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ
“การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะเกิดขึ้นถูกกำหนดเป็นสภาพบังคับว่าต้องทำประชามติรวม 3 ครั้ง โดยไม่มีทางใดให้เลี่ยงได้ ส่วนการเข้าพบประธานรัฐสภาของกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองฯ นั้น ไม่มีผลให้ลดจำนวนทำประชามติ เนื่องจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีผลผูกพันต่อรัฐสภา การไปเรียกร้องบังคับให้ประธานรัฐสภาบรรจุวาระให้ได้นั้น ประธานรัฐสภาอาจถูกร้องได้ว่ากระทำขัดหรือแย้งกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ไม่มีใครรับผิดแทนประธานรัฐสภาได้” นายนิกรกล่าว
ทั้งนี้ หากมีการบรรจุเนื้อหาและฝืนพิจารณา ขอให้คำนึงถึงเหตุการณ์ระหว่างการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเมื่อปี 2564 ที่ สว.กังวลกับการลงคะแนนเห็นชอบในวาระ 3 ด้วยเกรงว่าจะเป็นการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญ แต่ในครั้งนี้อาจเป็นไปได้ว่าจะมีปัญหาตั้งแต่การลงคะแนนเห็นชอบในวาระแรกชั้นรับหลักการได้ และหากการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 ไม่สำเร็จ ต้องกลับไปนับหนึ่งในสมัยประชุมถัดไป ทั้งที่เวลาการพิจารณาของรัฐสภาเหลือไม่มาก
“ภารกิจการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้สำเร็จ จำเป็นต้องรับฟังความเห็นจากภาคส่วนต่างๆ เพื่อให้เกิดการประนีประนอมร่วมกัน เพราะถ้าทำขั้นตอนใดผิดพลาดล้มเหลว แทนที่จะเร็วขึ้น กลับจะกลายเป็นช้าลงไปอีกมาก เหมือนที่เป็นมาให้เห็นๆ กันจนจะไม่ทันการณ์อยู่แล้ว แม้จะมีการลดธงเป้าหมายให้เหลือเพียงแค่ให้ได้แค่ ส.ส.ร.ก็ตามที” นายนิกรกล่าว.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
อิ๊งค์รับนายกฯ2คน! ไม่เกี่ยง‘ทักษิณ’ตัวจริง ปชน.โวซักฟอกน็อกรบ.
“นายกฯ อิ๊งค์” ยันไม่มีแผนปรับ ครม. คุย “พีระพันธุ์” ปกติ เมินกระแสเหน็บนายกฯ
ไฟเขียวงบ69วงเงิน3.78ล้านล.
ครม.เคาะกรอบงบประมาณปี 69 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท ขาดดุล 8.6 แสนล้านบาท
‘สว.พันธุ์ใหม่’หนุนแก้รธน.ฉบับส้ม
"อนุทิน" ย้ำจุดยืนตลอดกาลแก้ รธน.ไม่แตะหมวด 1-2 ท่าที สส.ภูมิใจไทยไม่เกี่ยว สว. "ไอติม" พร้อมพูดคุยทุกฝ่ายทำความเข้าใจร่างฉบับ
ค่าไฟ3.7บาทเป้ารัฐบาล หวยพิเศษหาเงินหมื่นล.
"นายกฯ อิ๊งค์" ชี้ลดค่าไฟฟ้าเหลือ 3.70 บาทเป็นเป้าหมายรัฐบาลอยู่แล้ว
นายกฯ ยันไร้แผนปรับครม. ตอนนี้พรรคร่วม-รมต.ไม่มีใครดื้อ ไม่เสียใจ 'ทักษิณ' พูดนำก่อน
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงนโยบายปรับลดค่าไฟตรงนี้ถือเป็นหลักประกันเก้าอี้ของ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงานด้วยหรือไม่ ว่า อันนี้ไม่ทราบเลยว่าทำไม
'อิ๊งค์' เตือนโรคระบาดให้รีบฉีดวัคซีน หลัง 'น้องธาษิณ' ลูกชายป่วยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มีการโทรศัพท์สอบถามกับทางบ้านถึงอาการไข้ของน้องธาษิณ พฤจ์ธาษิณ