สั่งประหารชีวิต ‘แอม ไซยาไนด์’ คุกผัวเก่า-ทนาย

ศาลพิพากษาประหารชีวิต "แอม ไซยาไนด์" วางยาฆ่าก้อย พร้อมชดใช้ 2.3 ล้าน  ส่วน "อดีตสามีนายตำรวจ-ทนายพัช" โดนคุก 2 ปี  แม่เหยื่อปล่อยโฮลูกได้รับความยุติธรรม ตร.เตรียมอีก 14 สำนวน ส่งอัยการ 26 พ.ย.

ที่ห้องพิจารณา 713 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก  เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ศาลอ่านคำพิพากษาคดีที่ พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 5 และมารดาผู้เสียชีวิต ร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้อง นางสรารัตน์ รังสิวุฒาภรณ์ หรือแอม ไซยาไนด์ อายุ 36 ปี จำเลยที่ 1 ความผิดฐานฆ่าอื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เพื่อตระเตรียมการหรือเพื่อสะดวกในการที่จะกระทำความผิดอย่างอื่น, ชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย, ปลอมปนอาหาร ยาหรือเครื่องอุปโภคอื่นใด เพื่อบุคคลอื่นเสพหรือใช้ และการปลอมปนนั้นเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย ส่วน พ.ต.ท.วิฑูรย์  รังสิวุฒาภรณ์ อายุ 40 ปี อดีตสามี และอดีตรอง ผกก.สภ.สวนผึ้ง จำเลยที่ 2 และ น.ส.ธันย์นิชา เอกสุวรรณวัฒน์ หรือทนายพัช อายุ 36 ปี จำเลยที่ 3 ในความผิดฐานช่วยเหลือจำเลยที่ 1 มิต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลง และซ่อนเร้นทำลายหลักฐาน  พร้อมเรียกค่าเสียหายจำนวน 30 ล้านบาท

สำหรับคดีนี้ อัยการโจทก์ระบุฟ้องพฤติการณ์ความผิดพวกจำเลยต่อศาลอาญาเมื่อวันที่ 18 ก.ค.66 สรุปว่า เมื่อวันที่ 14 เม.ย.2566 นางสรารัตน์ จำเลยที่ 1 มีเจตนาฆ่า น.ส.ศิริพร ขันวงษ์ หรือก้อย อายุ 32 ปี โดยนำสารโพแทสเซียมไซยาไนด์ ซึ่งเป็นสารพิษปลอมปนใส่ลงในอาหาร หรือน้ำดื่ม และปริมาณเท่าใดไม่ปรากฏชัด ให้ผู้ตายดื่มหรือรับประทาน ระหว่างที่จำเลยที่ 1 กับผู้ตายซึ่งเป็นเพื่อนกันเดินทางไปปล่อยปลาที่ท่าน้ำ ต.บ้านโป่ง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ก่อนที่ผู้ตายจะหมดสติ และเสียชีวิตเวลาต่อมา โดยจำเลยที่ 1 ไม่ได้ให้การช่วยเหลือและนำทรัพย์สินผู้ตาย 9 รายการ มูลค่า 154,630 บาท ของผู้ตายไปให้แก่ผู้มีชื่อ เพื่อซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำให้สูญหาย หรือไร้ประโยชน์ ตามที่จำเลยที่ 3 ได้ใช้ หรือยุยงส่งเสริมจำเลยที่ 2 เพื่อมิให้เจ้าพนักงานตำรวจติดตามหาทรัพย์ของผู้ตาย เพื่อเป็นการช่วยเหลือจำเลยที่ 1 มิให้ต้องรับโทษตามกฎหมาย หรือให้ได้รับโทษน้อยลงอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย

จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดี โดยจำเลยที่ 1 ถูกคุมขังในทัณฑสถานหญิงกลาง ส่วนจำเลยที่ 2-3 ได้รับการประกันตัว โดยศาลตีราคาประกันคนละ 1 แสนบาท

โดยก่อนอ่านคำพิพากษา ศาลให้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ใส่กุญแจมือจำเลยทั้ง 3 ราย ยืนฟังการอ่านคำพิพากษาตลอดเวลา ซึ่งโดยปกติหากมีการอ่านคำพิพากษานาน ศาลจะอนุญาตให้นั่งฟังได้และไม่ต้องใส่กุญแจมือ

ศาลพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีว่า ช่วงวันที่ 1  ม.ค.63 ถึง 5 พ.ค.66 จำเลยที่ 1 มีเงินหมุนเวียนในบัญชีมากกว่า 95 ล้านบาท และมีเส้นทางการเงิน เชื่อมโยงอีก 10 บัญชี ที่ตรวจสอบพบว่าเป็นบัญชีม้าและเกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์ พร้อมกับมีหนี้สินจำนวนมาก ส่วนในปี 64-65 พบว่าจำเลยที่ 1 เสียเงินให้กับพนันออนไลน์จำนวนมาก และมีผู้เสียชีวิตมากขึ้นกว่าเดิมในช่วงเวลาดังกล่าว ต่อมามีพยานที่เป็นผู้เสียหายถูกจำเลยที่ 1 หลอกลวงเพื่อวางยาในน้ำดื่มและในยาเม็ดแคปซูล ต่อมาพบว่ามีอาการเหมือนถูกพิษ ข้อเท็จจริงยังได้ความว่ามีการเสียชีวิตของผู้เสียหายที่เกี่ยวพันลักษณะนี้ 13 ราย และรอดชีวิต 2 ราย

ส่วนการเสียชีวิตของ น.ส.ศิริพร หรือก้อย มีการกระทำหลายอย่างของจำเลยที่ 1 ที่เป็นพิรุธ ที่แสดงให้เห็นถึงเจตนาและความคาดหมายว่าจะให้เสียชีวิตในช่วงเวลาใด รวมถึงจำเลยที่ 1 คอยอยู่ใกล้ผู้ตายเพื่อขโมยของ ก่อนที่จะมีผู้อื่นเข้ามาช่วยเหลือ ซึ่งหากบริสุทธิ์จริงควรอยู่ช่วยชีวิตจนถึงที่สุด หรือโทร.ติดต่อญาติของผู้ตายให้ทราบ จึงเชื่อได้ว่าจำเลยที่ 1 มีการวางแผนมาตั้งแต่ต้น ยังพบข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ได้สั่งไซยาไนด์มาอย่างเร่งรีบ ทั้งที่ไม่มีอาชีพเกี่ยวกับสารเคมี และพบว่ามียาไซยาไนด์ซ่อนอยู่ภายในรถยนต์ของผู้ตายหลายจุด รวมถึงพบยาเม็ดแคปซูลที่ภายในประกอบด้วยสารไซยาไนด์ซ่อนอยู่ในห้องโดยสารรถยนต์ คดีนี้แม้ไม่มีประจักษ์พยาน แต่พฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ที่เห็นผู้ตายล้มลงและยังลักทรัพย์ผู้ตายโดยไม่ช่วยเหลือ และภายหลังผู้ตายเสียชีวิตด้วยไซยาไนด์ เรียกได้ว่ากรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา ฟังได้ว่าจำเลยฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเพื่อประโยชน์แห่งการชิงทรัพย์ พยานหลักฐาน

จำเลยที่ 2 ทราบว่าตำรวจกำลังตามหาของกลาง ที่มีประเด็นหลักฐานสำคัญซึ่งเป็นกระเป๋าของกลางไปส่งให้กับจำเลยที่ 1 แทนที่จะนำไปให้พนักงานสอบสวน ตามคำยุยงของจำเลยที่ 3 ส่วนจำเลยที่ 3 ในฐานะเป็นทนายความที่จำเลยที่ 1 ให้ความเชื่อถือ ได้ยุยงให้จำเลยที่ 1 ปกปิดกระเป๋าซึ่งเป็นของกลางในคดี เพื่อเป็นแนวทางในการชนะคดี พยานหลักฐานโจทก์รับฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 ได้คุยและส่งผลคำพิพากษาศาลฎีกาที่ชนะคดีได้โดยไม่มีของกลาง ให้จำเลยที่ 1 และ 3 อ่านในกลุ่มไลน์ที่สร้างขึ้น เพื่อจูงใจให้จำเลยซ่อนเร้นพยานหลักฐานในคดี การกระทำจึงไม่ใช่แค่การให้คำแนะนำทางกฎหมาย แต่เป็นการยุยงให้จำเลยที่ 2 กระทำความผิด ซึ่งอาชีพทนายความเป็นอาชีพที่มีเกียรติมีศักดิ์ศรี แต่จำเลยกลับกระทำการให้มีการทำผิดกฎหมาย

พยานโจทก์และโจทก์ร่วมมีน้ำหนัก ศาลรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ถึง 3 กระทำผิดตามฟ้อง ส่วนทางคดีแพ่ง โจทก์ร่วมขอให้ชดใช้ ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าควรชำระค่าขาดอุปการะ ค่าปลงศพ และค่าเสียหายจากทรัพย์พร้อมดอกเบี้ย ให้ชำระให้โจทก์ร่วม เป็นเงิน 2,343,588 ล้านบาท

ศาลพิพากษาว่า จำเลยทั้ง 3 กระทำผิดตามฟ้อง เห็นว่าการกระทำของนางสรารัตน์ เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักสุด ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเพื่อกระทำอย่างอื่น พิพากษาประหารชีวิต

ส่วน พ.ต.ท.วิฑูรย์ รังสิวุฒาภรณ์ อดีตสามี และอดีตรอง ผกก.สภ.สวนผึ้ง จำเลยที่ 2 และ น.ส.ธันย์นิชา เอกสุวรรณวัฒน์ หรือทนายพัช จำเลยที่ 3 มีความผิดฐานช่วยเหลือจำเลยที่ 1 มิต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลง และซ่อนเร้นทำลายหลักฐาน ลงโทษจำคุกคนละ 2 ปี แต่ พ.ต.ท.วิฑูรย์ จำเลยที่ 2 ให้การเป็นประโยชน์ ลดโทษ 1 ใน 3 คงจำคุก 1 ปี 4 เดือน และให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ร่วม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลได้ใช้เวลาอ่านคำพิพากษาประมาณ 3 ชั่วโมงเศษ ตั้งแต่ช่วง 09.30-12.30 น.เศษ ขณะที่แอม เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์เบิกตัวมาจากทัณฑสถานหญิงกลาง โดยมีสีหน้าเรียบเฉย สวมแว่นตา สวมหน้ากากอนามัยสีน้ำเงิน ร่างกายซูบผอมลง และตลอดการฟังคำพิพากษา แอมหันมาคุยกับทนายพัชตลอด โดยไม่หันไปทางสามี (จำเลยที่ 2) เลย และมีอาการเคร่งเครียด ส่วนมารดาและครอบครัวของ น.ส.ก้อย ผู้เสียชีวิต หลังฟังคำพิพากษาต่างร้องไห้โฮและกอดกันด้วยความดีใจ

ภายหลังมีคำพิพากษา นางพิน แม่ของ น.ส.ก้อย เปิดใจพร้อมน้ำตา กล่าวขอบคุณศาลที่ให้ความยุติธรรม และอยากจะบอกกับลูกสาวว่า “ได้รับความเป็นธรรมแล้ว ขอให้นอนหลับให้สบาย ไม่มีอะไรที่ต้องห่วง”

นอกจากนี้ นางพินยังกล่าวด้วยว่า ทันทีที่ได้เจอหน้าแอม ไซยาไนด์ ในห้องพิจารณาคดี ด้วยความที่ตนยังรู้สึกโกรธแค้นไม่อยากจะมองหน้า แต่พอเหลือบไปเห็นสายตาแอม ก็ยังดูปกติ ไม่มีท่าทีสลด ขนาดศาลมีคำพิพากษาให้ประหารชีวิตแอมก็ยังดูเป็นปกติ

ด้านนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความ เปิดเผยว่า วันนี้ศาลได้ให้ความเป็นธรรมกับผู้เสียหาย ซึ่งวันนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ศาลพิพากษา แต่มีการพูดถึงพยานจากคดีอื่นด้วย ซึ่งสามารถนำคำพิพากษาในคดีนี้เป็นแนวทางในการพิพากษาคดีอื่นที่เกี่ยวกับแอมและมีการเสียชีวิตอีกด้วย ส่วนคดีอื่นที่เกี่ยวกับแอม 14 คดี ทราบจากพนักงานสอบสวนกองปราบฯ ที่เจอกันวันนี้ว่า พนักงานสอบสวนจะนำสำนวนพร้อมความเห็นทางคดีมามอบให้กับพนักงานอัยการในวันที่ 26 พ.ย.นี้

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า จำเลยที่ 2-3 ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์ ศาลพิจารณาคำร้องพร้อมหลักทรัพย์แล้วอนุญาตปล่อยชั่วคราว ตีราคาประกันคนละ 1 เเสนบาท ไม่ได้กำหนดเงื่อนไข.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

กดดันรางวัลเยอะ ‘แพทองธาร’ ดีใจนึกว่ามีแต่คนต่อว่าในโซเชียลมา 3 เดือน!

"อิ๊งค์" กดดันหนัก! บริหารประเทศ 3 เดือนได้รางวัลเพียบ ดีใจโพลสำรวจ ปชช.ให้เบอร์ 1 “นักการเมืองแห่งปี” นึกว่ามีแต่คนต่อว่าในโซเชียล "หมอวรงค์" เฉ่งยับ!