“บิ๊กอ้วน” บอกให้คนอุดรธานีเป็นผู้ตัดสินวิวาทะ “ทักษิณ-ปชน.” นักร้องเมินเสียงพ่อนายกฯ แขวะ “สนธิญา" ยื่น กกต.ให้ตรวจว่าถือสัญชาติมอนเตเนโกรหรือไม่ ส่วน “นพรุจ” ส่งคลิปคำปราศรัยมัด “พี่โทนี่” ตอกย้ำครอบงำชัดเจน “พรรคประชาชน” เปิดตัวผู้สมัครชิงเก้าอี้นายก อบจ. 12 จังหวัด "หัวหน้าเท้ง" มั่นใจอย่างน้อยทุกภูมิภาคสีส้มต้องเบ่งบาน
เมื่อวันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2567 ยังคงมีควันหลงจากการขึ้นเวทีช่วยหาเสียงนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี (อบจ.อุดรธานี) ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีพรรคประชาชน (ปชน.) ขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงนายก อบจ.อุดรธานี และมีการตอบโต้นายทักษิณหลายประเด็นว่า รอให้ประชาชนชาวอุดรธานีตัดสินใจ ไม่มีความเห็น
ผู้สื่อข่าวถามว่า หลายคนตั้งคำถามการที่นายทักษิณขึ้นปราศรัย และนำนโยบายของรัฐบาลขึ้นปราศรัยด้วยถือว่าเกินอำนาจหรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า ก็ว่าไปตามกระบวนการ กฎหมายมีอยู่แล้ว อะไรที่ผิดกฎหมายก็ว่าไป อะไรที่ถูกกฎหมายก็ไม่มีปัญหา
นายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกฯ กล่าวเรื่องนี้ว่า เป้าหมายของนายทักษิณในการปราศรัยคือจะได้ สส. 200 คน เป็นเป้าหมายของพรรคเพื่อไทย และที่เคยคุยกันไว้ถึง 220 คนด้วยซ้ำไป ถือเป็นเป้าหมายของพรรคการเมืองในการเลือกตั้ง จึงอยากให้พรรค ปชน.พูดถึงการเสนอนโยบาย ทำการเมืองสร้างสรรค์ เอาพอหอมปากหอมคอ และขอฝากไปยังคนที่เห็นต่างว่าความคิดเห็นที่ต่างกันเป็นเรื่องปกติ แต่อย่าปั่นกระแสทำลายกัน ซึ่งไม่ใช่เรื่องดี อยากให้พูดเรื่องนโยบายและสิ่งที่จะทำให้ประชาชนดีกว่า อย่าให้ถึงขนาดเอาทุกตัวอักษรมาเล่ากัน หรือเอาทุกคำพูดมาเล่ากัน เพราะมันจะไม่จบสิ้น
ขณะเดียวกัน ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายสนธิญา สวัสดี นักเคลื่อนไหว ยื่นหนังสือขอให้ กกต.ตรวจสอบกรณีนายทักษิณ ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงถือสัญชาติไทยและสัญชาติมอนเตเนโกร หรือสัญชาติอื่นด้วยหรือไม่ เนื่องจากอาจเข้าข่ายผิดกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่น กฎหมายพรรคการเมืองและรัฐธรรมนูญ
นายสนธิญาระบุว่า แม้นายทักษิณเป็นคนไทย มีสิทธิเสรีภาพที่จะทำทุกอย่างตามรัฐธรรมนูญไทยทุกประการ แต่อยากให้ กกต.ตรวจสอบและพิจารณาวินิจฉัย เนื่องจากจะไปเกี่ยวพันกับ พ.ร.บ.การเลือกตั้งสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น 2562 มาตรา 68 เนื่องจากนายทักษิณไม่ได้อยู่ประเทศไทยมาเป็นเวลา 17 ปี และตนได้ทราบข่าวว่าถือสัญชาติมอนเตเนโกร และซื้อเกาะแห่งหนึ่งในประเทศดังกล่าวมูลค่า 20 ล้านปอนด์ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขณะดำรงตำแหน่งนายกฯ ได้เดินทางไปเยือนมอนเตเนโกรระหว่างวันที่ 14-15 ก.ย. 2556 ได้เจรจายกเว้นวีซ่าให้คนไทยที่เดินทางเข้ามอนเตเนโกร จึงสงสัยว่าขณะนี้นายทักษิณยังคงถือสัญชาติมอนเตเนโกรอยู่หรือไม่ หรือถือสัญชาติไทยด้วย
“ได้สอบถามไปยังกระทรวงการต่างประเทศ ได้รับคำตอบว่ามอนเตเนโกรไม่มีสถานทูตและสถานกงสุลประจำประเทศไทย แต่มีกงสุลกิตติมศักดิ์ประจำประเทศไทย ผมจึงได้โทร.ติดต่อสอบถามเรื่องการถือสัญชาติของนายทักษิณ ซึ่งได้รับคำตอบว่าไม่สามารถตอบได้ ต้องสอบถามไปยังประเทศมอนเตเนโกรก่อน”
นายสนธิญากล่าวต่อว่า แม้ไทยไม่มีข้อห้ามในการถือกี่สัญชาติ แต่มี 90 ประเทศไม่อนุญาตให้พลเมืองถือสัญชาติเกิน 1 สัญชาติ รวมถึงประเทศยูเครนและมอนเตเนโกรด้วย ซึ่ง กกต.ต้องตรวจสอบให้ชัดเจนว่า หากนายทักษิณยังคงถือทั้งสองสัญชาติ ก็จะทำให้การช่วยหาเสียงของนายทักษิณเป็นโมฆะและผิด พ.ร.บ.การเลือกตั้งท้องถิ่น ที่กำหนดห้ามบุคคลไม่ใช่สัญชาติไทยมีส่วนร่วมในการเลือกตั้งทุกระดับ ขัดต่อ พ.ร.ป.พรรคการเมือง และรัฐธรรมนูญ 2560
“การที่นายทักษิณไปหาเสียงที่อุดรฯ และใช้คำพูดเช่นนักร้องเป็นหมา ได้ยื่นให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) แล้ว ประมาณ 2 อาทิตย์จะได้รับคำตอบ วันนี้จึงมายื่นให้ตรวจสอบการหาเสียงด้วยถ้อยคำเป็นเท็จ หยาบคาย หลอกลวงหรือไม่อย่างไร เพราะนักร้องเรียนทุกคนไม่ได้เป็นหมา เป็นคน และยื่นเรื่องตรวจสอบตามกระบวนการของรัฐธรรมนูญ” นายสนธิญากล่าว
นายสนธิญากล่าวอีกว่า การกระทำของนายทักษิณที่พูดบนเวทีการหาเสียงที่อุดรธานี เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่นและละเมิดรัฐธรรมนูญที่ให้สิทธิ จึงนำมาผนวกยื่นให้ กกต.ตรวจสอบด้วย และอาจมีผลนำไปสู่การเลือกตั้งนายก อบจ.อุดรธานีที่อาจเป็นโมฆะ และเกี่ยวพันไปถึงพรรคเพื่อไทย เพราะมีโลโก้ของพรรค อีกทั้งไปในนามผู้สมัครนายก อบจ.ของพรรคเพื่อไทย ปฏิเสธการรับผิดชอบไม่ได้ จึงขอให้ กกต.ตรวจสอบเรื่องนี้ให้เกิดความชัดเจน
นายสนธิญายังกล่าวว่า จะทำหนังสือไปสอบถาม น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ถึงเหตุผลที่ไม่ได้อยู่ร่วมพิธีปิดการประชุมร่วมกับผู้นำประเทศอื่น ในระหว่างการเข้าร่วมประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนซัมมิต ที่ประเทศลาว เมื่อเดือน ต.ค. เนื่องจาก น.ส.แพทองธารทำหน้าที่ตัวแทนคนไทย เป็นหน้าตา เป็นศักดิ์ศรี เป็นเกียรติของประเทศ จึงอยากให้นายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงเพื่อความสบายใจของคนไทย
ด้านนายนพรุจ วรชิตวุฒิกุล อดีตแกนนำกลุ่มพิราบขาว 2006 ยื่นเอกสารเพิ่มเติมต่อ กกต.กรณีคำร้องยุบ 6 พรรคการเมือง โดยนายนพรุจกล่าวว่า มายื่นเพิ่มเติมกรณีนายทักษิณเป็นประธานในพิธีทอดกฐินสามัคคี ที่วัดคลองครุ (ปัฐวิกรณ์) เมื่อวันที่ 9 พ.ย. 2567 และได้ให้สัมภาษณ์ ว่าจะลงพื้นที่เป็นผู้ช่วยหาเสียงนายก อบจ.อุดรธานี ซึ่งวันที่ทอดกฐินก็ไม่ได้มีการคัดค้านจากฝั่งของพรรคเพื่อไทย ว่าจะไม่ให้นายทักษิณ ผู้ต้องหาคดีทุจริตไปร่วมเป็นผู้ช่วยหาเสียงด้วย นั่นแสดงว่าพรรค พท.ปล่อยปละละเลยในการตรวจสอบตำแหน่งต่างๆ แล้วต่อมาเหตุการณ์เมื่อวันที่ 13 พ.ย. 2567 ที่ จ.อุดรธานี นายทักษิณก็ได้เป็นผู้ช่วยหาเสียง แต่ต้องอย่าลืมว่าทั้งผู้ช่วยหาเสียงและผู้สมัครนายก อบจ.เป็นไปตามมติของพรรคส่งและตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 21
คำปราศรัยใบเสร็จมัด
นายนพรุจกล่าวต่อว่า คำปราศรัยของนายทักษิณเมื่อวันที่ 13-14 พ.ย.นั้น มีพฤติกรรมที่เห็นชัดเจนว่าเป็นเจ้าของพรรคเพื่อไทย อีกทั้งมีคณะกรรมการบริหารพรรคมานั่งเป็นวอลเปเปอร์ในการปราศรัย แสดงให้เห็นว่าเป็นบุคคลที่มีความสำคัญ อีกทั้งวันนั้นนายทักษิณพูดถึงนโยบายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าแรงขั้นต่ำ 700 บาท ซึ่งยังไม่เคยปรากฏในการหาเสียงของพรรค พท.เลย และมีการพูดว่าจะสั่งการให้รัฐบาลทำอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งไม่ได้พูดถึงนโยบายหาเสียงเลือกตั้งนายก อบจ. และผู้สมัครนายก อบจ.ในวันนั้นก็เป็นการไปแค่ยืนโชว์ตัว และถ้อยคำของนายทักษิณเป็นการครอบงำผู้สมัครนายก อบจ. และเป็นการครอบงำมติพรรคด้วย และการคิดนโยบายต่างๆ ที่ออกนอกกรอบไม่เกี่ยวกับการหาเสียงนายก อบจ. ดังนั้นการหาเสียงในวันดังกล่าวจึงถือเป็นเวทีหาเสียงของนายทักษิณ และส่อมีอิทธิพลเหนือรัฐบาลในการกำหนดนโยบายต่างๆ และการขานรับของ กก.บห.พรรคเป็นไปอย่างราบรื่นไม่ได้ขัดขวาง ดังนั้นวันนี้นายทักษิณถือเป็นสัญลักษณ์ของพรรคเพื่อไทย
“คนไทยไม่ได้กินหญ้า รู้ว่าพรรคเพื่อไทยเป็นของนายทักษิณ และสามารถสั่งการได้ ไม่ได้เป็นการครอบงำ แต่เป็นการครอบครองและมีอิทธิพลเหนือ น.ส.แพทองธาร และ กก.บห.พรรคทุกคน ดังนั้นวันนี้จึงมายื่นร้องเพิ่มเติม ด้วยคลิปเสียงคำพูดในวันปราศรัยหาเสียง สิ่งที่ท่านพูดว่า หมาอยู่ส่วนหมา คนอยู่ส่วนคน เพิ่มเป็นบุคคลที่เหยียดหยามคนไทย ประเทศไทยเดิมเป็นประเทศที่ชื่อว่าสยาม ประเทศไทยแปลว่าสยาม สยามแปลว่าเสือหยามไม่ได้ ท่านเป็นคนไทยหรือเปล่าที่หยามคนไทยด้วยกัน ผมก็เป็นอดีตลูกน้องท่าน การที่มาร้องเรียนเกิดมาจากท่านทำตัวเหนือกฎหมาย ตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ท่านเคยศึกษาหลักเสรีภาพ ความเสมอภาคบ้างหรือไม่ ในเมื่อเราเกิดเป็นลูกหลานแผ่นดินสยามทุกคน คือเสือหยามกันไม่ได้ พรรคเพื่อไทยไม่ใช่เจ้าของแผ่นดิน ทำตัวเหนือกฎหมาย เหนือความถูกต้อง ถ้าไม่มีพฤติกรรมให้ร้องเรียนใครจะมาร้องได้ ไม่กลัวจะถูกฟ้องร้องกลับ เราทำสิ่งถูกแม้จะตายก็ยอม” นายนพรุจระบุ
ส่วนนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวถึงการลงไปช่วยหาเสียงเลือกตั้งนายก อบจ.สุรินทร์ ว่าส่วนตัวคงไม่ได้ลงไป การเป็น รมว.มหาดไทย ถ้าลงไปก็จะเป็นข้อครหาได้เยอะ ได้แต่ส่งกำลังใจช่วยทุกคน ขอให้ทุ่มเทเต็มที่เพื่อให้ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนให้เลือกเข้ามาทำงาน
เมื่อถามว่า มั่นใจหรือไม่ว่าผู้สมัครในนามของพรรค ภท.จะได้รับเลือก นายอนุทินกล่าวว่า ไม่ได้ติดตามเลย เพราะทำตัวเป็นกลางก็ต้องทำตัวให้เป็นกลางจริงๆ โดยได้มอบหมายให้นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัด มท.ออกหนังสือกำชับข้าราชการฝ่ายปกครองให้วางตัวเป็นกลาง ไม่ให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบใดๆ ในระหว่างผู้สมัคร
เมื่อถามว่า การที่นายทักษิณประกาศกวาด สส.ในการเลือกตั้งครั้งหน้าถึง 200 เสียง และพรรคประชาชนก็ประกาศกวาด 270 เสียง พรรคภูมิใจไทยจะกวาดที่นั่งกี่เก้าอี้ นายอนุทินยิ้มรับพร้อมบอกว่า ตอบไปแล้วถ้าพรรคภูมิใจไทยก็คงเป็นกว่า 800 เสียง ถ้ารวมกันทุกพรรคก็อาจจะมีถึง 2,000 เสียง
เปิด 12 ส้มชิง อบจ.
ส่วนที่อาคารอนาคตใหม่ พรรค ปชน. นำโดยนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรค และนายศรายุทธิ์ ใจหลัก เลขาธิการพรรค แถลงเปิดตัวผู้สมัครนายก อบจ. 12 จังหวัดของพรรค ได้แก่ เชียงใหม่, ลำพูน, มุกดาหาร, หนองคาย, ตราด, ภูเก็ต, สุราษฎร์ธานี, พังงา, สงขลา, สมุทรสงคราม, สมุทรปราการ และนนทบุรี พร้อมเปิดเผยวิสัยทัศน์และชุดนโยบาย 5 ด้าน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยให้เท่าเทียมประเทศพัฒนาแล้ว
นายศรายุทธิ์กล่าวว่า การเอาชนะเลือกตั้งท้องถิ่นทุกจังหวัดของพรรคมีความสำคัญมาก อย่างน้อย 2 ประการ คือ 1.เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของเราตั้งแต่ตั้งพรรคอนาคตใหม่ ก้าวไกล และพรรคประชาชน และ 2.เพื่อต้องการสร้างประสบการณ์บริหารราชการจริงในระดับท้องถิ่น ให้รู้ถึงข้อจำกัดอุปสรรคกฎหมาย เพื่อ สส.ของเราจะได้นำมาปรับปรุงแก้ไขผลักดันในสภาต่อไป
นายศรายุทธิ์เผยด้วยว่า นอกจาก 12 จังหวัดที่เปิดตัววันนี้ มีอีก 2 จังหวัดที่กำลังแข่งขันอยู่ และยังอยู่ในกระบวนการอีก 4-5 จังหวัด ที่อาจเปิดตัวปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้าด้วย
จากนั้นผู้สมัครนายก อบจ. 12 จังหวัด ได้ผลัดกันแนะนำตัวเองและนำเสนอนโยบายแต่ละจังหวัด
นายณัฐพงษ์กล่าวว่า ผู้สมัครทุกคนคือคนที่อาสาเข้ามาพัฒนาพื้นที่ในระดับท้องถิ่น เพื่อทำให้ประเทศไทยมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่าเดิม ซึ่งตนมีความมุ่งมั่นตั้งใจ และภาคภูมิใจที่ได้เห็นกระบวนการว่าที่ผู้สมัครของพวกเรา ซึ่งหลายคนมีประสบการณ์การทำงานท้องถิ่นมาก่อน มีความรู้ความสามารถที่พร้อมจะเข้าไปทำงานให้ประชาชนได้ทันที ซึ่งสิ่งหนึ่งที่เราสื่อสารมาโดยตลอดว่าเรามีเจตจำนง เจตนารมณ์ในการอาสาลงสมัครรับเลือกตั้ง เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงการเมืองระดับประเทศ ซึ่งการผลักดันเรื่องการกระจายอำนาจมาโดยตลอด จะสามารถพิสูจน์ให้ประชาชนเห็นว่าเราสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่เฉพาะโครงสร้าง แต่ระดับฐานรากเช่นเดียวกัน
นายณัฐพงษ์กล่าวอีกว่า วันนี้เรามีชุดนโยบายดีๆ มานำเสนอแก่ผู้ที่จะใช้สิทธิใช้เสียงเลือกตั้ง เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้จริง ซึ่งนี่ไม่ใช่นโยบายทั้งหมดที่จะใช้ในการหาเสียง แต่ยังมีนโยบายที่เจาะจงไปในแต่ละพื้นที่ ซึ่งว่าที่ผู้สมัครศึกษามาเป็นอย่างดี และมั่นใจว่าชุดนโยบายต่างๆ นี้จะตอบสนองความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามในฐานะพรรคประชาชน พวกเราอาสาเข้ามาสร้างการเปลี่ยนแปลงระดับประเทศ เราอยากพูดให้ชัดๆ ว่าภารกิจของรัฐบาลส่วนกลาง พรรคการเมืองในระดับประเทศ คือการกำหนดเป้าหมายและภารกิจของตัวเองให้ชัดเจนว่า เราเข้าสู่อำนาจรัฐ มาเพื่อทำอะไร
สำหรับพรรคประชาชน ภารกิจที่สำคัญมากคือ การสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้ประชาชน อย่างน้อย 5 ด้าน ดังต่อไปนี้ 1.น้ำประปาดื่มได้ น้ำเกษตรทั่วถึงตลอดปี 2.ขนส่งมวลชน ถนนทั่วถึง รถเมล์ตรงเวลา 3.สาธารณสุขบริการทั่วถึง อยู่ไหนก็ใกล้หมอ 4.อบจ.โปร่งใส ทำงานไว รับใช้ประชาชน และ 5.โรงเรียนคุณภาพ สอนทักษะอนาคต เรียนไปได้ใช้จริง
นายณัฐพงษ์ยืนยันว่า ทุกนโยบายที่พวกเรานำเสนอไม่ใช่นโยบายขายฝัน แต่เป็นนโยบายที่เราลงไปศึกษามาเป็นอย่างดี วิเคราะห์ทั้งงบประมาณท้องถิ่นที่ผ่านมา ลงไปทำงานในพื้นที่พบปะประชาชน และพยายามนำเสนอนโยบายที่เราเชื่อว่า จะใช้เงินภาษีทุกบาททุกสตางค์อย่างคุ้มค่าเต็มเม็ดเต็มหน่วย
มั่นใจทุกภูมิภาคต้องมีส้ม
เมื่อถามว่า ใช้เกณฑ์อะไรในการตัดสินใจเลือกพื้นที่ส่งผู้สมัครในแต่ละจังหวัด นายณัฐพงษ์กล่าวว่า มีองค์ประกอบหลายอย่างที่เราร่วมตัดสินใจ สิ่งหนึ่งคือตัวผู้สมัครและนโยบายเป็นหลัก ตนคิดว่าเรื่องความพร้อมของผู้สมัครและนโยบายต่างๆ เป็นส่วนสำคัญ องค์ประกอบที่สองคือเรื่องจุดยืนและอุดมการณ์ แน่นอนที่สุดว่าเราเป็นพรรคมวลชนที่เปิดกว้าง แต่จะทำอย่างไรให้เรามั่นใจว่า ทุกท่านที่มาล่มหัวจมท้าย มาลงสมัครรับเลือกตั้งกับพรรคประชาชน เมื่อเข้าสู่อำนาจได้รับความไว้วางใจไปแล้ว จะสามารถทำงานได้อย่างตรงไปตรงมา
เมื่อถามว่าตั้งเป้าจะได้รับการเลือกตั้งไว้อย่างไร นายณัฐพงษ์กล่าวว่า อย่างน้อยทุกภูมิภาคต้องชนะ อบจ.หนึ่งแห่ง ส่วนปัจจัยรองอื่นๆ ต้องวิเคราะห์เรื่องผลคะแนนเลือกตั้งและคู่แข่งในพื้นที่ด้วย ขณะที่นายศรายุทธิ์กล่าวเสริมว่า ต้องการทุกภูมิภาค และเชื่อมั่นเหมือนกันว่าจะได้ทุกภูมิภาค
เมื่อถามถึงการที่นักการเมืองใหญ่อย่างนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ช่วยหาเสียงด้วยนั้น หากเป็นเช่นนี้กับพื้นที่อื่นจะมีการรับมืออย่างไร นายณัฐพงษ์กล่าวว่า ไม่อยากให้มองเรื่องนี้เป็นเรื่องตัวบุคคล ไม่ว่าจะเป็นนายทักษิณหรือใครก็ตาม หรือพรรคใดก็ตาม ที่เป็นผู้ช่วยหาเสียง แต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนคือ การที่จะได้ติดตามรับฟังข่าวสารนโยบายได้อย่างกว้างขวางมากขึ้น ยินดีถ้าจะมีแกนนำพรรคอื่นๆ ลงมาช่วยหาเสียงระดับท้องถิ่น จะได้คึกคักมากขึ้น
เมื่อถามต่อว่า กังวลหรือไม่เรื่องการลงพื้นที่ของนายทักษิณที่เขามั่นใจว่ากระแสดี อีกทั้งรัฐบาลยังจะมีนโยบายประชานิยมออกมาอีก นายณัฐพงษ์กล่าวว่า ไม่ได้กังวลอะไร ยังมั่นใจอยู่ว่าพรรคประชาชนมีโอกาสสูงที่จะได้รับการเลือกตั้งในวันที่ 24 พ.ย.นี้ ส่วนเรื่องนโยบายอื่นๆ แต่ละพรรคจะนำเสนออย่างไร ก็เชื่อมั่นเหมือนกันว่าเป็นสิ่งที่แต่ละพรรคจะนำเสนอได้ ขอให้ประชาชนติดตามรับฟัง และออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง
เมื่อถามถึงนโยบายแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่มักจะถูกนำมาโจมตี พรรคประชาชนมีจุดยืนอย่างไร นายณัฐพงษ์กล่าวว่า จากการนำเสนอนโยบายไม่ได้มีการพูดถึงเรื่องนี้ ส่วนข้อพิพาททั้งหลายเชื่อว่านายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ได้ออกมาชี้แจงแล้วว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็น และไม่ใช่เงื่อนไขในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งที่แล้วด้วยซ้ำ ยืนยันว่าไม่มีประเด็นนี้แน่นอน
ถามถึงกรณีแกนนำพรรค พท.ระบุว่าพรรค ปชน.ชกใต้เข็มขัด นายณัฐพงษ์ยืนยันว่า คงไม่ใช่การชกใต้เข็มขัด แต่มองว่าเราต้องออกมาใช้สิทธิ์ เนื่องจากก่อนหน้านี้เราถูกพาดพิง ถือว่าเป็นการชี้แจงกลับ ในสนามเลือกตั้งทุกคนที่ถูกพาดพิงก็ต้องชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
1แสนชื่อจี้นายกฯเลิกMOU44
“ภูมิธรรม” ลั่้นไม่มีใครเลิกเอ็มโอยู 44 ได้ ไม่ว่าประชาชนหรือสภาฯ
คุม‘เจ๊พัช’ส่งคุก แชร์ลูกโซ่โกงอีก เสียหายพันล้าน
บก.ป.คุมตัว "เจ๊พัช" ฝากขังศาลอาญา คดีทุจริต-กรรโชกทรัพย์-ตัวกลางเรียกรับเงิน
หึ่ง!ตร.วิ่งโชว์ตัวกินมาม่า เตือนแต่งตั้งมั่วส่อติดคุก
นายกฯ ถึงไทย ผบ.ตร.เข้าพบรายงานจัดทัพโผแต่งตั้งรอง ผบ.ตร-ผบช. 20 พ.ย.นี้
ค้านครม.ไฟเขียวกิตติรัตน์ จ่อยื่นผู้ตรวจส่งศาลรธน.
คปท.บุกทำเนียบฯ ยื่นนายกฯ-ครม.ค้านชื่อ “กิตติรัตน์” นั่ง ปธ.บอร์ดแบงก์ชาติ
‘สนธิญา’ ยื่น กกต.สอบ ‘ทักษิณ’ ถือสัญชาติไทย-มอนเตฯ หรือไม่ เสี่ยงผิดกม.เลือกตั้งท้องถิ่น
สนธิญา ยื่น กกต.สอบ ทักษิณ ถือสัญชาติไทย-มอนเตฯ หรือไม่ เสี่ยงผิดกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่น-พรรคการเมือง-รธน. ห้ามคนต่างชาติเอี่ยวการเลือกตั้งทุกระดับ พ่วงร้องสอบหาเสียงหยาบคาบ เป็นเท็จ อาจทำเลือกตั้ง อบจ.อดุรฯ โมฆะ
สุดลิ่ม! ‘วันชัย’ มั่นใจ ‘ทักษิณ-พท.’ ตั้งหลักได้อะไรก็ฉุดไม่อยู่ ปล่อยนักร้องอกแตกตาย
ถ้าคุณทักษิณและพรรคเพื่อไทยตั้งหลักได้เมื่อไร อะไรก็รั้งไม่หยุดฉุดไม่อยู่ ถึงกับกล้าประกาศว่าเลือกตั้งคราวหน้าจะคว้าให้ได้ถึง 200 เสียงขึ้น