แจกเฟส2เอื้อเลือกอบจ. เตือนร้องถอดถอนครม.

นายกฯ โชว์วิชั่น Forbes ยันไทยสงบ สันติ หวังแม้รัฐบาลเปลี่ยน แต่นโยบายเพื่อ ปชช.เดินหน้า เผยต่างชาติเจอคำถามแรกถามพ่อ-อาเป็นอย่างไร ย้ำการเมืองมั่นคงมีเสถียรภาพแน่นอน "ครม.สัญจรอิ๊งค์" นัดแรก จัดที่แม่ริมเชียงใหม่ 29 พ.ย. ก่อนถก "คลังสัญจร" เชียงราย ฟื้นฟูพื้นที่เศรษฐกิจ "นิพนธ์" ฟาดรัฐบาลแจกเงินเฟส 2 หวังผลการเมือง ใช้ทรัพยากรชาติสร้างคะแนนนิยมเอาเปรียบคู่แข่งเลือกตั้งท้องถิ่น "สมชัย" เตือนเสี่ยงมีผู้ร้องถอดถอนรัฐบาลทั้งชุด เหตุผิดวินัยการเงินการคลัง

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 21 พฤศจิกายน ที่โรงแรมเดอะริทซ์ คาร์ลตัน, วัน แบงค็อก ถนนวิทยุ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมกิจกรรมการสนทนาแบบ one-on-one ในกิจกรรมของ Forbes Global CEO Conference ครั้งที่ 22 โดยนายกฯ ได้พูดคุยตอบคำถาม มอร์รา ฟอร์บส์ รองบรรณาธิการผู้จัดการ ฟอร์บส์ มีเดีย

นายกฯ กล่าวว่า ตั้งแต่เป็นนายกฯ ตนได้พูดคุยสร้างความเชื่อมั่นให้คนเข้าใจว่าเราอยู่ที่ไหน เพราะการลงทุนสำหรับประเทศไทยตอนนี้มีความสำคัญมาก หลายทศวรรษแล้วที่ประเทศไทยไม่ได้เติบโตอย่างที่คาดคิดไว้ เราจำเป็นต้องมีแหล่งรายได้และแหล่งลงทุนใหม่ๆ ซึ่งตรงนี้เราต้องทำหลายๆ อย่างไปพร้อมๆ กัน ซึ่งนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี วางแผนในการเชิญนักลงทุนมาลงทุนที่ประเทศไทย ถ้าเราได้ยินข่าวมี Google และ Microsoft ที่จะมาลงทุนในไทย เดือนแรกที่ตนกลายเป็นนายกฯ มีนักลงทุนที่เขารู้สึก และยังตั้งคำถามว่ายังลงทุนในประเทศไทยได้หรือไม่ และนโยบายยังคงเดิมหรือไม่ แต่เราอยู่พรรคเดียวกันและมีความใกล้ชิดกัน  ดังนั้นในฐานะรัฐบาล ตนอยากดำเนินนโยบายเรื่องการลงทุนอย่างต่อเนื่อง และจากการพูดคุยกับซีอีโอหลายๆ ท่าน ตนบอกว่ารัฐบาลสนับสนุนเต็มที่สำหรับการลงทุน และตอนนี้เรายังมีอีกหลายดีลและอีกหลายอันที่ยังอยู่ในการเจรจา  ยังเปิดเผยไม่ได้ และบางดีลลงทุนในประเทศไทยไปแล้วและอยากจะลงทุนเพิ่ม เช่น Google กับ Microsoft

นายกฯ กล่าวว่า ประเทศไทยดีขึ้นแล้ว หากการเมืองมีเสถียรภาพ ทุกอย่างก็จะมีเสถียรภาพมากขึ้น จะเกิดความเชื่อใจเชื่อมั่นมากขึ้น ซึ่งคิดว่าจะต้องสร้างความมั่นใจทั้งในประเทศและนอกประเทศก่อน ทำให้คนไทยเชื่อมั่นในรัฐบาลว่ารัฐบาลสนับสนุนจริงๆ ในการทำธุรกิจใหม่ และในประเทศนี้ 75% เป็นเอสเอ็มอี ดังนั้นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมนโยบายของรัฐบาลจึงเป็นเรื่องเอสเอ็มอี เช่น การให้กู้ยืมเงินซอฟต์โลน และโครงการแจกเงิน 10,000 บาท ที่เราดำเนินการเฟส 1 ไปแล้ว และเฟสที่ 2 จะให้คนอายุ 60 ปีขึ้นไป เพราะเรามองว่าคนกลุ่มนี้เขาได้เงินไปแล้วจะใช้ทันทีเพื่อให้เงินสะพัด ส่วนที่มีการตั้งคำถามว่าทำไมต้องมาลงทุนในไทยนั้น เพราะที่ตั้งของเราเป็นศูนย์กลางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราผลิตอาหารได้ดี จะผลักดันเรื่องการส่งออกอาหาร และหลายคนตอบรับ จึงเป็นจังหวะดีที่จะมาลงทุนในไทย

ผู้ดำเนินรายการสอบถามว่า เวลาไปต่างประเทศเวทีต่างๆ คำถามแรกที่ถูกถามเกี่ยวกับมุมมองวิสัยทัศน์เป็นอย่างไร น.ส.แพทองธารกล่าวว่า คำถามแรกที่เจอบ่อยคือพ่อเป็นอย่างไรบ้าง ตนพยายามตอบในมุมของธุรกิจ แต่คำถามที่สองที่ตามมาคือคุณอาเป็นอย่างไรบ้าง เป็นแบบนี้ตลอด แต่เดี๋ยวเย็นนี้ก็ได้ยินเสียงคุณพ่อแล้ว คิดว่าคนยังมองไม่เห็นเมืองไทย แต่เรามีของดี เช่น เรื่องงานฝีมือที่มีคุณภาพแต่ราคาไม่สูง ตนอยากพัฒนาตรงนี้ ให้แรงงานไทยมีค่าแรงที่สูงขึ้น เพราะงานแต่ละชิ้นเป็นงานฝีมือ เวลาไปต่างประเทศตนก็จะพยายามใส่ผ้าไทย ตนเป็นตัวของตัวเองตลอด ใส่สิ่งที่ตัวเองชอบและเลือกเสื้อผ้าของตัวเอง เลือกผ้าไทยผสมกับแบรนด์ไฮเอนด์ เพื่อนำเสนอเมืองไทยในแบบที่ตนรู้สึกภูมิใจ

นายกฯ ยันไทยมีความสงบสันติ

เมื่อถามว่า มองประเทศไทย 5 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร น.ส.แพทองธารกล่าวว่า การศึกษาอยากให้ทุกคนปรับตัวและเรียนรู้ภาษาที่สองมากขึ้น ไม่จำเป็นจะต้องเป็นภาษาอังกฤษ แต่ต้องเป็นภาษาที่เราต้องเรียน เราจะเป็นประเทศที่พร้อมไปด้วยธุรกิจสำหรับอนาคต อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ นโยบายนี้อีก 5 ปีจะได้มองเห็นสิ่งเหล่านี้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น และในอนาคตพวกเรามั่นใจได้เลยว่าการเมืองมั่นคงแน่นอน มีเสถียรภาพแน่นอน ทุกคนอยากเห็นประเทศก้าวหน้าในระยะยาว คิดว่าในอีก 5 ปีผู้คนจะหนีจากประเทศที่มีระดับรายได้ปานกลางได้ โดยรัฐบาลวางแผนไว้ 10 ปีว่าจะสร้างรากฐานให้กับประชาชน ไม่ว่ารัฐบาลเปลี่ยนหรือนายกฯ เปลี่ยน อยากให้นโยบายพื้นฐานยังอยู่กับประชาชน ประโยชน์เหล่านี้อยู่กับประชาชนให้นานที่สุด อย่างนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค 20 ปีที่แล้ว ปัจจุบันก็ยังมีอยู่ ไม่อยากให้ประโยชน์หมดไปอยู่ที่รัฐบาลหมดชุดหนึ่งก็จบ ไม่ได้ อยากจะสร้างรากฐานเข้าไปให้รากยาว แบบนโยบายที่สร้างขึ้นวันนี้พยายามจะให้อยู่ยาวตลอดไป และมั่นใจว่าจะเห็นได้แน่นอน

นายกฯ ยังกล่าวถึงบทบาทของไทยและสหรัฐว่า ตอนที่ได้พูดคุยกับตัวแทนของสหรัฐและจีน รวมไปถึงประเทศอื่นๆ ได้นำเสนอตัวเองในฐานะทูตของสันติภาพและความมั่งคั่ง นี่คือหลักการของประเทศไทย คือความสงบ สันติ และความมั่งคั่ง

ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่ามีกำหนดการการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อย่างเป็นทางการนอกสถานที่ หรือ ครม.สัญจรจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดเชียงราย ระหว่างวันที่ 28 พ.ย.-1 ธ.ค.นี้ โดยเบื้องต้นวันที่ 28 พ.ย. เวลา 20.00 น. นายกฯ ออกเดินทางจากท่าอากาศยานทหาร กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง กรุงเทพฯ ไปยังจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อพักค้างคืน

จากนั้นเริ่มภารกิจแรกวันที่ 29 พ.ย. เวลา 10.00 น. นายกฯ เป็นประธานการประชุม ครม.สัญจร ครั้งที่ 1/2567 ที่หอประชุมทีปังกรรัศมีโชติ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ศูนย์แม่ริม อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่

ขณะที่ในวันที่ 30 พ.ย. กำหนดการเบื้องต้น เวลา 09.45 น. นายกฯ เยี่ยมชมศูนย์การศึกษาห้วยฮ่องไคร้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ จากนั้นเวลา 11.15 น. นายกฯ เป็นประธานพิธีเปิด “โครงการคนไทยห่างไกลโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง NCDs” ที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา อ.เมืองฯ ก่อนที่ช่วงเย็นจะติดตามแก้ปัญหายาเสพติดของ จ.เชียงใหม่

'คลังสัญจร' ที่เชียงราย

จากนั้น วันที่ 1 ธ.ค. นายกฯ เดินทางไปยัง จ.เชียงราย ร่วมประชุมคลังสัญจร ครั้งที่ 1/2567 เพื่อฟื้นฟูพื้นที่เศรษฐกิจและส่งมอบมาตรการช่วยเหลือลดหย่อนด้านภาษีต่างๆ ให้กับประชาชน ที่ด่านศุลกากรแม่สาย อ.แม่สาย เวลา 11.45 น. นายกฯ ลงพื้นที่ติดตามแผนการขุดลอกแม่น้ำ เพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยที่ อ.แม่สาย จากนั้นเวลา 14.00 น. นายกฯ พบปะประชาชนในพื้นที่จังหวัดเชียงราย และมอบบัตรประจำตัวประชาชนแก่บุคคลที่มีปัญหาสถานะทางทะเบียน ที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ GMS เชียงราย ก่อนนายกฯ เดินทางกลับกรุงเทพฯ

นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนา อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วยเหลือประชาชนคนยากคนจนผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปคนละ 10,000 บาท ที่จะได้รับประมาณปลายเดือนมกราคม 2568 ช่วงตรุษจีนว่า ความจำเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องยังต้องทำต่อ โดยเฉพาะการดูแลคนยากคนจน ผู้สูงอายุ หรือการแก้ไขปัญหาหนี้ เพราะวันนี้ผู้ประกอบการธุรกิจเขาก็ประสบปัญหาเรื่องหนี้ที่มีอยู่แล้ว ขณะเดียวกันธุรกิจก็ต้องทำต่อ ฉะนั้นถ้าเราปรับโครงสร้างหนี้ให้เขาสามารถที่จะนำเงินแทนที่จะไปชำระหนี้ทั้งหมดนำเงินมาทำให้กิจการสามารถพยุงต่อไปได้

"ฉะนั้นผมเห็นด้วยที่ตอนนี้จะกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการแจกเงินเพิ่ม 10,000 บาทสำหรับผู้สูงอายุ ถือว่าเป็นการต่อเนื่องภาคที่ 2 ต่อจาก 14 ล้านคนแรก ซึ่งล็อตสองประมาณ 4 ล้านคน ก็จะมีผลในการที่ทำให้มีการหมุนเวียนมีการใช้จ่ายในกลุ่มผู้สูงอายุมากขึ้น และในช่วงปลายปีถือว่าเป็นฤดูการท่องเที่ยวด้วย น่าจะได้ช่วยกันโปรโมตเรื่องการท่องเที่ยว เพราะการท่องเที่ยวเป็นเรื่องที่มีเม็ดเงินที่ไหลไปสู่ทุกอาชีพ ทุกพื้นที่ และทำได้อย่างรวดเร็ว" นายสุวัจน์กล่าว

นายนิพนธ์ บุญญามณี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และอดีตนายก อบจ.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ แสดงความเห็นถึงนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจเฟส 2 ของรัฐบาล  โดยมีการแจกเงินสด 10,000 บาทให้แก่ผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ที่ลงทะเบียนในระบบและยืนยันตัวตนแล้ว รวมกว่า 4 ล้านคน คิดเป็นวงเงิน 40,000 ล้านบาท โดยรัฐบาลระบุว่า  ประชาชนจะได้รับเงินก่อนตรุษจีน 2568 หรือวันที่ 29 มกราคมปีหน้า ซึ่งใกล้กับการเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่น (อบจ.) ทั่วประเทศ โดยจะมีขึ้นในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ตามประกาศของ กกต.

แจกเงินหมื่นหวังผลการเมือง

โดยนายนิพนธ์ได้ตั้งคำถามสำคัญต่อประสิทธิภาพของนโยบายนี้ว่า การแจกเงินนี้ไม่ได้ช่วยเศรษฐกิจ แต่เป็นเพียงแค่การลูบหน้าปะจมูก หรือทำแบบไฟไหม้ฟางเท่านั้น เพราะแม้การแจกเงินสดอาจสร้างความสุขชั่วคราวให้ประชาชนได้ แต่รัฐบาลกลับไม่สามารถติดตามข้อมูลการใช้จ่ายได้เหมือนที่เคยวางแผนไว้ในรูปแบบ Digital Wallet ซึ่งได้ล้มเหลวไปแล้ว พายุหมุนทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลพยายามวาดภาพนั้น ได้เกิดขึ้นจริงหรือยัง หรือเป็นแค่โฆษณาเพื่อสร้างคะแนนนิยม เพราะจนถึงขณะนี้รัฐบาลยังไม่มีคำตอบว่าผลกระทบเชิงบวกที่ชัดเจนต่อเศรษฐกิจคืออะไร และที่สำคัญที่สุดคือ รัฐบาลจะเอาเงินจากไหนมาใช้หนี้จำนวนมหาศาลที่กู้มาแจก

"การแจกเงินในช่วงตรุษจีนแบบนี้ แทนที่จะเป็นนโยบายเพื่อช่วยผู้สูงอายุ กลับกลายเป็นนโยบายที่มุ่งสร้างอานิสงส์ทางการเมือง เพราะอีกเพียงไม่กี่วันก็ถึงการเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่น และสมาชิกสภาท้องถิ่นผู้สมัครในนามพรรครัฐบาลหรือมีความใกล้ชิดกับรัฐบาลย่อมได้รับผลประโยชน์จากเรื่องนี้อย่างชัดเจน ขณะเดียวกัน คู่แข่งกลับไม่มีทรัพยากรในระดับเดียวกันที่จะสร้างความได้เปรียบเช่นนี้"

นายนิพนธ์กล่าวเตือนรัฐบาลว่า ควรมุ่งสร้างนโยบายเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ส่งเสริมการลงทุนเพื่อให้เกิดผลผลิต การจ้างงาน สร้างรายได้ให้ประชาชน โดยเฉพาะการลงทุนด้านผลิตคนที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยีดิจิทัล AI มากกว่าการแจกเงินที่สร้างหนี้และไม่มีผลลัพธ์ในระยะยาว ขอเรียกร้องให้ประชาชนจับตามองว่า รัฐบาลจะจัดการกับหนี้สินที่กู้มาผลาญอย่างไร และเตือนว่าอย่าหลงเชื่อกับ "ความสุขระยะสั้น" ที่มาพร้อมกับต้นทุนมหาศาล ประชาชนต้องได้คำตอบชัดเจนว่า เงินนี้แจกเพื่อใคร เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชนจริงๆ หรือเพื่อคะแนนนิยมและความอยู่รอดทางการเมืองของรัฐบาลและพวกพ้อง

ด้านนายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง โพสต์เฟซบุ๊กหัวข้อ รู้ทันเงินหมื่น ระบุว่า มีเงินงบประมาณเตรียมไว้ในปี 2568 ถึง 187,000 ล้านบาท แทนที่จะใช้ทั้งก้อน กลับกล้าใช้เพียง 40,000 ล้านบาท แก่ผู้อายุเกิน 60 ปี 4 ล้านคน เหตุผลที่อธิบายได้คือ

1.ยังเก็บเงินส่วนที่เหลือไว้โฆษณาอีกหลายรอบ เลี้ยงคะแนนนิยมไว้ อีกเดี๋ยวแจกครับ อีกเดี๋ยวมีเฟสสาม โดยรองวดต่อไป ดิจิทัลแน่ กำลังพัฒนาซอฟต์แวร์

 2.พยายามตีขลุมว่า 60 ปีขึ้นไป คล้ายกลุ่มเปราะบาง เพราะเกษียณแล้ว ไม่มีงาน ไม่มีรายได้ มีปัญหาสุขภาพที่ต้องดูแล จึงมีเหตุผลที่แจกได้แบบเดียวกับกลุ่มเปราะบาง ไม่เสี่ยงถูกกล่าวหาว่าเป็นการใช้งบประมาณเพื่อหาเสียง

3.ที่แจกก่อนตรุษจีน ให้ดูเหมือนเป็นอั่งเปาให้จับจ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจ จะแจกปีใหม่อาจเร็วไป ต้องเคลียร์เฟสแรกให้เสร็จก่อนปีใหม่

4.ช่วงตรุษจีน คือ 29-31 มกราคม 2567 การเลือกสมาชิก อบจ.ทั้งประเทศ คือ เสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 โดยพรรคเพื่อไทยคงส่งผู้สมัครทั้งประเทศแน่นอน

5.มันใกล้กันขนาดนั้น ต้องระวังว่า จะมีผู้ร้องถอดถอนรัฐบาลทั้งชุด เนื่องจากทำผิด พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 มาตรา 9 วรรคสาม “คณะรัฐมนตรีต้องไม่บริหารราชการแผ่นดินโดยมุ่งสร้างความนิยมทางการเมืองที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ” แน่นอนครับ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง