จ่อส่งคดีหมอบุญให้DSI

ตร.สอบปากคำอดีตภรรยา-ลูกสาว  “หมอบุญ” เพิ่มเติม เบื้องต้นยังให้การภาคเสธ   พร้อมประสาน ตร.สากลออกหมายแดงลากคอจากจีน คนขับรถนำอาหารเข้าเยี่ยมภรรยา-ลูกสาว  เผยทั้ง 3 คนอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน เจอหมอบุญครั้งสุดท้ายช่วงเดือน มิ.ย.-ก.ค. ด้าน ปอศ.เตรียมรวบรวมสำนวนคดีให้ดีเอสไอ ก.ล.ต.ชี้เรื่องฉ้อโกงอาจไม่เกี่ยวกับ THG เหตุหมอบุญลงนามส่วนตัว  “สนธิ” ชำแหละคดี "หมอบุญ" เหมือนแชร์ลูกโซ่ต่อจากบอสพอล แนะจัดการโบรกเกอร์เสมือน "แม่ข่าย"  

เมื่อวันอาทิตย์ มีความคืบหน้ากรณีศาลออกหมายจับนายแพทย์บุญ วนาสิน หรือหมอบุญ อายุ 86 ปี อดีตประธานกรรมการ บริษัท ธนบุรี  เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (THG), นางจารุวรรณ วนาสิน อายุ 79 ปี อดีตภรรยา และ น.ส.นลิน วนาสิน อายุ 51 ปี ลูกสาว พร้อมพวกรวม 9 คน ข้อหาฉ้อโกง สมคบกันฟอกเงิน และ พ.ร.บ.เช็ค  หลังเปิดโครงการใหญ่ล่อลวงเหยื่อกระเป๋าหนักกว่า 247 คน ลงทุน 5 โครงการ สูญเงินรวมกว่า 7,500 ล้านบาท ชุดสืบสวนตามล่าตัวมาได้ 6 คน  ส่วนอดีตเมียกับลูกเข้ามอบตัว อ้างว่าถูกปลอมลายมือชื่อเซ็นค้ำประกันเงินกู้

โดย พล.ต.ต.อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 เปิดเผยว่า เบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้สอบปากคำ น.ส.นลิน ลูกสาวเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงสอบปากคำนางจารุวรรณ  อดีตภรรยาของนายแพทย์บุญ ที่เมื่อคืนนี้มีการขอพักและขอรับประทานยาโรคประจำตัวหลายครั้ง  เนื่องจากอายุที่มาก จึงต้องพักการสอบสวนไว้ก่อน และเตรียมสอบปากคำเพิ่มเติมในช่วงบ่าย เบื้องต้นทั้งคู่ยังคงให้การภาคเสธ แต่รายละเอียดยังไม่สามารถเปิดเผยได้ ยืนยันได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อคดี เตรียมขยายผลไปยังผู้ร่วมขบวนการรายอื่นๆ

พล.ต.ต.อัฏธพรกล่าวว่า เนื่องจากคดีนี้มีผู้เสียหายจำนวนมาก แค่เฉพาะในพื้นที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 1 มีผู้เสียหายแล้วกว่า 247 คน มูลค่าความเสียหายกว่า 7,600 ล้านบาท ยังไม่นับรวมพื้นที่อื่นๆ และในต่างจังหวัดที่อยู่นอกพื้นที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ดังนั้นหลังจากนี้จะต้องประชุมหารือร่วมกับผู้บังคับบัญชาว่าจะมีแนวทางในการรับแจ้งความผู้เสียหายอย่างไร  ปัจจุบันก็มีผู้เสียหายจากต่างจังหวัดทยอยเข้ามาแจ้งความต่อเนื่อง ทางตำรวจนครบาลก็จะรับเรื่องไว้เบื้องต้นก่อน ส่วนนายแพทย์บุญ ที่อดีตภรรยาและลูกให้ข้อมูลว่าอยู่ที่ประเทศจีนนั้น พนักงานสอบสวนได้ยื่นเรื่องไปที่กองการต่างประเทศ เพื่อยื่นขอให้ตำรวจสากลออกหมายแดง โดยจะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด

ส่วนบรรยากาศ สน.พญาไท มีรายงานว่าผู้ต้องหาทั้ง 2 คนยังคงอยู่ในห้องคุมขัง มีความเครียดเป็นปกติ แต่ด้วยความเป็นแม่ลูกได้อยู่ด้วยกัน ก็ทำให้คลายกังวลช่วยเหลือกันได้บ้าง และไม่ได้ร้องขออะไร โดยเมื่อเช้านี้มีญาติขอเข้าเยี่ยมด้วย แต่ไม่สะดวกให้ข้อมูลกับสื่อมวลชน และไม่สะดวกให้ถ่ายภาพ

เวลาประมาณ 11.50 น. มีผู้ชายคนหนึ่งถือถุงอาหารเข้ามาภายใน สน.พญาไท ทีมข่าวจึงเข้าไปสอบถาม พบว่าชายคนดังกล่าวเป็นคนขับรถที่บ้านของหมอบุญ โดยนำข้าวกับน้ำมาเยี่ยมภรรยาและลูกของหมอบุญ ซึ่งข้าวมื้อนี้แม่บ้านที่บ้านเป็นคนเตรียมให้ เป็นเมนูผัดกะเพรา และน้ำเปล่า 2 ขวด

ชายคนดังกล่าวบอกว่า ภรรยาและลูกสาวของหมอบุญไม่ได้บอกให้เตรียมเอกสารอะไรเพิ่มเติม ส่วนตัวเป็นคนขับรถให้ที่บ้านของหมอบุญมานาน 5 ปี ทั้ง 3 คนอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน ตนเจอหมอบุญครั้งสุดท้ายช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม เท่าที่รู้หมอบุญเดินทางไปต่างประเทศไม่บ่อย ตนไม่ทราบเรื่องธุรกิจลงทุน เพราะหมอบุญไม่เคยบอก ส่วนตัวรู้สึกตกใจและเป็นห่วง เชื่อว่าภรรยากับลูกสาวของหมอบุญไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง

ด้าน พ.ต.อ.ประสพโชค เอี่ยมพินิจ ผกก.สน.ห้วยขวาง กล่าวว่า เบื้องต้นพนักงานสอบสวน สน.ห้วยขวาง จะดำเนินการฝากขังผู้ต้องหา ภรรยาและลูกของหมอบุญ ภายในวันที่ 25 พ.ย. โดยพนักงานสอบสวนมีความเห็นคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากป้องกันการเข้ามายุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน และมีลักษณะความผิดเข้าข่ายกระทำความผิดเป็นขบวนการ ผู้เสียหายจะเข้ามายื่นเรื่องคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหาดังกล่าวในวันนี้ ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการตามกฎหมายให้ความเป็นธรรมทุกฝ่ายต่อไป

มีรายงานจากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ หรือ ปอศ. ว่า ปอศ.ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าคดีดังกล่าวมีผู้เสียหายและมีมูลค่าความเสียหายเป็นจำนวนมาก เข้าหลักเกณฑ์ตามประกาศคณะกรรมการคดีพิเศษ หรือ กคพ. (ฉบับที่ 8) พ.ศ.2565 เกี่ยวกับความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ที่มีหรือมีมูลน่าเชื่อว่ามีจำนวนผู้เสียหายตั้งแต่ 300 คนขึ้นไป หรือมีจำนวนเงินที่กู้ยืมรวมกันตั้งแต่ 100 ล้านบาทขึ้นไป ขณะนี้พนักงานสอบสวน ปอศ.กำลังรวบรวมสำนวนคดีและพยานหลักฐาน และจะนำสำนวนไปมอบให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในสัปดาห์หน้า

ขณะที่ พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ โฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ ให้ข้อมูลว่า ขณะนี้ดีเอสไอยังไม่ได้รับสำนวนคดีของหมอบุญไว้เป็นคดีพิเศษ ซึ่งเมื่อรับสำนวนคดีแล้วก็ต้องให้คณะกรรมการคดีพิเศษ หรือ กคพ. พิจารณาว่าเข้าข่ายความผิดในคดีพิเศษหรือไม่

รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)  เปิดเผยว่า ในเบื้องต้นพบว่านายแพทย์บุญได้กระทำในนามส่วนตัว ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับ THG จึงอาจเข้าข่ายเป็นการกระทำผิดฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งยังไม่เข้าข่ายการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 (พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ) ที่มุ่งเน้นการทุจริตฉ้อโกงในบริษัทที่ออกเสนอขายหลักทรัพย์กับประชาชน อย่างไรก็ตาม ก.ล.ต.จะติดตามกรณีนี้อย่างต่อเนื่อง โดยหากพบการกระทำที่อาจเข้าข่ายการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ ก็จะเร่งดำเนินการและประสานงานกับพนักงานสอบสวนต่อไป

ในปัจจุบันนายแพทย์บุญไม่ได้ดำรงตำแหน่งกรรมการและผู้บริหารใน THG โดยเมื่อเดือนธันวาคม 2565 ก.ล.ต.ได้ขอให้พนักงานอัยการฟ้องนายแพทย์บุญต่อศาลแพ่ง กรณีเผยแพร่ข้อความที่อาจก่อให้เกิดความสำคัญผิดเกี่ยวกับผลการดำเนินงานและราคา THG เพื่อขอให้กำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่ง และกำหนดระยะเวลาห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหาร

นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อเครือผู้จัดการ และเจ้าของรายการสนธิทอล์ก กล่าวถึงกรณีนายแพทย์บุญถูกออกหมายจับข้อหาฉ้อโกง สมคบกันฟอกเงิน มีผู้เสียหายเพิ่มมากขึ้นว่า กรณีนี้เป็นแชร์ลูกโซ่อีกแบบหนึ่ง จากบอสพอลมาเป็นบอสบุญ คนที่สมควรโดนมากที่สุดคือโบรกเกอร์ เพราะต้องการค่าคอมมิชชัน ตามโปรเจกต์ของหมอบุญ ซึ่งเป็นโปรเจกต์ที่เลื่อนลอย ฝันเฟื่อง เป็นปราสาททรายอยู่ในทะเล เอาไปขายประชาชน โดยคนถือหุ้นที่ซื้อเพราะเป็นหมอบุญ โดยไม่ได้ศึกษาว่าไม่ได้ต่างจากคนที่ฉ้อโกงหลอกลวงคน

นายสนธิกล่าวว่า ปัญหาใหญ่ที่ต้องดูคือการใช้ภรรยาตัวเอง ลูกสาวตัวเอง อดีตลูกสะใภ้ เซ็นเอกสาร โดยหมอบุญเซ็นอยู่คนเดียว ตนจะขอแนะนำตำรวจว่า ถ้าจะเล่นกลุ่มแรกคือกลุ่มโบรกเกอร์  เพราะเหมือนเป็นแม่ข่าย ถ้าไม่มีโบรกเกอร์ คนที่จะมาลงทุนได้อย่างไร มีการนำเสนอโครงการว่าดีและมีการให้ดอกเบี้ย หมอบุญให้ 10% ดังนั้น กรณีนี้อย่าไปดูลึกซึ้ง เพราะมันคือขบวนการแชร์ลูกโซ่ที่ทำโดยหมอ และคนที่ถูกหลอกโดยส่วนใหญ่ก็คือหมอทั้งนั้น แต่ไม่ทราบว่ามีถึงขั้นเจ้าสัวหรือไม่

ส่วนที่หมอบุญออกมายอมรับว่าทำผิด นายสนธิมองว่า เพราะไม่ได้อยู่ในประเทศไทย แต่อยู่ในประเทศจีน จึงไม่ได้สนใจใครทั้งสิ้น ส่วนหมอบุญจะกลับจากจีนหรือไม่ตนไม่รู้ ตอบไม่ได้ ขอให้อย่าลืมวีรกรรมหมอบุญตั้งแต่สมัยวัคซีน ปั่นข่าวเพื่อให้หุ้นตัวเองขึ้น บอกว่าเป็นเอเยนต์วัคซีนไฟเซอร์ พอคนหลงไปซื้อ หุ้นโรงพยาบาลขึ้นเอาๆ ก็บอกว่าตกลงกันไม่ได้ ถ้าต้องโทษก็ต้องโทษหน่วยงานรัฐที่ไม่จริงใจ

ส่วนนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยว่า ขณะนี้มีการอ้างการเซ็นลายเซ็นปลอมหลายชั้น โดยไม่ใช่แค่ภรรยาหรือลูก แต่ยังมีการแอบอ้างว่ามีการปลอมลายเซ็นของหมอบุญด้วย สิ่งเหล่านี้เป็นข้ออ้างเพื่ออำพรางคนที่ไปเซ็น หรืออาจจะมีการปลอมกันจริง ก็ต้องมีการแสวงหาข้อเท็จจริงกันต่อไป แต่หมอบุญกลับมีพฤติกรรมหลบหนีหายไป ซึ่งหากบริสุทธิ์จริงควรจะปรากฏตัวเพื่อสู้คดี ขณะเดียวกันเป็นที่น่าสงสัยว่าหมอบุญ วัย 86 ปี จะต้องการเอาทรัพย์สินจำนวนมากเหล่านี้ไปทำอะไร ไม่คุ้มค่ากับชีวิตของผู้สูงวัย ให้กลับมายอมรับความจริงดีกว่า เพื่อจะได้ให้ผู้เสียหายได้รับการเยียวยา

นายปานเทพกล่าวว่า ในส่วนความเสียหายตอนนี้เป็นเงิน 7,500 ล้านบาท แต่ในความเป็นจริงมูลค่าความเสียหายอาจจะมากถึง 10,000 ล้านบาท เพราะมีในส่วนของการกู้เงินเพิ่มเข้ามา ส่วนตัวผู้เสียหายเองก็มีความหลากหลาย ตั้งแต่เศรษฐีใหญ่ รวมไปถึงประชาชนทั่วไป ยังไม่นับผู้ถือหุ้นที่กระทบกระเทือนไปตามๆ กัน

"ในเรื่องนี้มีจุดที่เป็นกังวลคือการดำเนินงานของดีเอสไอ ที่มีหลายคดีไปกองอยู่ที่นั่น ไม่ว่าจะเป็นคดีในตลาดบริษัทหลักทรัพย์ที่เข้าเกณฑ์หลายบริษัท กรณีที่ทำแพลตฟอร์มขายคริปโตฯ แล้วผิดกฎหมาย ไปกองอยู่ที่ดีเอสไอ และยังไม่มีความคืบหน้า รัฐบาลจึงควรทบทวนถึงองค์กรเหล่านี้ที่มีการทำคดีล่าช้า ทำให้เกิดความเป็นห่วงว่าถ้าคดีใดไปถึงที่ดีเอสไอแล้วจะถูกล็อกเอาไว้เป็นปีๆ แล้วจะทำอย่างไรถึงจะทำให้เกิดความรัดกุม มีประสิทธิภาพและเป็นธรรมมากขึ้น ไม่อย่างนั้นประชาชนเดือดร้อนแล้วก็พึ่งพาใครไม่ได้เสียที" นายปานเทพกล่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง