พท.มั่นใจกระแสกวาด200สส.

"พท." ดี๊ด๊า! "ทักษิณ" ปราศรัยอุดรธานีปลุกคะแนนนิยม เชื่อชาวอีสานยังรักเพื่อไทย "ประเสริฐ" ชี้หากนโยบายดีกวาด 200 สส.ได้ตามเป้า "สรวงศ์" มั่นใจเชิญ "พ่อนายกฯ"   เป็นวิทยากรงานสัมมนาพรรคไม่ผิด กม. "อนุทิน" แย้มนัดดินเนอร์พรรคร่วม รบ.หลังปีใหม่ "พิธา" ลัดฟ้าถึง "อุดรฯ" ช่วยผู้สมัครนายก อบจ.หาเสียง มั่นใจออกมาใช้สิทธิ์เกิน 70% ชนะแน่ เตือน "แม้ว" เลือกตั้งปี 66 "ก้าวไกล" ก็ชนะ บอกนี่เมืองหลวงประชาธิปไตยไม่ใช่ของเสื้อแดง "เทพไท" ชำแหละ 5 ประเด็นปราศรัย "ทักษิณ" ส่อปากพาจน

เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม  กล่าวถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ช่วยผู้สมัครนายก อบจ.อุดรธานี ในสังกัดพรรคเพื่อไทย (พท.) หาเสียง จะช่วยเรื่องกระแสพรรค พท.หรือไม่ว่า นายทักษิณเป็นอดีตคนริเริ่มและก่อตั้งพรรคไทยรักไทย มีพัฒนาการมาจนกลายมาเป็นพรรค พท. ถือเป็นเรื่องของสมาชิกทุกคน หรือเป็นคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือเป็นแฟนคลับของพรรค ทำให้คนเข้าใจในอุดมการณ์ของพรรค เข้าใจปัญหาของประชาชนและทิศทางการแก้ไขปัญหามากขึ้น ถือเป็นเรื่องดีทั้งนั้น เป็นเจตนาที่ทุกคนสามารถทำได้ และทำได้เต็มที่ เพราะเป็นจุดมุ่งหมายทำให้ประเทศชาติดีขึ้น

"การปราศรัยที่อุดรฯ ของนายทักษิณ ส่วนตัวเชื่อว่าจังหวัดอุดรธานีเป็นพื้นที่ของพรรค พท. ก็คงจะทำให้เต็มที่ที่สุด และเชื่อว่าคนอุดรธานีทั้งจังหวัดยังรักพรรคเพื่อไทยอยู่" นายภูมิธรรมกล่าว

ส่วนนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯ และ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะอดีตเลขาธิการพรรค พท. กล่าวว่า การที่นายทักษิณขึ้นปราศรัยบอกเลือกตั้ง สส.ครั้งหน้าพรรค พท.จะได้ สส. 200 เสียงนั้น เข้าใจว่าเป็นการให้กำลังใจทั้งผู้สมัครนายก อบจ.อุดรธานี และผู้สมัคร สส.ในอนาคต เพราะหลังจากที่พรรคมีนโยบายออกไปหลายอย่าง ท่านเชื่อว่าจะส่งผลให้ได้รับความนิยมจากพี่น้องประชาชน จนทำให้ได้รับการเลือกตั้ง สส.ถึง 200 คน

เมื่อถามว่า 200 เสียงที่ว่าจะมาจากพรรคประชาชนหรือพรรคร่วมรัฐบาลในขณะนี้ นายประเสริฐกล่าวว่า ถ้าตอบชัดๆ ก็ต้องมาจากพี่น้องประชาชน เพราะเป็นคนเลือก

นายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะเลขาธิการพรรค พท. กล่าวถึงงานสัมมนาพรรค พท.ว่า จะมีขึ้นในวันที่ 13-14 ธ.ค.2567 และคาดว่าน่าจะไปที่หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งไปและกลับโดยรถไฟ เพียงแค่ สส.และสมาชิกพรรคบางส่วนที่จะไปร่วมสัมมนาด้วย

ถามว่า ในกำหนดการจะมีการเชิญนายทักษิณไปร่วมงานสัมมนาด้วยในฐานะนักวิชาการ นายสรวงศ์กล่าวว่า ไม่ทราบว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทยได้เชิญหรือไม่

"การที่พรรคเชิญในฐานะนักวิชาการก็ทำได้ เพราะท่านเป็นถึงอดีตนายกฯ และเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ ซึ่งพรรคสามารถเชิญไปเป็นวิทยากรก็ได้ ไม่มีสิ่งที่ผิดอะไร" นายสรวงศ์กล่าว

ถามว่า หากนายทักษิณไปในลักษณะนี้กังวลหรือไม่ เพราะเป็นกิจกรรมพรรค เลขาธิการ พรรค พท.กล่าวว่า แล้วแต่คิด อย่างที่บอกว่าคนจะร้องก็ร้อง แต่ในส่วนที่มันเกิดขึ้นนั้นอย่าไปมองอะไรที่เป็นเรื่องหยุมหยิม กฎหมายพูดชัดเจนว่าหากครอบงำจนสมาชิกพรรคไม่มีอิสระในการตัดสินใจ ก็จะชัดเจนว่าเป็นข้อหาครอบงำ

"สิ่งที่ผ่านมาเราชัดเจนอยู่แล้วว่าทุกอย่างเป็นมติพรรค และมติของคณะกรรมการบริหาร (กก.บห.) พรรค ฉะนั้นเราทำอะไรตามอำเภอใจไม่ได้ ไม่มีใครมาครอบงำพรรคได้แน่นอน เพราะพูดคุยกันชัดเจนในที่ประชุมพรรคว่าต่างคนต่างมีความเห็นเช่นนั้น ซึ่งเมื่อมีมติพรรคออกมาแล้วก็คือมติพรรค" เลขาธิการพรรค พท.กล่าว

ซักถึงกรณีนายทักษิณปราศรัยบอกพรรค พท.จะได้ไม่ต่ำกว่า 200 เสียงในการเลือกตั้งครั้งหน้า นายสรวงศ์กล่าวว่า ท่านพูดชัดเจนว่าท่านคาดว่า และดูจากการทำงานของนายกฯ และทีมงาน  แต่ถามว่าเป็นโจทย์ของพวกตนหรือไม่ ก็เป็นโจทย์ของพวกตนอยู่แล้ว ก่อนที่นายทักษิณจะพูดนั้น น.ส.แพทองธารก็มีเป้าหมายที่จะทำให้พรรคกลับมาเป็นพรรคอันดับหนึ่งอีกครั้ง ซึ่งเป็นเป้าหมายอยู่แล้ว ไม่ใช่เมื่อนายทักษิณมาพูดแล้วพรรค พท.จึงจะต้องกระตือรือร้นนั้น ไม่ใช่

พอถามว่า 200 เสียงถือว่าเยอะหรือไม่ นายสรวงศ์กล่าวว่า ในการเมืองปัจจุบันอย่างน้อยที่สุดก็ได้มากกว่าที่ผ่านมา และเราจะพยายามทำเต็มที่ ทุกอย่างขึ้นอยู่ที่พี่น้องประชาชน ซึ่งเวลาที่เราเหลืออยู่ เราก็จะพยายามอย่างยิ่งที่จะทำผลงานให้ออกมาสู่สายตาพี่น้องประชาชนให้มากที่สุด

ขณะที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) มองการประกาศของนายทักษิณพรรค พท.จะกวาด สส.ในเลือกตั้งครั้งหน้าไม่ต่ำกว่า 200 คนว่า ทุกพรรคพยายามตั้งเป้าหมาย ถือเป็นหน้าที่ของผู้สมัคร สส.ต้องทำให้ดีที่สุด และทำให้ประชาชนเชื่อถือ จึงจะได้เข้ามาเป็น สส. ทั้งนี้ การตั้งเป้าหมายของแต่ละพรรค ถือเป็นการเตรียมความพร้อมที่ดี

"พรรค ภท.เราขอทำงานก่อนดีกว่า เรื่องการเมือง หากไม่มีอะไรก็ขอให้ สส.ภูมิใจไทยลงพื้นที่ เพราะมีงานต่างๆ ม กมาย ในส่วนรัฐมนตรีก็ทำงานอย่างเต็มที่ ขึ้นเหนือล่องใต้" นายอนุทินกล่าว

ถามถึงการเป็นเจ้าภาพเลี้ยงพรรคร่วมรัฐบาล นายอนุทินกล่าวว่า คาดว่าจะจัดในช่วงหลังเทศกาลปีใหม่ รอให้สภาเปิดก่อน หากมีประเด็นอะไรจะได้พูดคุยกัน ซึ่งมองว่าจัดบ่อยไปก็ไม่ดี เพราะไม่มีอะไรจะคุยกัน

ปลุกใช้สิทธิ์เกิน 70% ชนะแน่

ที่จังหวัดอุดรธานี นายพิธา​ ลิ้ม​เจริญ​รัตน์ ​ ประธานที่ปรึกษาคณะก้าวหน้า และอดีตหัวหน้า​พรรค​ก้าวไกล​ ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงของนายคณิศร​ ขุริรัง​ ผู้สมัครนายก อบจ.อุดรธานี จากพรรคประชาชน (ปชน.) เดินทางกลับมาจากสหรัฐอเมริกาเพื่อช่วยนายคณิศรหาเสียง​

นายพิธากล่าวว่า​ ประเด็นหลักที่อยากสื่อสารคือ​การเชิญชวนให้มาใช้สิทธิ์กันมากๆ​ เพราะทราบว่าอุดรฯ คือเมืองหลวงของประชาธิปไตย แต่การใช้สิทธิ์อาจจะน้อย​ เนื่องจากพี่น้องชาวอุดรฯ ไปทำงานต่างประเทศเยอะ​ ที่ผ่านมาในการเลือกตั้งปี 66 และการเลือกตั้ง​ อบจ.มีแค่ 50-60% เท่านั้น​ ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับความเป็นประชาธิปไตย จึงพยายามเชิญชวนให้มาใช้สิทธิ์มากๆ

ถามว่า มีบางพรรคบอกอุดรฯ เป็นเมืองหลวงของคนเสื้อแดง นายพิธากล่าวว่า​ ถ้าดูตัวเลขจากการเลือกตั้งปี 2566 พรรคเพื่อไทยมาอันดับ 1 คือกว่า 300,000 แสนคะแนน​ อดีตพรรคก้าวไกลมาอันดับ 2 คือกว่า 200,000 แสนคะแนน พรรคไทยสร้างไทยอันดับ​ 3 คือกว่า 100,000 คะแนน ถ้าอันดับ 2 กับ 3 รวมกัน ก็ชนะพรรคเพื่อไทย จึงควรใช้คำว่าเมืองหลวงประชาธิปไตย ไม่ใช่เมืองหลวงเสื้อแดง

ซักว่านายทักษิณระบุนายพิธากลัวแพ้ จึงต้องบินกลับมาจากสหรัฐ​อเมริกา นายพิธากล่าวว่า​ เรื่องนี้มี 2 ประเด็น คือเรื่องกลัวแพ้ ก็แพ้มาเยอะ ชนะมาก็แยะ​ อุดรฯ เขต 1 ปี 62 ตอนเป็นอนาคตใหม่ก็แพ้ พอปี 66​ เป็นพรรคก้าวไกลก็ชนะ​ ผู้สมัครนายก อบจ.คนปัจจุบันของพรรคเพื่อไทย​ เพราะฉะนั้นมีแต่เผด็จการเท่านั้นที่กลัวแพ้การเลือกตั้ง​

เมื่อถามว่า กังวลการลงพื้นที่ของนายทักษิณหรือไม่ นายพิธากล่าวว่า ไม่รู้สึกกังวล แต่รู้สึกดี เพราะทำให้มีสีสัน ทำให้ประชาชนมีความสนใจ เนื่องจากในการเลือกตั้งระดับชาติก็มีกติกาหนึ่ง มีเลือกตั้งล่วงหน้า มีเลือกตั้งข้ามเขต ประชาชนให้ความสนใจ แต่เมื่อเป็นการเลือกตั้ง ส.อบจ.หรือ อบจ.แค่จังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง ก็อาจจะไม่ได้รับการประชาสัมพันธ์จาก กกต.เท่าที่ควร ถ้ามีการแข่งขันของเบอร์ 1 เบอร์ 2 มีการลงพื้นที่กันเยอะ ประชันวิสัยทัศน์กันเยอะ ก็ทำให้ประชาชนสนใจ และหวังว่าการจะทำให้การใช้สิทธิ์ครั้งนี้สูงกว่า 56%

ถามว่า สนามเลือกตั้ง อบจ.เป็นโจทย์ยากหรือไม่ เพราะต้องทลายกำแพงบ้านใหญ่ที่เดิมเป็นสีแดงเกือบทั้งจังหวัด นายพิธากล่าวว่า เป็นโจทย์ยากที่บริหารได้ อย่างน้อยเราทราบว่าในการเลือกตั้งปี 66 คนมาใช้สิทธิ์ 76% พอเลือกตั้ง อบจ.เหลือแค่ 60% เพราะข้ามเขตไม่ได้ เลือกตั้งล่วงหน้าไม่ได้ จึงต้องทำนโยบายในพื้นที่ให้จับต้องได้ มีความชัดเจนมากขึ้น 

นายพิธามองว่า หากชนะการเลือกตั้งครั้งนี้น่าจะมาจากหลายปัจจัย ทั้งตัวผู้สมัครและคู่แข่งก็มีความสำคัญ รวมถึงนโยบายตรงใจประชาชนแค่ไหน แต่ตนยังยืนยันในความสำคัญของผู้มาใช้สิทธิ์ หากเกิน 70% ก็ทำให้เกิดความชอบธรรม และมีโอกาสชนะมากขึ้น แต่ขณะเดียวกัน ถ้าคนมาใช้สิทธิ์น้อยก็น่าจะยาก

ถามกรณีนายทักษิณประกาศสมัยหน้าจะคว้า สส.ไม่น้อยกว่า 200 เก้าอี้ นายพิธากล่าวว่า​ ก็เหมือนตอน นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว อดีตหัวหน้าพรรค พท. หรือ น.ส.แพทองธารพูดเรื่องแลนด์สไลด์ ก็แค่นั้น พอถึงเวลา ผลลัพธ์หลังเลือกตั้งประชาชนเป็นคนตัดสิน วางแผนได้ ทางตนก็เคยวางไว้ตอนเป็นอดีตก้าวไกล เชื่อว่านายณัฐพงษ์ก็คงวางแผนของตัวเองเช่นกัน ดังนั้นประชาชนจะเป็นคนตัดสิน

ในช่วงท้ายนายพิธายังอ้อนคนอุดรฯ ขอคะแนนเสียงให้ผู้สมัคร โดยระบุว่า "ฮักหลายๆ ไม่ว่าจะเป็นประเพณีไทยสำคัญขนาดไหน เช่นตอนสงกรานต์ ผมก็อยู่อุดรฯ ลอยกระทงผมก็ยังอยู่ แสดงให้เห็นความผูกพันที่มีต่อพี่น้องชาวอุดรฯ หวังว่าศุกร์ เสาร์ อาทิตย์นี้ จะมีโอกาสมาพบปะกันให้หายคิดถึง"

​ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงเย็นนายพิธา​ได้ยกเลิกภารกิจลอยกระทงร่วมกับคนอุดร​ฯ เปลี่ยนเป็นเดินพบประชาชนบริเวณถนนคนเดินแทน​  เนื่องจากกังวลว่าจะผิดกฎหมายเลือกตั้งในเรื่องห้ามจัดมหรสพ

เตือนทักษิณระวังปากพาจน

ด้านนายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์เฟซบุ๊กหัวข้อ "ทักษิณปราศรัย ระวังปากพาจน" ระบุว่า นายทักษิณ ชินวัตร ได้ขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงนายก อบจ.อุดรธานี หลายเวที ใช้คำพูดที่ดุเดือดรุนแรง  วิญญาณเดิมของคุณทักษิณกลับคืนมา โดยไม่สนใจอะไรในสังคม มีหลายคำที่พูดเป็นคำหยาบ เหยียดหยามฝ่ายตรงข้าม แต่มีตอนหนึ่งที่ผมเห็นว่าคุณทักษิณพูดแล้วสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศ จากการกล่าวคำปราศรัยตอนหนึ่งว่า               "เห็นสภาพบ้านเมืองแล้วหดหู่ หากปล่อยไว้แบบนี้คนไทยจะเหมือนคนลาว ถูกพัฒนาช้า พัฒนาเร็วเฉพาะส่วน คนส่วนใหญ่ถูกทอดทิ้ง ตนก็เป็นคนบ้านนอก ฉะนั้น ใจผมเป็นห่วงที่สุดคือคนรากหญ้า สิ่งที่ยากเลยคือนักการเมืองเฮงซวย หากการเมืองเฮงซวยเมื่อไหร่ นักการเมืองก็เฮงซวยตาม แต่ระหว่างที่ผมออกไปเขาก็สร้างระบบกติกาให้การเมืองมันเฮงซวยขึ้นเรื่อยๆ"

นายเทพไทกล่าวว่า การปราศรัยของนายทักษิณช่วงสั้นๆ แต่พาดพิงในหลายส่วน เช่น 1.การกล่าวหาสภาพบ้านเมืองหดหู่ พัฒนาช้า ต้องถามคุณทักษิณว่า คุณเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาบ้านเมือง ที่ทำให้การเมืองถอยหลังเข้าคลอง ถ้าคุณเป็นรัฐบาลที่ซื่อสัตย์สุจริต ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน และทุจริตเชิงนโยบาย ก็ไม่มีการรัฐประหารมาทำให้ประชาธิปไตยถอยเข้าคลอง 2.การกล่าวพาดพิงไปถึงคนลาวพัฒนาช้า เป็นการบูลลี่คนลาว ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้าน โดยมารยาทไม่ควรยกตัวอย่างเปรียบเทียบให้เขาได้รับความเสียหาย ควรให้เกียรติและให้ค่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นคนลาวหรือคนไทย

3.การพูดถึงชีวิตคนรากหญ้า ซึ่งคุณทักษิณได้สร้างนโยบายประชานิยม จนคนไทยเสพติดการแจกเงิน แม้ว่าคุณทักษิณจะประกาศว่า รัฐบาลที่แจกเงินคือรัฐบาลปัญญาอ่อน แต่ในที่สุดรัฐบาลแพทองธารก็แจกเงินให้กับประชาชนคนละ 10,000 บาทมาแล้ว และบนเวทีปราศรัยคุณทักษิณยังประกาศว่า จะแจกเงินคนละ 10,000 บาท ให้กับคนอายุ 60 ปีขึ้นไป ที่ไม่ใช่กลุ่มคนเปราะบางอีกด้วย การแจกแบบนี้ต้องถามว่าเป็นรัฐบาลปัญญาอ่อนหรือไม่ 4.การด่านักการเมืองเฮงซวย การเมืองเฮงซวย ต้องบอกว่าคำพูดแบบนี้ไม่ควรจะออกมาจากปากของอดีตนายกรัฐมนตรี คุณทักษิณเองก็เป็นนักการเมือง ลูกสาวก็เป็นนักการเมือง คนในตระกูลเป็นนักการเมือง ถ้าจับเหมารวมว่านักการเมืองเฮงซวย ก็หมายความว่าคนในตระกูลชินวัตรเฮงซวยด้วยใช่หรือไม่

5.คุณทักษิณอ้างว่า ตอนที่ตนไม่อยู่ มีการสร้างกติกาทางการเมืองที่เฮงซวยนั่น น่าหมายถึงกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ต้องถามคุณทักษิณว่า ถ้ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ดี เป็นรัฐธรรมนูญเฮงซวย ทำไมพรรคเพื่อไทยไม่เดินหน้าเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ทำไมต้องยกเว้นหมวด 1 และหมวด 2 อย่าทำเป็น “เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง” อะไรได้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็เอา อะไรเสียประโยชน์ ก็จะด่าว่ากฎหมายเฮงซวย

"ผมเห็นการปราศรัยของนายทักษิณใช้ถ้อยคำที่รุนแรงหลายครั้ง แต่ผมยกมาเพียงบางส่วนบางตอน เพื่อเป็นตัวอย่างให้เห็นว่าจิตใต้สำนึก และนิสัยที่แท้จริงของนายทักษิณเป็นคนอย่างไร พูดจาสามหาว ใช้คำแรง คำหยาบ ด่ากราดโดยไม่สนใจใคร แสดงตัวตนที่แท้จริงอย่างชัดเจน ระวังปากจะพาจน เหมือนกับการพูดจนต้องคดี ม.112 อยู่ในขณะนี้" นายเทพไทกล่าว

ที่สำนักงาน​คณะกรรมการ​สิทธิมนุษยชน​แห่ง​ชาติ​ (กสม.)​ นายสนธิญา สวัสดี เดินทางยื่นหนังสือพร้อมหลักฐานภาพข่าวการหาเสียงนายก อบจ.อุดรธานี ให้ กสม.ตรวจสอบกรณีนายทักษิณละเมิดสิทธิในประเด็นที่ว่านักร้องเป็นหมา หมาอยู่ส่วนหมา คนอยู่ส่วนคน อย่าสนใจหมาเห่า ทั้งๆ ที่เป็นสิทธิตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ในฐานะนักร้องเรียน นักเคลื่อนไหว ทางด้านการเมืองที่ทำมาแล้วกว่า 17 ปี

นายสนธิญากล่าวว่า ไม่เชื่อว่าจะเป็นคำพูดที่ออกมาจากอดีตนายกฯ 2 สมัย และผู้ที่มีวัยวุฒิสูง การพูดของท่านที่เกี่ยวกับผู้ร้องเรียน ตนเข้าใจว่าท่านกำลังเข้าใจผิดในเรื่องของระบอบประชาธิปไตย มีการแบ่งหน้าที่และมีการตรวจสอบกันได้ตามสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 4 มาตรา 41 (1) (2) มาตรา 50 ตรวจสอบรัฐราชการเพื่อประโยชน์อันสูงสุดของประเทศและประชาชน ซึ่งตนเองก็เป็นคนหนึ่งที่มีสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม หากเข้าข่ายการหมิ่นประมาท ก็จะดำเนินการในขั้นตอนของกฎหมายต่อไป.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'พิธา' เย้ยกลับทักษิณอย่าลืมผลเลือกตั้ง 66 ลั่นอุดรฯคือเมืองหลวงประชาธิปไตย

นายพิธา​ ลิ้ม​เจริญ​รัตน์​ ประธานที่ปรึกษาคณะก้าวหน้าและอดีตหัวหน้า​พรรค​ก้าวไกล​ ในฐานะผู้ช่วยหาเสียง​ นายคณิศร​ ขุริรัง​ ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานีจากพรรคประชาชน