"พท." ดี๊ด๊า! "ทักษิณ" ปราศรัยอุดรธานีปลุกคะแนนนิยม เชื่อชาวอีสานยังรักเพื่อไทย "ประเสริฐ" ชี้หากนโยบายดีกวาด 200 สส.ได้ตามเป้า "สรวงศ์" มั่นใจเชิญ "พ่อนายกฯ" เป็นวิทยากรงานสัมมนาพรรคไม่ผิด กม. "อนุทิน" แย้มนัดดินเนอร์พรรคร่วม รบ.หลังปีใหม่ "พิธา" ลัดฟ้าถึง "อุดรฯ" ช่วยผู้สมัครนายก อบจ.หาเสียง มั่นใจออกมาใช้สิทธิ์เกิน 70% ชนะแน่ เตือน "แม้ว" เลือกตั้งปี 66 "ก้าวไกล" ก็ชนะ บอกนี่เมืองหลวงประชาธิปไตยไม่ใช่ของเสื้อแดง "เทพไท" ชำแหละ 5 ประเด็นปราศรัย "ทักษิณ" ส่อปากพาจน
เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ช่วยผู้สมัครนายก อบจ.อุดรธานี ในสังกัดพรรคเพื่อไทย (พท.) หาเสียง จะช่วยเรื่องกระแสพรรค พท.หรือไม่ว่า นายทักษิณเป็นอดีตคนริเริ่มและก่อตั้งพรรคไทยรักไทย มีพัฒนาการมาจนกลายมาเป็นพรรค พท. ถือเป็นเรื่องของสมาชิกทุกคน หรือเป็นคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือเป็นแฟนคลับของพรรค ทำให้คนเข้าใจในอุดมการณ์ของพรรค เข้าใจปัญหาของประชาชนและทิศทางการแก้ไขปัญหามากขึ้น ถือเป็นเรื่องดีทั้งนั้น เป็นเจตนาที่ทุกคนสามารถทำได้ และทำได้เต็มที่ เพราะเป็นจุดมุ่งหมายทำให้ประเทศชาติดีขึ้น
"การปราศรัยที่อุดรฯ ของนายทักษิณ ส่วนตัวเชื่อว่าจังหวัดอุดรธานีเป็นพื้นที่ของพรรค พท. ก็คงจะทำให้เต็มที่ที่สุด และเชื่อว่าคนอุดรธานีทั้งจังหวัดยังรักพรรคเพื่อไทยอยู่" นายภูมิธรรมกล่าว
ส่วนนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯ และ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะอดีตเลขาธิการพรรค พท. กล่าวว่า การที่นายทักษิณขึ้นปราศรัยบอกเลือกตั้ง สส.ครั้งหน้าพรรค พท.จะได้ สส. 200 เสียงนั้น เข้าใจว่าเป็นการให้กำลังใจทั้งผู้สมัครนายก อบจ.อุดรธานี และผู้สมัคร สส.ในอนาคต เพราะหลังจากที่พรรคมีนโยบายออกไปหลายอย่าง ท่านเชื่อว่าจะส่งผลให้ได้รับความนิยมจากพี่น้องประชาชน จนทำให้ได้รับการเลือกตั้ง สส.ถึง 200 คน
เมื่อถามว่า 200 เสียงที่ว่าจะมาจากพรรคประชาชนหรือพรรคร่วมรัฐบาลในขณะนี้ นายประเสริฐกล่าวว่า ถ้าตอบชัดๆ ก็ต้องมาจากพี่น้องประชาชน เพราะเป็นคนเลือก
นายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะเลขาธิการพรรค พท. กล่าวถึงงานสัมมนาพรรค พท.ว่า จะมีขึ้นในวันที่ 13-14 ธ.ค.2567 และคาดว่าน่าจะไปที่หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งไปและกลับโดยรถไฟ เพียงแค่ สส.และสมาชิกพรรคบางส่วนที่จะไปร่วมสัมมนาด้วย
ถามว่า ในกำหนดการจะมีการเชิญนายทักษิณไปร่วมงานสัมมนาด้วยในฐานะนักวิชาการ นายสรวงศ์กล่าวว่า ไม่ทราบว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทยได้เชิญหรือไม่
"การที่พรรคเชิญในฐานะนักวิชาการก็ทำได้ เพราะท่านเป็นถึงอดีตนายกฯ และเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ ซึ่งพรรคสามารถเชิญไปเป็นวิทยากรก็ได้ ไม่มีสิ่งที่ผิดอะไร" นายสรวงศ์กล่าว
ถามว่า หากนายทักษิณไปในลักษณะนี้กังวลหรือไม่ เพราะเป็นกิจกรรมพรรค เลขาธิการ พรรค พท.กล่าวว่า แล้วแต่คิด อย่างที่บอกว่าคนจะร้องก็ร้อง แต่ในส่วนที่มันเกิดขึ้นนั้นอย่าไปมองอะไรที่เป็นเรื่องหยุมหยิม กฎหมายพูดชัดเจนว่าหากครอบงำจนสมาชิกพรรคไม่มีอิสระในการตัดสินใจ ก็จะชัดเจนว่าเป็นข้อหาครอบงำ
"สิ่งที่ผ่านมาเราชัดเจนอยู่แล้วว่าทุกอย่างเป็นมติพรรค และมติของคณะกรรมการบริหาร (กก.บห.) พรรค ฉะนั้นเราทำอะไรตามอำเภอใจไม่ได้ ไม่มีใครมาครอบงำพรรคได้แน่นอน เพราะพูดคุยกันชัดเจนในที่ประชุมพรรคว่าต่างคนต่างมีความเห็นเช่นนั้น ซึ่งเมื่อมีมติพรรคออกมาแล้วก็คือมติพรรค" เลขาธิการพรรค พท.กล่าว
ซักถึงกรณีนายทักษิณปราศรัยบอกพรรค พท.จะได้ไม่ต่ำกว่า 200 เสียงในการเลือกตั้งครั้งหน้า นายสรวงศ์กล่าวว่า ท่านพูดชัดเจนว่าท่านคาดว่า และดูจากการทำงานของนายกฯ และทีมงาน แต่ถามว่าเป็นโจทย์ของพวกตนหรือไม่ ก็เป็นโจทย์ของพวกตนอยู่แล้ว ก่อนที่นายทักษิณจะพูดนั้น น.ส.แพทองธารก็มีเป้าหมายที่จะทำให้พรรคกลับมาเป็นพรรคอันดับหนึ่งอีกครั้ง ซึ่งเป็นเป้าหมายอยู่แล้ว ไม่ใช่เมื่อนายทักษิณมาพูดแล้วพรรค พท.จึงจะต้องกระตือรือร้นนั้น ไม่ใช่
พอถามว่า 200 เสียงถือว่าเยอะหรือไม่ นายสรวงศ์กล่าวว่า ในการเมืองปัจจุบันอย่างน้อยที่สุดก็ได้มากกว่าที่ผ่านมา และเราจะพยายามทำเต็มที่ ทุกอย่างขึ้นอยู่ที่พี่น้องประชาชน ซึ่งเวลาที่เราเหลืออยู่ เราก็จะพยายามอย่างยิ่งที่จะทำผลงานให้ออกมาสู่สายตาพี่น้องประชาชนให้มากที่สุด
ขณะที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) มองการประกาศของนายทักษิณพรรค พท.จะกวาด สส.ในเลือกตั้งครั้งหน้าไม่ต่ำกว่า 200 คนว่า ทุกพรรคพยายามตั้งเป้าหมาย ถือเป็นหน้าที่ของผู้สมัคร สส.ต้องทำให้ดีที่สุด และทำให้ประชาชนเชื่อถือ จึงจะได้เข้ามาเป็น สส. ทั้งนี้ การตั้งเป้าหมายของแต่ละพรรค ถือเป็นการเตรียมความพร้อมที่ดี
"พรรค ภท.เราขอทำงานก่อนดีกว่า เรื่องการเมือง หากไม่มีอะไรก็ขอให้ สส.ภูมิใจไทยลงพื้นที่ เพราะมีงานต่างๆ ม กมาย ในส่วนรัฐมนตรีก็ทำงานอย่างเต็มที่ ขึ้นเหนือล่องใต้" นายอนุทินกล่าว
ถามถึงการเป็นเจ้าภาพเลี้ยงพรรคร่วมรัฐบาล นายอนุทินกล่าวว่า คาดว่าจะจัดในช่วงหลังเทศกาลปีใหม่ รอให้สภาเปิดก่อน หากมีประเด็นอะไรจะได้พูดคุยกัน ซึ่งมองว่าจัดบ่อยไปก็ไม่ดี เพราะไม่มีอะไรจะคุยกัน
ปลุกใช้สิทธิ์เกิน 70% ชนะแน่
ที่จังหวัดอุดรธานี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาคณะก้าวหน้า และอดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงของนายคณิศร ขุริรัง ผู้สมัครนายก อบจ.อุดรธานี จากพรรคประชาชน (ปชน.) เดินทางกลับมาจากสหรัฐอเมริกาเพื่อช่วยนายคณิศรหาเสียง
นายพิธากล่าวว่า ประเด็นหลักที่อยากสื่อสารคือการเชิญชวนให้มาใช้สิทธิ์กันมากๆ เพราะทราบว่าอุดรฯ คือเมืองหลวงของประชาธิปไตย แต่การใช้สิทธิ์อาจจะน้อย เนื่องจากพี่น้องชาวอุดรฯ ไปทำงานต่างประเทศเยอะ ที่ผ่านมาในการเลือกตั้งปี 66 และการเลือกตั้ง อบจ.มีแค่ 50-60% เท่านั้น ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับความเป็นประชาธิปไตย จึงพยายามเชิญชวนให้มาใช้สิทธิ์มากๆ
ถามว่า มีบางพรรคบอกอุดรฯ เป็นเมืองหลวงของคนเสื้อแดง นายพิธากล่าวว่า ถ้าดูตัวเลขจากการเลือกตั้งปี 2566 พรรคเพื่อไทยมาอันดับ 1 คือกว่า 300,000 แสนคะแนน อดีตพรรคก้าวไกลมาอันดับ 2 คือกว่า 200,000 แสนคะแนน พรรคไทยสร้างไทยอันดับ 3 คือกว่า 100,000 คะแนน ถ้าอันดับ 2 กับ 3 รวมกัน ก็ชนะพรรคเพื่อไทย จึงควรใช้คำว่าเมืองหลวงประชาธิปไตย ไม่ใช่เมืองหลวงเสื้อแดง
ซักว่านายทักษิณระบุนายพิธากลัวแพ้ จึงต้องบินกลับมาจากสหรัฐอเมริกา นายพิธากล่าวว่า เรื่องนี้มี 2 ประเด็น คือเรื่องกลัวแพ้ ก็แพ้มาเยอะ ชนะมาก็แยะ อุดรฯ เขต 1 ปี 62 ตอนเป็นอนาคตใหม่ก็แพ้ พอปี 66 เป็นพรรคก้าวไกลก็ชนะ ผู้สมัครนายก อบจ.คนปัจจุบันของพรรคเพื่อไทย เพราะฉะนั้นมีแต่เผด็จการเท่านั้นที่กลัวแพ้การเลือกตั้ง
เมื่อถามว่า กังวลการลงพื้นที่ของนายทักษิณหรือไม่ นายพิธากล่าวว่า ไม่รู้สึกกังวล แต่รู้สึกดี เพราะทำให้มีสีสัน ทำให้ประชาชนมีความสนใจ เนื่องจากในการเลือกตั้งระดับชาติก็มีกติกาหนึ่ง มีเลือกตั้งล่วงหน้า มีเลือกตั้งข้ามเขต ประชาชนให้ความสนใจ แต่เมื่อเป็นการเลือกตั้ง ส.อบจ.หรือ อบจ.แค่จังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง ก็อาจจะไม่ได้รับการประชาสัมพันธ์จาก กกต.เท่าที่ควร ถ้ามีการแข่งขันของเบอร์ 1 เบอร์ 2 มีการลงพื้นที่กันเยอะ ประชันวิสัยทัศน์กันเยอะ ก็ทำให้ประชาชนสนใจ และหวังว่าการจะทำให้การใช้สิทธิ์ครั้งนี้สูงกว่า 56%
ถามว่า สนามเลือกตั้ง อบจ.เป็นโจทย์ยากหรือไม่ เพราะต้องทลายกำแพงบ้านใหญ่ที่เดิมเป็นสีแดงเกือบทั้งจังหวัด นายพิธากล่าวว่า เป็นโจทย์ยากที่บริหารได้ อย่างน้อยเราทราบว่าในการเลือกตั้งปี 66 คนมาใช้สิทธิ์ 76% พอเลือกตั้ง อบจ.เหลือแค่ 60% เพราะข้ามเขตไม่ได้ เลือกตั้งล่วงหน้าไม่ได้ จึงต้องทำนโยบายในพื้นที่ให้จับต้องได้ มีความชัดเจนมากขึ้น
นายพิธามองว่า หากชนะการเลือกตั้งครั้งนี้น่าจะมาจากหลายปัจจัย ทั้งตัวผู้สมัครและคู่แข่งก็มีความสำคัญ รวมถึงนโยบายตรงใจประชาชนแค่ไหน แต่ตนยังยืนยันในความสำคัญของผู้มาใช้สิทธิ์ หากเกิน 70% ก็ทำให้เกิดความชอบธรรม และมีโอกาสชนะมากขึ้น แต่ขณะเดียวกัน ถ้าคนมาใช้สิทธิ์น้อยก็น่าจะยาก
ถามกรณีนายทักษิณประกาศสมัยหน้าจะคว้า สส.ไม่น้อยกว่า 200 เก้าอี้ นายพิธากล่าวว่า ก็เหมือนตอน นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว อดีตหัวหน้าพรรค พท. หรือ น.ส.แพทองธารพูดเรื่องแลนด์สไลด์ ก็แค่นั้น พอถึงเวลา ผลลัพธ์หลังเลือกตั้งประชาชนเป็นคนตัดสิน วางแผนได้ ทางตนก็เคยวางไว้ตอนเป็นอดีตก้าวไกล เชื่อว่านายณัฐพงษ์ก็คงวางแผนของตัวเองเช่นกัน ดังนั้นประชาชนจะเป็นคนตัดสิน
ในช่วงท้ายนายพิธายังอ้อนคนอุดรฯ ขอคะแนนเสียงให้ผู้สมัคร โดยระบุว่า "ฮักหลายๆ ไม่ว่าจะเป็นประเพณีไทยสำคัญขนาดไหน เช่นตอนสงกรานต์ ผมก็อยู่อุดรฯ ลอยกระทงผมก็ยังอยู่ แสดงให้เห็นความผูกพันที่มีต่อพี่น้องชาวอุดรฯ หวังว่าศุกร์ เสาร์ อาทิตย์นี้ จะมีโอกาสมาพบปะกันให้หายคิดถึง"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงเย็นนายพิธาได้ยกเลิกภารกิจลอยกระทงร่วมกับคนอุดรฯ เปลี่ยนเป็นเดินพบประชาชนบริเวณถนนคนเดินแทน เนื่องจากกังวลว่าจะผิดกฎหมายเลือกตั้งในเรื่องห้ามจัดมหรสพ
เตือนทักษิณระวังปากพาจน
ด้านนายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์เฟซบุ๊กหัวข้อ "ทักษิณปราศรัย ระวังปากพาจน" ระบุว่า นายทักษิณ ชินวัตร ได้ขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงนายก อบจ.อุดรธานี หลายเวที ใช้คำพูดที่ดุเดือดรุนแรง วิญญาณเดิมของคุณทักษิณกลับคืนมา โดยไม่สนใจอะไรในสังคม มีหลายคำที่พูดเป็นคำหยาบ เหยียดหยามฝ่ายตรงข้าม แต่มีตอนหนึ่งที่ผมเห็นว่าคุณทักษิณพูดแล้วสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศ จากการกล่าวคำปราศรัยตอนหนึ่งว่า "เห็นสภาพบ้านเมืองแล้วหดหู่ หากปล่อยไว้แบบนี้คนไทยจะเหมือนคนลาว ถูกพัฒนาช้า พัฒนาเร็วเฉพาะส่วน คนส่วนใหญ่ถูกทอดทิ้ง ตนก็เป็นคนบ้านนอก ฉะนั้น ใจผมเป็นห่วงที่สุดคือคนรากหญ้า สิ่งที่ยากเลยคือนักการเมืองเฮงซวย หากการเมืองเฮงซวยเมื่อไหร่ นักการเมืองก็เฮงซวยตาม แต่ระหว่างที่ผมออกไปเขาก็สร้างระบบกติกาให้การเมืองมันเฮงซวยขึ้นเรื่อยๆ"
นายเทพไทกล่าวว่า การปราศรัยของนายทักษิณช่วงสั้นๆ แต่พาดพิงในหลายส่วน เช่น 1.การกล่าวหาสภาพบ้านเมืองหดหู่ พัฒนาช้า ต้องถามคุณทักษิณว่า คุณเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาบ้านเมือง ที่ทำให้การเมืองถอยหลังเข้าคลอง ถ้าคุณเป็นรัฐบาลที่ซื่อสัตย์สุจริต ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน และทุจริตเชิงนโยบาย ก็ไม่มีการรัฐประหารมาทำให้ประชาธิปไตยถอยเข้าคลอง 2.การกล่าวพาดพิงไปถึงคนลาวพัฒนาช้า เป็นการบูลลี่คนลาว ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้าน โดยมารยาทไม่ควรยกตัวอย่างเปรียบเทียบให้เขาได้รับความเสียหาย ควรให้เกียรติและให้ค่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นคนลาวหรือคนไทย
3.การพูดถึงชีวิตคนรากหญ้า ซึ่งคุณทักษิณได้สร้างนโยบายประชานิยม จนคนไทยเสพติดการแจกเงิน แม้ว่าคุณทักษิณจะประกาศว่า รัฐบาลที่แจกเงินคือรัฐบาลปัญญาอ่อน แต่ในที่สุดรัฐบาลแพทองธารก็แจกเงินให้กับประชาชนคนละ 10,000 บาทมาแล้ว และบนเวทีปราศรัยคุณทักษิณยังประกาศว่า จะแจกเงินคนละ 10,000 บาท ให้กับคนอายุ 60 ปีขึ้นไป ที่ไม่ใช่กลุ่มคนเปราะบางอีกด้วย การแจกแบบนี้ต้องถามว่าเป็นรัฐบาลปัญญาอ่อนหรือไม่ 4.การด่านักการเมืองเฮงซวย การเมืองเฮงซวย ต้องบอกว่าคำพูดแบบนี้ไม่ควรจะออกมาจากปากของอดีตนายกรัฐมนตรี คุณทักษิณเองก็เป็นนักการเมือง ลูกสาวก็เป็นนักการเมือง คนในตระกูลเป็นนักการเมือง ถ้าจับเหมารวมว่านักการเมืองเฮงซวย ก็หมายความว่าคนในตระกูลชินวัตรเฮงซวยด้วยใช่หรือไม่
5.คุณทักษิณอ้างว่า ตอนที่ตนไม่อยู่ มีการสร้างกติกาทางการเมืองที่เฮงซวยนั่น น่าหมายถึงกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ต้องถามคุณทักษิณว่า ถ้ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ดี เป็นรัฐธรรมนูญเฮงซวย ทำไมพรรคเพื่อไทยไม่เดินหน้าเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ทำไมต้องยกเว้นหมวด 1 และหมวด 2 อย่าทำเป็น “เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง” อะไรได้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็เอา อะไรเสียประโยชน์ ก็จะด่าว่ากฎหมายเฮงซวย
"ผมเห็นการปราศรัยของนายทักษิณใช้ถ้อยคำที่รุนแรงหลายครั้ง แต่ผมยกมาเพียงบางส่วนบางตอน เพื่อเป็นตัวอย่างให้เห็นว่าจิตใต้สำนึก และนิสัยที่แท้จริงของนายทักษิณเป็นคนอย่างไร พูดจาสามหาว ใช้คำแรง คำหยาบ ด่ากราดโดยไม่สนใจใคร แสดงตัวตนที่แท้จริงอย่างชัดเจน ระวังปากจะพาจน เหมือนกับการพูดจนต้องคดี ม.112 อยู่ในขณะนี้" นายเทพไทกล่าว
ที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) นายสนธิญา สวัสดี เดินทางยื่นหนังสือพร้อมหลักฐานภาพข่าวการหาเสียงนายก อบจ.อุดรธานี ให้ กสม.ตรวจสอบกรณีนายทักษิณละเมิดสิทธิในประเด็นที่ว่านักร้องเป็นหมา หมาอยู่ส่วนหมา คนอยู่ส่วนคน อย่าสนใจหมาเห่า ทั้งๆ ที่เป็นสิทธิตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ในฐานะนักร้องเรียน นักเคลื่อนไหว ทางด้านการเมืองที่ทำมาแล้วกว่า 17 ปี
นายสนธิญากล่าวว่า ไม่เชื่อว่าจะเป็นคำพูดที่ออกมาจากอดีตนายกฯ 2 สมัย และผู้ที่มีวัยวุฒิสูง การพูดของท่านที่เกี่ยวกับผู้ร้องเรียน ตนเข้าใจว่าท่านกำลังเข้าใจผิดในเรื่องของระบอบประชาธิปไตย มีการแบ่งหน้าที่และมีการตรวจสอบกันได้ตามสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 4 มาตรา 41 (1) (2) มาตรา 50 ตรวจสอบรัฐราชการเพื่อประโยชน์อันสูงสุดของประเทศและประชาชน ซึ่งตนเองก็เป็นคนหนึ่งที่มีสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม หากเข้าข่ายการหมิ่นประมาท ก็จะดำเนินการในขั้นตอนของกฎหมายต่อไป.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
‘ทอน’ดีดปาก‘แม้ว’ ซัดพูดคลุมเครือไม่มีปม112ตั้งรบ./พิธารับคำท้าพ่อนายกฯ
“ธนาธร” ซัด “ทักษิณ” พูดคลุมเครือ บอกปมตั้งรัฐบาลไม่ได้ไม่เกี่ยวกับ 112
นายกฯชี้FTAเปรูจบปี2568
นายกฯ อิ๊งค์ถก "ประธานาธิบดีเปรู" ผลักดันการเจรจา FTA ให้เสร็จภายในปี 68
‘บิ๊กอ้วน’ยืนยัน ผุดJTCเมื่อไหร่ ถกผลประโยชน์
“ภูมิธรรม” บอกพร้อมเรียกถกแบ่งผลประโยชน์พื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชาทันที
‘สคบ.’สอบอืด คลิปเทวดายื้อ จ่อขยายเวลา!
คกก.สอบคลิปเสียงเทวดา สคบ.จ่อขอขยายเวลาเพิ่ม รอง ผบช.ก.เตรียมบุกเรือนจำ
แจกค่าแรง400รับปีใหม่ ‘อายุ50’ลุ้นได้‘เงินหมื่น’
ซานต้าอิ๊งค์มาแล้ว เตรียมดันค่าแรง 400 บาทเป็นของขวัญปีใหม่
'พิธา' เย้ยกลับทักษิณอย่าลืมผลเลือกตั้ง 66 ลั่นอุดรฯคือเมืองหลวงประชาธิปไตย
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาคณะก้าวหน้าและอดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้ช่วยหาเสียง นายคณิศร ขุริรัง ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานีจากพรรคประชาชน