ยธ.เมินแจงกมธ. ปมนักโทษเทวดา รพ.ตำรวจชั้น14

ชั้น 14 น่าพิศวง "โรม" กวักมือเรียก “ทักษิณ” ไปสภา เข้าแจง กมธ.มั่นคงฯ พิสูจน์ป่วยจริง-ป่วยทิพย์ ยันไม่มีการกลั่นแกล้งทางการเมือง สุดท้ายเผยไต๋ ครอบครัวนายทักษิณไม่ได้รับความชอบธรรม กมธ.ความมั่นคงฯ-ยุติธรรมโต้กันเดือด ปมนักโทษเทวดา ห้องวีไอพี รพ.ตำรวจ

 เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2567 นายรังสิมันต์ โรม รองหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีเชิญนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าชี้แจงต่อที่ประชุม กมธ. ในวันที่ 22 พ.ย.ว่า บุคคลที่เชิญจะมาหรือไม่ จะทราบในช่วงเช้าว่าสุดท้ายแล้วจะมีใครมาบ้าง แต่ไม่ว่าจะมาหรือไม่มา แต่ข้อวิจารณ์ของสังคมได้เกิดขึ้นแล้ว

"ฉะนั้นการที่บุคคลที่เชิญแล้วไม่มา อยากให้ฝ่ายต่างๆ ที่ถูกเชิญพิจารณาด้วยข้อเท็จจริงว่าการไม่มาหมายความว่าคุณไม่มีโอกาสในการชี้แจง แต่หากคุณมา แสดงว่าคุณมั่นใจว่าสิ่งที่คุณทำเป็นการกระทำที่ถูกต้อง ชอบด้วยกฎหมายและเป็นการกระทำที่อยู่บนวิสัยที่ไม่ได้มีมาตรฐานพิเศษเหนือกว่าใคร"

นายรังสิมันต์กล่าวต่อว่า ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกังวล เพราะการที่คุณมาบอกกับ กมธ.ว่าสิ่งที่คุณทำไปถูกต้องอย่างไร หรือกรณีของนายทักษิณ ที่ กมธ.เชิญ ซึ่งสังคมคิดว่านายทักษิณป่วยจริงหรือไม่ การมาชี้แจงถือเป็นโอกาส จะได้ลบข้อครหา ข้อวิจารณ์ต่างๆ ที่สังคมมีต่อนายทักษิณ การที่เราเปิดพื้นที่ใน กมธ. และพิจารณา จริงๆ แล้วเป็นโอกาสของทุกฝ่าย ตนคิดว่าคำถามหลายๆ คำถามที่เราถาม เป็นคำถามที่อยู่บนพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และพื้นฐานหลักกฎหมาย ดังนั้น ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกังวลเลยว่า กมธ.จะเล่นการเมืองหรือไม่ กลั่นแกล้งกันหรือไม่

 “ต่อให้คุณเชื่อแบบนั้น ถ้าคุณตอบคำถามได้ ผู้ที่ต้องการกลั่นแกล้งคุณก็จะถูกสะท้อนกลับไปที่ตัวเขาเอง สุดท้ายสังคมก็จะเชื่อในข้อเท็จจริงที่ฝ่ายรัฐบาลพยายามอธิบาย มันก็จะจบอยู่ตรงนั้น ยืนยันว่า อยากให้มองเป็นโอกาส และถ้าสุดท้ายเขาเหล่านั้นไม่มา ข้อวิจารณ์ต่างๆ ของสังคม ก็เหมือนกับว่าสังคมจะได้รับคำตอบแล้วว่าเรื่องชั้น 14 ความจริงคืออะไร” นายรังสิมันต์ กล่าว

เมื่อถามว่า การประชุมในครั้งนี้จะไม่คว้าน้ำเหลวเหมือนครั้งที่ผ่านมาหรือไม่ นายรังสิมันต์กล่าวว่า การประชุมรอบที่แล้วตนไม่คิดว่าเป็นเรื่องคว้าน้ำเหลว แต่เราได้ข้อเท็จจริงหลายอย่าง  และเชื่อว่าเป็นข้อเท็จจริงที่หลายฝ่ายไม่เคยทราบมาก่อน เป็นเรื่องที่ตนคิดว่าพิศวงอยู่ เช่น การพิจารณาใช้เวลาตัดสินใจเพียง 4 นาที, การที่ไม่มีแม้กระทั่งหมอเลยที่มาดูอาการของนายทักษิณ คิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ตนคิดว่าไม่คว้าน้ำเหลว

 “สมมติว่าคุณทักษิณบริสุทธิ์ใจ มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิดพลาด ไม่ได้ใช้บารมี พูดง่ายๆ คือป่วยจริงๆ ผมคิดว่ามันก็จะจบ และประชาชนก็จะมองรัฐบาลและไว้วางใจมากขึ้น วันนี้เราต้องยอมรับว่าปัญหาอย่างหนึ่งที่เป็นปัญหารากฐานสำคัญก็คือประชาชนจำนวนมาก ไม่ไว้วางใจรัฐบาล และการไม่ไว้ใจรัฐบาลนี้ทำให้สุดท้ายรัฐบาลทำอะไรไปก็จะมีข้อวิพากษ์วิจารณ์ตลอด เพราะคุณเริ่มต้นจากการสร้างความไม่ไว้วางใจ ที่ทำให้เรื่องชั้น 14 กลายเป็นเรื่องพิศวง พวกเราประชุมมา 55 ครั้ง เราไม่เคยได้รับบรรยากาศการพิจารณาที่ดูยากขนาดนี้มาก่อน พอคุณทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องพิศวง และเป็นเรื่องต้องห้าม เป็นเรื่องที่ไม่สามารถพิจารณาได้ สุดท้ายความไว้วางใจที่ประชาชนมองรัฐบาล ก็จะมองว่ารัฐบาลพยายามปกปิดอะไรบางอย่างเกิดขึ้นต่อไป” นายรังสิมันต์กล่าว

ต่อข้อถามว่า มองอย่างไรที่นายทักษิณระบุว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์จะกลับบ้านในวันสงกรานต์ปีหน้า เรื่องนี้ตนไม่อยากทำนายอะไรมาก เพราะเราอยู่บนพื้นฐานทางการเมืองที่ไม่แน่นอน ดังนั้นต้องรอดูตามข้อเท็จจริงว่าสุดท้ายแล้วจะมีกลไกทางกฎหมายอย่างไร ถ้า น.ส.ยิ่งลักษณ์กลับมา ก็ต้องดูว่าใช้วิธีการอะไร ตนคิดว่าปัญหาการเมืองไทยมี และปัญหาที่เกิดขึ้นกับครอบครัวนายทักษิณ ซึ่งความไม่ชอบธรรมก็มี แต่วิธีการที่จะแก้ปัญหาเรื่องนี้ ไม่ได้กลายเป็นนายทักษิณและครอบครัวเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของความชอบธรรม หรือปัญหาทางการเมืองที่สับสนอยู่ ดังนั้นวิธีการที่ดีที่สุดในเวลานี้คือต้องพยายามหาทางออกและแก้ปัญหาทางการเมือง แต่ขณะเดียวกัน การใช้วิธีพิสดารที่จะทำให้ตัวเองสามารถกลับประเทศได้ ก็คงเป็นวิธีการที่เราไม่สามารถยอมรับได้

ด้านนายปิยรัฐ จงเทพ สส.กทม.พรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะโฆษก กมธ. แถลงตอบโต้กระทรวงยุติธรรม ที่กล่าวหาว่า กมธ.ไม่มีอำนาจในการตรวจสอบนายทักษิณ และเตรียมส่งเรื่องให้นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้ชี้ขาด

เขากล่าวว่า กรณีที่ที่ปรึกษา รมว.ยุติธรรมระบุว่าได้ทำหนังสือท้วงติงถึง กมธ.ทุกคน ว่าไม่มีอำนาจเชิญหน่วยงานของกระทรวงยุติธรรม กรณีนายทักษิณรักษาตัวชั้น 14 แต่ทางกรมราชทัณฑ์กลับไปแถลงข่าวก่อน ทั้งที่ประทับตราลับไว้แล้ว ตนยืนยันว่า กมธ.ได้ทำหนังสือเชิญกรมราชทัณฑ์มาแล้ว 1 รอบ เมื่อวันที่ 7 พ.ย. ซึ่งกรมราชทัณฑ์ก็มาชี้แจงต่อ กมธ.แล้ว ตอบได้บ้างไม่ได้บ้าง และฝ่ายผู้อำนวยการกองกฎหมายของกรมราชทัณฑ์ก็เสนอต่อ กมธ.เองว่าขอให้  กมธ.มีมติเป็นคำสั่งให้กรมราชทัณฑ์ส่งคำชี้แจงเป็นหนังสือ ซึ่งตนยังแย้งไปว่าถ้าเมื่อไหร่ทาง กมธ.มีมติเรียกเอกสารจากกรมราชทัณฑ์มา แล้วท่านไม่มา ก็จะมีความผิดตาม พ.ร.บ.คำสั่งเรียกฯ ก็จะมีความผิดทางวินัยในฐานะข้าราชการ ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ ยังบอกไปว่าอย่าให้ถึงกับมีคำสั่งเรียกเลย ไม่แน่ใจว่าเจ้าหน้าที่ที่มาชี้แจงจะเข้าใจหรือไม่ แต่เขาก็ยังให้ทำหนังสือไปถึงกรมราชทัณฑ์ ซึ่ง กมธ.ก็ทำให้ ในหนังสือที่ทำไปก็ชัดเจนว่าต้องการศึกษาปัญหาและแนวทางการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม   กรณีกรมราชทัณฑ์ให้อดีตนายกรัฐมนตรีพักรักษาตัวในโรงพยาบาลตำรวจกับการใช้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ซึ่งเป็นสิ่งที่เราทำหนังสือไป

"ผมอยากให้ทางหน่วยงานของกระทรวงยุติธรรม โดยเฉพาะอธิบดี รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ที่ทำหนังสือมาถึงเรา ที่บอกว่าเราทำหน้าที่ขัดรัฐธรรมนูญตามมาตรา 129 วรรค 2 ว่าเราทำหน้าที่ซ้ำซ้อนกับ กมธ.อื่นนั้น ท่านมีอำนาจอะไรมาวินิจฉัย ทั้งที่เราทำหน้าที่ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและข้อบังคับการประชุมสภาด้วยซ้ำไป ขอให้โต้แย้งมาว่าเราไม่ได้ประชุมเรื่องการปฏิรูปอย่างไร"

เมื่อถามว่า มองว่าการแถลงในครั้งนี้ กระทรวงยุติธรรมมีเป้าประสงค์อย่างไร โฆษก กมธ.ตอบว่า เพราะ รมว.ยุติธรรมมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ ดังนั้น รัฐมนตรีน่าจะมาชี้แจงด้วยตัวเองจะดีกว่า ยืนยันกับ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ว่าเรื่องนี้จะไม่นำมาเป็นเรื่องเล่นงานหรือหาเสียงทางการเมืองแต่อย่างใด แต่ต้องการให้มาชี้แจงข้อเท็จจริง แล้วนำข้อเท็จจริงนี้มาปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม เราได้ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ต้นน้ำคือเรื่องตำรวจแล้ว เรากำลังไปปฏิรูปกระบวนการศาล กระบวนการราชทัณฑ์ต่อไป แค่นำเรื่องนี้เข้ามาศึกษาเท่านั้นเอง

ที่กระทรวงยุติธรรม ก่อนหน้านี้ นายสมบูรณ์ ม่วงกล่ำ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยนายวรชัย บุตรดาบุตร เลขานุการกรมราชทัณฑ์, นายณรงค์ หนูคง ผู้ตรวจราชการกรมราชทัณฑ์ และ น.ส.วริศรา กุญชร ณ อยุธยา ผอ.กองกฎหมาย กรมราชทัณฑ์ ร่วมกันแถลงข่าวเกี่ยวกับการชี้แจงต่อ กมธ.

นายสมบูรณ์กล่าวว่า กรมราชทัณฑ์ พิจารณาสรุป มี 3 เรื่องที่ไม่อยู่ในอำนาจของ กมธ.ความมั่นคงฯ คือ 1.ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มาตรา 129 วรรค 2 การสอบหาข้อเท็จจริงต้องเป็นเรื่องในอำนาจหน้าที่ระบุไว้ในการตั้ง กมธ.ของแต่ละชุด และหน้าที่ของ กมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐฯ ชุดดังกล่าวมีหน้าที่ตรวจสอบหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งรัฐ การค้าชายแดน จุดผ่านแดน และผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ดังนั้น จึงไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของ กมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐฯ

2.การดำเนินการตรวจสอบดังกล่าวเป็นการทำงานซับซ้อนกับ กมธ.ตำรวจ ที่มีการเชิญกรมราชทัณฑ์ไปชี้แจงแล้ว ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มาตรา 129 (2) กรณีดังกล่าวต้องให้มีคณะกรรมการร่วมกันดำเนินการเป็นเรื่องเดียวกัน และคณะทำงานเดียวกัน ซึ่งเป็นตามข้อบังคับและระเบียบการประชุม

3.ปัจจุบันมีองค์กรอิสระ เช่น ป.ป.ช. ไต่สวนรวบรวมข้อเท็จจริง ขอเอกสารจากกรมราชทัณฑ์, สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ หรือคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนก็ทำความเห็นในเรื่องนี้ ซึ่งหน่วยงานองค์กรอิสระดำเนินการพิจารณาอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม กรมราชทัณฑ์มีหนังสือถึงประธานสภาผู้แทนฯ และ กมธ.ความมั่นคงฯ เมื่อวันที่ 20 พ.ย.นี้ ส่วนกำหนดประชุมวันที่ 22 พ.ย. รมว.ยุติธรรมยังมีความกังวลว่า กมธ.ความมั่นคงฯ ทำถูกต้องข้อบังคับหรือไม่ และยังไม่ให้คำตอบว่าจะเดินทางไปหรือไม่ รวมทั้งอธิบดีกรมราชทัณฑ์ด้วย

ส่วนค่ารักษาของนายทักษิณที่โรงพยาบาลตำรวจ ชั้น 14 สูงถึงหลักล้านบาทนั้น นายสมบูรณ์กล่าวว่า ไม่สามารถตอบได้ เพราะได้รับมอบหมายเพียงการชี้แจงเรื่อง กมธ.ความมั่นคงฯ เท่านั้น นอกจากนี้ ทราบว่าตัวแทนทางโรงพยาบาลตำรวจมีรายชื่อเชิญไปเช่นกัน แต่ตนไม่ทราบรายละเอียด

ซักว่าประเด็นที่หลายคนสงสัยว่า หากในวันที่ 22 พ.ย.นี้ไม่เข้าไปชี้แจง จะเป็นข้ออ้างในเรื่องข้อกฎหมายเพื่อใช้ปกปิดในประเด็นใดหรือไม่  นายสมบูรณ์กล่าวว่า ปัจจุบัน ป.ป.ช.ได้มีการเรียกเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ไปสอบถาม ซึ่งมีรายละเอียดยิบย่อยจำนวนมาก จึงไม่มีสิ่งใดที่เราจะปกปิดได้แน่นอน ถ้าเรื่องนี้เป็นอำนาจหน้าที่ของ กมธ. ก็ให้ยืนยันมาเลยว่าทำถูกต้องแล้ว และหากประธานรัฐสภาส่งคำตอบกำหนดให้เราเข้าไปชี้แจงต่อ กมธ.ความมั่นคงฯ เราก็พร้อมเข้าไปชี้แจง.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

กมธ.มั่นคงฯ ขอดูลาดเลาปม MOU44 ให้รอบด้าน

'กมธ.มั่นคง' ขอฟังข้อมูลปม MOU 44 รอบด้าน หลังหลายฝ่ายมีความเห็นต่าง 'โรม' ยันยึดประโยชน์ประเทศชาติเป็นหลัก เล็งใช้กลไกสภาเดินหน้าตรวสอบ เหตุเรื่องรื้อรังมานาน