‘สนธิ’ลั่นการเมืองใกล้สุกงอม!

“อุ๊งอิ๊ง” เมินปม กกต.สอบครอบงำต่อ เด็ก พท.ยันเป็นการดำเนินการตามปกติ ชี้พรรคมีประสบการณ์ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ “สนธิ” มาแล้ว บอกสถานการณ์ใกล้สุกงอม รับพร้อมลงถนนเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต “นิด้าโพล”  เผยคนส่วนใหญ่ชี้แค่ปาหี่ปม “พรรคประชาชน” เปิดศึกน้ำลาย “พรรคเพื่อไทย”

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.2567 นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้องคดีล้มล้างการปกครองว่า ถือเป็นสัญญาณที่ดี เพราะประเด็นล้มล้างการปกครองเป็นเรื่องใหญ่  เป็นเรื่องที่มีความสำคัญไปถึงขั้นยุบพรรค  ซึ่งการที่ศาลไม่รับคำร้องเป็นสัญญาณว่า ข้อกล่าวหาเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในบริบทของรัฐบาล ทำให้รัฐบาลสามารถทำงานได้แบบต้องไม่กังวลอะไรในประเด็นเหล่านี้  เรื่องนี้ทำให้รัฐบาลมีความมั่นใจในการทำหน้าที่ต่อไปในอนาคต และส่วนตัวเชื่อว่าประเด็นล้มล้างไม่น่ามีอะไรแล้ว

นายชูศักดิ์ยังกล่าวถึงกรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยังคงสอบเรื่องการครอบงำพรรคว่า มั่นใจว่าเราสามารถชี้แจงได้ ไม่มีอะไรน่าวิตกกังวล เราเตรียมตัวชี้แจงแล้วว่าเป็นอย่างไร คงชี้แจงแนวเดิมถึงการอ้างว่านายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ มาสั่งเรานั้น ไม่ใช่เรื่องการครอบงำ เป็นการปรึกษาหารือให้คำแนะนำที่ทำได้ทั่วไปทางการเมือง แต่คณะกรรมการบริหารพรรคยังมีอิสระตัดสินใจอย่างเต็มที่ ไม่ใช่เรื่องสั่งการอะไรใดๆ ทั้งสิ้น พรรคมีอิสระ และขณะนี้ยังไม่ได้มีหนังสือมาให้เราชี้แจงประเด็นอะไร ซึ่งพรรคเตรียมพร้อมเสมอและมั่นใจว่าชี้แจงได้

นายกฤช เอื้อวงศ์ ที่ปรึกษา รมต.ประจำสำนักนายกฯ ในฐานะฝ่ายกฎหมายพรรค พท. กล่าวประเด็นนี้ว่า เป็นหน้าที่ของ กกต. ซึ่งมีกระบวนการอยู่ และหาก กกต.แจ้งข้อกล่าวหามา เราก็มีหน้าที่ชี้แจงข้อกล่าวหา ไม่ได้กังวลอะไร พรรคไม่ได้หวั่นไหวและก็ทำหน้าที่ไป แต่ต้องระมัดระวังเรื่องกฎหมายและข้อห้ามต่างๆ

เมื่อถามอีกว่า ได้พูดคุยกันภายในพรรคบ้างหรือไม่ นายกฤชกล่าวว่า ข้อกล่าวหาเรื่องของการครอบงำเป็นข้อกล่าวหาแบบกว้าง อยู่ที่การตีความ สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกพรรคหากมีบุคคลภายนอกเข้ามาเกี่ยวข้อง ส่วนพรรคตั้งใครมาดูแลโดยตรงหรือไม่นั้น  จริงๆ ก็มีหลายคนที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย แต่ต้องมานั่งดูเรื่องการแจ้งข้อกล่าวหาของ กกต.ก่อนว่าเขาแจ้งข้อกล่าวหามาว่าอย่างไรบ้าง

เมื่อถามย้ำว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ในฐานะหัวหน้าพรรค พท. ได้พูดคุยอะไรกับฝ่ายกฎหมายถึงเรื่องนี้บ้างหรือไม่ นายกฤชกล่าวว่า มีการพูดคุยกันตลอดในพรรคอยู่แล้ว ซึ่งท่านไม่ได้เป็นห่วงหรือกังวลอะไร ทุกคนทำหน้าที่ไปตามปกติ เมื่อมีการแจ้งข้อกล่าวหามา ฝ่ายกฎหมายก็มีหน้าที่ต้องมาประชุมว่าจะชี้แจงข้อกล่าวหาอย่างไร และต้องว่าไปตามกระบวนการ

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท. กล่าวเช่นกันว่า ถือเป็นการปฏิบัติงานตามอำนาจหน้าที่ของ กกต.ที่จะพิจารณาดำเนินการ หลังจากมีผู้ร้องไปยื่นเรื่องร้องไว้ ซึ่งพรรคมีประสบการณ์ ผ่านร้อนผ่านหนาว มีบุคลากรที่มีความรู้ความเข้าใจในการดำเนินการเรื่องนี้ และพรรคมั่นใจว่าไม่เคยมีพฤติกรรมให้บุคคลนอกพรรคมาครอบงำพรรคแต่อย่างใด การดำเนินการใดๆ ของพรรค ต้องผ่านการพิจารณาตัดสินใจ และมีมติของคณะกรรมการบริหารพรรครับรอง การที่ กกต.จะเดินหน้ารวบรวมพยานหลักฐาน และวินิจฉัยประเด็นต่างๆ จึงไม่มีอะไรที่ต้องกังวล หรือไม่ต้องตีตนไปก่อนไข้

ถามต่อว่า การแสดงความคิดเห็นของ กกต.มักเป็นไปในทางลบต่อพรรคเพื่อไทยนั้น นายอนุสรณ์ระบุว่า ถ้าทุกฝ่ายละวางมุมมองฝ่ายเขาฝ่ายเรา แต่มองอย่างเข้าใจในบทบาท และอำนาจหน้าที่ของกันและกัน ต่างคนต่างทำหน้าที่บนพื้นฐานของการเคารพกัน ยึดหลักนิติธรรม กกต.ปฏิบัติงานตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย โดยคำวินิจฉัยจะอยู่บนพยานหลักฐาน สามารถตอบคำถาม และอธิบายกับสังคมได้ จะไม่เกิดการเผชิญหน้า หรือไม่เกิดปัญหาตามมา ประเทศกำลังเดินไปข้างหน้า ทุกภาคส่วนควรหันมาช่วยกัน สร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนต่างประเทศ ในประเทศ ให้เชื่อมั่นในประเทศไทย

การเมืองใกล้สุกงอม

ด้านนายสนธิ​ ลิ้มทองกุล​ อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) กล่าวถึงทิศทางทางการเมืองว่า ประเทศไทยในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ไม่จำเป็นว่าจะเป็นรัฐบาลการเมืองหรือรัฐบาลทหาร ยังมีปัญหาที่คนไทยทุกคนต้องทนกับมันมาตลอด โดยไม่มีใครเข้ามาแก้ไข กระบวนการยุติธรรมที่ล้มเหลวทุกอย่าง ยกตัวอย่างหลายเรื่อง เช่น กรณีทนายตั้ม การฉ้อโกงที่มีมากอย่างผิดปกติ​ เรื่อง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ยังไม่จบ เรื่องเขากระโดง วันนี้คือประเทศไทยที่เราอยู่มา และตั้งคำถามถามว่าเราอยากจะอยู่ในประเทศนี้หรือไม่ จะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป หรือต้องหาวิธีคิดที่จะทำอะไร เพื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงประเทศ เพราะทุกวันนี้นักการเมืองไม่ได้สนใจอะไร  ​ ระบอบการเมืองไทยเปิดโอกาสให้โจรคนสีเทา คนมีเงินเข้ามาเล่นการเมือง และเมื่อมีอำนาจทางการเมืองก็จะเกิดเหตุอย่างเช่นเขากระโดง

นายสนธิกล่าวว่า ตอนนี้พรรคเพื่อไทยฟาดฟันพรรคภูมิใจไทยเรื่องเขากระโดง เพราะเกิดการต่อรองเรื่องสนามกอล์ฟอัลไพน์ ​ซึ่งการเมืองมีอยู่แค่นี้ มีแต่ความเลวทราม รวมถึงชั้น 14 ด้วย ถือเป็นการขยี้กระบวนการยุติธรรมไทย คิดว่าถึงเวลาต้องรวบรวมกลุ่มคนที่เห็นด้วยหาวิธีการว่าจะทำอย่างไรให้สังคมไทยหรือนักการเมืองเลวๆ ได้รับรู้

ส่วนการรวบรวมคนจะมีม็อบหรือไม่ ​ นายสนธิกล่าวว่า ไม่รู้ ต้องวัดไปตามสถานการณ์ อย่าตั้งคำถามว่าจะให้ออกถนนหรือเปล่า เพราะไม่รู้ ไม่อยากลง แต่ถ้าจำเป็น เป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตก็จะทำ ซึ่งตอนนี้เริ่มร้อนแรงแล้ว อาจต้องรอให้เดือดกว่านี้อีกนิดหน่อย ​และคิดว่าสถานการณ์ขณะนี้สำหรับประชาชนอย่างตนเองใกล้สุกงอมแล้ว​ แต่สำหรับนักการเมือง พรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทย ​ดูรายงาน​ สว.สีน้ำเงิน ไม่มีใครแตก​ถ้านักการเมืองคุม​​ สส. สว.ได้​ แล้วประเทศไทยจะเหลืออะไร

เมื่อถามถึงกรณีที่นายกฯ บอกว่าพร้อมคุยกับนายสนธิและทุกฝ่ายนั้น​ นายสนธิกล่าวว่า ได้เตรียมตัวแล้ว​ โดยจะรวบรวมเรียบเรียงคำร้องเรียนเพื่อจะเข้าพบนายกฯ และจะยื่นรายละเอียดให้ดู และจะถามคำตอบอย่างตรงไปตรงมาในหลายเรื่อง ซึ่งทุกอย่างต้องมีจุดเริ่มต้น

นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์เฟซบุ๊กเรื่องพรรคเพื่อไทย ต้องใจกว้างระบุว่า หลังศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้องของนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร กล่าวหานายทักษิณ และพรรคเพื่อไทย ล้มล้างการปกครองแล้ว มีแกนนำพรรคเพื่อไทยหลายคนออกมาแสดงท่าทีเอาคืน โดยดำเนินคดีกับผู้ที่ยื่นคำร้องกล่าวหาพรรคเพื่อไทยล้มล้างการปกครองนั้น ถือว่าเป็นการขัดขวางการทำหน้าที่ของประชาชน ในการตรวจสอบพรรคการเมืองตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ซึ่งพรรคการเมืองทุกพรรคเป็นองค์กรทางการเมือง ที่ประชาชนทุกคนสามารถตรวจสอบและวิพากษ์วิจารณ์ได้ พรรคเพื่อไทยควรใจกว้างมากกว่านี้ ไม่ใช่ผูกใจเจ็บและปิดปากประชาชน ไม่ให้มีการตรวจสอบ ถือว่าเป็นการรังแกประชาชน ซึ่งก่อนหน้านี้พรรคเพื่อไทยเคยวิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกัน  แต่เมื่อผลการปฏิบัติหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญเป็นคุณต่อพรรคเพื่อไทย ก็พยายามนำผลของการวินิจฉัยมาเอาคืนประชาชน ที่ทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม

โพลชี้ศึก ปชน.-พท.แค่ปาหี่

“ขอฝากให้นายทักษิณ ซึ่งเป็นบุคคลสาธารณะ และพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคการเมืองของประชาชน ได้ทบทวนท่าที การเปิดศึกกับประชาชน ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการตรวจสอบพรรคการเมืองของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย” นายเทพไทโพสต์ทิ้งท้าย

วันเดียวกัน ศูนย์สำรวจความคิดเห็นนิด้าโพล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่องพรรคประชาชนเปิดหน้าชนพรรคเพื่อไทย โดยสำรวจประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปทั่วประเทศ รวม 1,310 หน่วยตัวอย่าง โดยเมื่อถามประชาชนถึงความคิดเห็นเกี่ยวกับการวิวาทะระหว่างพรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทยผ่านสื่อขณะนี้ พบว่า 45.27% ระบุว่าเป็นแค่ละครทางการเมืองฉากหนึ่ง เพราะการเมืองไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร  29.16% เป็นแค่ความพยายามที่จะเพิ่มคะแนนเสียงในการเลือกตั้งท้องถิ่น 17.10% เป็นเรื่องจริงจังว่าอยู่ฝั่งตรงข้ามกันแน่นอนในการเลือกตั้งครั้งหน้า และ 8.47% ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

สำหรับความเป็นไปได้ที่พรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทยจะจับมือกันจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า พบว่า 36.72% เป็นไปไม่ได้เลย, 32.37% ค่อนข้างเป็นไปได้, 17.71% เป็นไปไม่ค่อยได้ และ 13.20% เป็นไปได้มาก และเมื่อถามความเชื่อที่ว่าขณะนี้พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคเดียวที่สามารถต่อสู้กับพรรคประชาชนได้ พบว่า 27.86% ค่อนข้างเชื่อ, 25.88% เชื่อมาก, 23.89% ไม่ค่อยเชื่อ, 20.69% ไม่เชื่อเลย และ 1.68% ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ถามถึงความเป็นไปได้ต่อคำกล่าวของนายทักษิณจะได้ สส.เกิน 200 ที่นั่งในการเลือกตั้งครั้งหน้า พบว่า 34.20% เป็นไปไม่ได้เลย, 27.25% ค่อนข้างเป็นไปได้, 24.58% เป็นไปไม่ค่อยได้, 12.29% เป็นไปได้มาก และ 1.68% ระบุว่าไม่ตอบ/ไม่สนใจ ท้ายสุดเมื่อถามความคิดเห็นต่อบุคคลที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง เช่น นายทักษิณ, นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ, นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และนายชัยธวัช ตุลาธน ขึ้นเวทีหาเสียงในฐานะผู้ช่วยหาเสียง พบว่า 46.49% ไม่เป็นไรเพราะกฎหมายไม่ได้ห้าม, 22.75% ถึงกฎหมายไม่ห้ามก็ไม่สมควรขึ้นเวทีหาเสียง, 14.35% ควรแก้กฎหมายห้ามไม่ให้ผู้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองขึ้นเวทีหาเสียง, 12.29% ควรแก้กฎหมายยกเลิกการตัดสิทธิทางการ และ 4.12% ไม่ตอบ/ไม่สนใจ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ล่า ‘หมอบุญ’ เมียแค้นเอาคืน

ออกหมายจับ "หมอบุญ" พร้อมพวก 9 คน ร่วมหลอกลวงประชาชนร่วมลงทุนธุรกิจ รพ.ขนาดใหญ่หลายโครงการ เสียหายกว่า 7,500 ล้านบาท

‘ยิ่งลักษณ์’ กลับคุก ‘บิ๊กเสื้อแดง’ รู้มา! ว่าไปตามราชทัณฑ์ไม่ใช้สิทธิพิเศษ

“เลขาฯ แสวง” ยันเดินหน้าคดี “ทักษิณ-เพื่อไทย” ล้มล้างการปกครองต่อ เพราะใช้กฎหมายคนละฉบับกับศาล รธน. "จตุพร" ลั่นยังไม่จบ! ต้องดูสถานการณ์เป็นตอนๆ ไป