ตั้งกก.สอบผกก.บางซื่อ ทนายปาเกียวเล็งทิ้งตั้ม

“ดีเอสไอ” เตรียมสรุปสำนวนคดี 18 บอสดิไอคอนเสนออัยการคดีพิเศษภายใน 20 ธ.ค.นี้  “ทนายตั้มเอฟเฟกต์” ผบช.น.สั่งตั้งกรรมการสอบ  ผกก.สน.บางซื่อ สภาทนายความไร้กำหนดสอบเรื่องมารยาท “ทนายปาเกียว” ชิ่งแล้ว เตรียมประกาศเลิกทำคดีษิทรา

เมื่อวันที่ 24 พ.ย.2567 พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผู้อำนวยการกองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ ในฐานะโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยความคืบหน้าคดี 18 บอสดิไอคอนว่า เตรียมสรุปสำนวนคดีพิเศษที่ 119/2567 กรณีการดำเนินคดีอาญากับบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด กับพวก  เพื่อส่งพนักงานอัยการในวันที่ 20 ธ.ค. ส่วนคดีพิเศษที่ 115/2567 กรณีฟอกเงิน ซึ่งมี ร.ต.อ.วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นหัวหน้าคณะทำงาน ยังคงอยู่ระหว่างดำเนินการคู่ขนาน เพราะดีเอสไอต้องทำสำนวนคดีมูลฐานอย่างคดีพิเศษที่ 119/2567 นี้ให้เรียบร้อยก่อน เมื่อเสร็จสิ้นแล้วจึงจะได้เข้ากระบวนการเดินเรื่องฟอกเงินต่อไป

พ.ต.ต.วรณันยังกล่าวถึงกรณีสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ได้ประกาศเปิดรับคำร้องขอคุ้มครองสิทธิผู้เสียหายในคดีดิไอคอน และได้กำหนดเวลา 90 วัน เพื่อให้ผู้เสียหายในคดีได้ยื่นคำร้องตามช่องทางที่มีการกำหนดไว้ ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 20 พ.ย.2567-17 ก.พ.2568 ดีเอสไอเห็นว่าควรจะประสานขอความร่วมมือกับทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ผู้เสียหายที่ประสงค์จะร้องทุกข์กล่าวโทษหรือแจ้งความดำเนินคดี ให้แจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วประเทศภายในวันที่ 30 ธ.ค.นี้  เพื่อรักษาผลประโยชน์ของผู้เสียหายเอง และเมื่อแจ้งความเสร็จสิ้นแล้ว ดีเอสไอจะมีหนังสือขอความร่วมมือไปยังตำรวจอีกฉบับคือ ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับแจ้งความให้ออกหลักฐานการรับแจ้งความตามแบบฟอร์มที่ดีเอสไอได้รับการประสานจากกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง  (บช.ก.) เพื่อให้ประชาชนได้เอกสารลงบันทึกประจำวัน และใช้ในการยื่นต่อสำนักงาน ปปง.ได้ด้วย จะได้เป็นการช่วยคุ้มครองสิทธิ์ผู้เสียหายในคราวเดียว โดยหนังสือขอความร่วมมือดังกล่าวนี้จะส่งถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ภายในวันจันทร์ที่ 25 พ.ย.

ขณะเดียวกัน ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล  (บช.น.) พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ลงนามคำสั่งกองบัญชาการตำรวจนครบาล 364/2567 ลงวันที่ 21 พ.ย.2567 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง ด้วยจากกรณีสื่อสังคมออนไลน์ที่ระบุว่า ผกก.สน.บางซื่อ เชื่อมโยงโกงเงินพี่อ้อย 39 ล้านบาท โดยมี พ.ต.อ.ทินกร สมวันดี รอง ผบก.อก.บช.น. เป็นประธาน พร้อมด้วยคณะกรรมการ    ประกอบด้วย พ.ต.อ.วิบูลย์ ถิ่นวัฒนากูล ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน กองบังคับการตำรวจนครบาล 2, พ.ต.ท.กิตติศักดิ์ จูสกุลวิจิตร์ สว.(สอบสวน) สน.พหลโยธิน, พ.ต.ท.ธนกฤษ เฟื่องสังข์ สว.(สอบสวน) (หัวหน้างานคดี) สน.ประชาชื่น กรรมการและเลขานุการ, ร.ต.อ.พชรพล เพ็ชรโสม รอง สว.(สอบสวน) สน.ประชาชื่น กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการสืบสวน ดำเนินการสืบสวนพิจารณาตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎ ก.ตร.ว่าด้วยการสืบสวนข้อเท็จจริง พ.ศ.2556 ให้แล้วเสร็จ แล้วเสนอสำนวนการสืบสวนมาเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป

 “ถ้าคณะกรรมการสืบสวน เห็นว่ากรณีมีมูลว่าผู้ถูกกล่าวหากระทำผิดวินัยในเรื่องอื่นนอกจากที่ระบุไว้ในคำสั่งนี้ หรือกรณีที่การสืบสวนพาดพิงไปถึงข้าราชการผู้อื่นและคณะกรรมการสืบสวนพิจารณาในเบื้องต้นแล้วเห็นว่า ข้าราชการตำรวจผู้นั้นมีส่วนร่วมหรือมีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำในเรื่องที่สืบสวนนั้นอยู่ด้วย ให้ประธานกรรมการรายงานมาโดยเร็ว” หนังสือแต่งตั้งระบุ

ด้านนายวิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ กล่าวถึงการเรียกร้องให้ตรวจสอบพฤติกรรมของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม และนายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือทนายเดชา กระทำผิดมรรยาททนายความว่า เป็นอำนาจของประธานกรรมการมรรยาททนายความต้องดำเนินการหรือออกคำสั่ง เมื่อรับเป็นคดีมรรยาททนายความแล้วจะมีการตั้งกรรมการสอบสวน ซึ่งขั้นตอนเรื่องระยะเวลาในการพิจารณาไม่สามารถระบุได้ว่าจะเสร็จเมื่อไหร่ แต่คณะกรรมการมรรยาทได้เร่งรัดคดีมรรยาททุกคดีที่อยู่ในระหว่างพิจารณาอยู่แล้ว

 “เมื่อคณะกรรมการมารยาทพิจารณาคดีเสร็จสิ้น จากนั้นประธานกรรมการมรรยาทต้องส่งสำนวนพร้อมคำวินิจฉัยให้นายกสภาทนายความทราบภายใน 30 วัน เพื่อให้นายกสภาทนายความนำเข้าสู่ที่ประชุมของคณะกรรมการสภาทนายความกลั่นกรองอีกครั้ง โดยต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน” นายวิเชียรระบุ

ขณะที่ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต​ กล่าวถึงคดีฉ้อโกงของนายษิทราว่า ขณะนี้ทนายตั้มประเมินสถานการณ์ไม่ถูก แม้มีทนายเข้าไปรายงานสถานการณ์ และหากดูจากน้ำเสียงของทนาย สะท้อนให้เห็นว่าแม้แต่ทนายที่อยู่รอบข้างทนายตั้มก็ประเมินสถานการณ์ว่า หากยังคงเดินหน้าประเด็นที่ว่าได้รับเงิน 71 ล้านบาทมาโดยเสน่หา จะไม่สามารถสู้คดีได้ ดังนั้น ทนายสายหยุดจึงคิดแปลงเป็นคดีแพ่ง แล้วให้คืนเงินแทน ทำให้ทนายสายหยุดกับทนายตั้มอาจมีความคิดไม่เหมือนกัน

เมื่อถามถึงความเป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนคดีอาญาเป็นคดีแพ่ง นายปานเทพกล่าวว่า​ ตอนนี้ยากแล้ว เพราะทนายตั้มเตรียมสัญญาไว้ตั้งแต่ต้น สะท้อนให้เห็นว่ามีการคิดวางแผนโดยใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ ฟอกความผิดให้ตัวเองหลังกระทำผิด คดีนี้จึงดิ้นยากมากที่จะเปลี่ยนจากคดีฉ้อโกงเป็นคดีแพ่ง เพราะตอนนี้เป็นคดีฉ้อโกงแน่นอน

ถามถึงความเป็นไปได้ที่ทนายตั้มยังมีหลักฐานเด็ด นายปานเทพกล่าวว่า หากมีหลักฐานเด็ดและเป็นหมัดน็อกได้จริงไม่มีทางมาถึงวันนี้ได้เลย ที่ต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำ รวมถึงภรรยา และคดีที่เพิ่มเป็นคดีฟอกเงิน มีการอายัดทรัพย์และไม่ได้รับการประกันตัว ถ้ามีเด็ดจริงคงโชว์ไปนานแล้ว  แสดงว่าสิ่งที่มีในมือน้ำหนักไม่เพียงพอ และเชื่อว่าคงไม่มีหมัดเด็ดจริง

ต่อมานายปานเทพได้โพสต์เฟซบุ๊กอีกว่า ได้รับการประสานจากนายสายหยุด เพ็งบุญชู หรือทนายปาเกียว ทนายความคู่ใจผู้ได้รับการมอบหมายจากนายษิทราให้เป็นผู้ทำคดีฉ้อโกงมาดามอ้อย 71 ล้านบาท และคดีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องว่า ในวันจันทร์ที่ 25 พ.ย. จะเดินทางไปที่ห้องส่งรายการโหนกระแส เพื่อแถลงข่าวให้สังคมได้รับทราบว่าจะขอถอนตัวออกจากการเป็นทนายความของนายษิทรา โดยนายสายหยุดให้เหตุผลว่า เนื่องจากขณะนี้รู้สึกตัวว่าถูกหลอก โดยเฉพาะจากพยานหลักฐานที่นายษิทราเตรียมไว้ให้ ล้วนเป็นพยานหลักฐานเท็จ เช่น สัญญาการว่าจ้างทำแอปพลิเคชันสลากออนไลน์ ที่เป็นเพียงฉบับร่าง ตอนนี้เอกสารในมือทนายความไม่มีลายเซ็นผู้ใดเลย ประกอบกับได้ทำการสืบสวนในทางลับแล้วว่า เฉพาะสัญญาฉบับนี้ มีการดัดแปลงแต่งเติมแก้ไขจากคอมพิวเตอร์ภายในสำนักงานกฎหมายของนายษิทราหลายครั้งก่อนที่จะส่งถึงมือตนเอง ซึ่งนั่นหมายความว่า นายษิทราอาจพยายามปิดบังข้อเท็จจริงเหล่านี้ ทำให้มิอาจรับทำหน้าที่ทนายความในคดีนี้ให้กับนายษิทราให้ต่อไปอีก

 “ถือเป็นเรื่องโชคดีที่ อ.ปานเทพได้ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่ามีการยื่นข้อมูลพยานและหลักฐานต่างๆ  ในคดีให้พนักงานสอบสวนบ้างหรือยัง โดยยืนยันว่าในขณะนี้ยังไม่ได้ยื่นพยานหลักฐานใดๆ ให้พนักงานสอบสวน มิเช่นนั้น เท่ากับว่าจะเป็นทนายความที่ไม่ได้ทำงานตามข้อเท็จจริงหรืออาจเป็นผู้ร่วมกระทำผิดกฎหมาย”.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง