จวกทักษิณลวงโลก! ลืมสัจจะวาจาไม่ยุ่งการเมืองจะกลับมาเลี้ยงหลาน

ฮึกเหิม! "สทร." บอกเห็นมวลชนมาเยอะหัวใจพองโต ซัดพวกอิจฉาหาครอบงำ นักร้องไม่รู้ร้องอะไรนักหนา แนะ "ปชน." หาเสียงไม่ต้องเสนอ กม.ใหม่ ให้ยกเลิก กม.เก่าดีกว่า ลั่น กม.เฮงซวย คนเขียนมองแต่หน้าผมจนประเทศไปไหนไม่ได้ ชี้ต้องมีสปิริต แข่งขันจบต้องหันหน้าเข้าหากัน เชื่อ รบ.อยู่ครบเทอม พรรคร่วมคุยกันจบทุกปัญหา ฟุ้งกลางปีหน้านายกฯ อิ๊งค์นำพาเจอแสงสว่าง แย้มเงินหมื่นมาอีกแน่ "จตุพร-เทพไท-คปท." ประสานเสียง "ทักษิณ" สิ้นมนตร์ขลัง  ปลุกกระแสไม่ขึ้น เหตุลืมคำพูดตัวเอง ซัดกลับแรง เสือกตอแหล ลวงโลก "สมชัย" ชี้่ช่องเอาผิด "แม้ว" ปราศรัยช่วยหาเสียงนายก อบจ.อุดรธานี

เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งเป็นวันที่สองในการลงพื้นที่จังหวัดอุดรธานีเพื่อช่วยนายศราวุธ เพชรพนมพร ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ในนามพรรคเพื่อไทย (พท.) หาเสียงเลือกตั้ง ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้ตั้งตำแหน่งให้ตัวเอง "สทร."  ที่แปลว่าเสือกทุกเรื่องนั้น ตั้งแต่ช่วงเช้าได้เดินทางมาที่ร้านคิงส์โอชา เพื่อรับประทานอาหารเช้า พร้อมกับนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาว รวมไปถึง สส.และแกนนำของพรรคเพื่อไทย โดยมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ก่อนจะโบกมือทักทายสื่อมวลชนและผู้สนับสนุนที่มารอให้การต้อนรับ    พร้อมทั้งรับประทานอาหารเช้าทั้งไข่กระทะ ข้าวเปียกเส้น ชานมร้อน ข้าวเกรียบ ขนมปัง พร้อมกับบอกว่า อาหารอร่อย ไม่ได้กินมานานแล้ว

นายทักษิณได้ชี้ที่เสื้อตัวเองแล้วพูดว่า "เสื้อของผมที่ใส่ในวันนี้ ใส่มาตั้งแต่สมัยเป็นนายกรัฐมนตรี 20 กว่าปีแล้ว กลับยังแขวนอย่างเดิม ก็เลยเอาไปซักแห้งแล้วมาใส่ใหม่"

จากนั้นเวลา 09.45 น. นายทักษิณเดินทางไปช่วยนายศราวุธหาเสียงที่ตลาดนัด 4 ธันวา อำเภอบ้านดุง พร้อมขึ้นเวทีปราศรัย โดยนายทักษิณได้ทักทายว่า คิดถึงคนอุดร โดยเฉพาะบ้านดุง ทุ่งฝนก็มาด้วย ใครทันตอนที่ตนเป็นนายกรัฐมนตรีบ้างหรือไม่ ที่ต้องถามแบบนี้เพราะตอนนี้อายุ 75 ปีแล้ว แต่จริงๆ แล้วความรู้สึกยัง 25 เพราะอีก 25 จะครบ 100 ปี

"เวลาที่กลับมาเห็นพี่น้องเยอะๆ หัวใจมันพองโต เมื่อก่อนตอนเป็นสมัยไทยรักไทย ผมมาเจอพี่น้องต่างจังหวัด ผมกลับไปมีความสุข และกลับไปนั่งคิดอย่างเดียวว่าจะทำอย่างไรให้เขาหายจน ในเรื่องหนี้นายกฯ อิ๊งค์บอกได้สั่งการกระทรวงการคลัง ให้ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทยและสมาคมธนาคาร หาทางลดหนี้ ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้กับพี่น้อง โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนที่เกิดจากการผ่อนรถผ่อนบ้านทั้งหลาย ก็จะมีการดูแลเป็นพิเศษ" นายทักษิณกล่าว

เจ้าของตำแหน่ง "สทร." กล่าวว่า เขาเล่าให้ฟังว่าแม้กระทั่งข้าวที่จัดส่งออกต่างประเทศก็ต้องผ่านสมาคมผู้ส่งออก มีการตรวจสารพัดอย่าง ซึ่งเป็นต้นทุนของเกษตรกร และกฎหมายนี้ก็ใช้ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ช่วงนั้นที่บอกว่าข้าวเป็นยุทโธปกรณ์หรือเครื่องมือทางทหารที่ต้องควบคุม แต่ทุกวันนี้ก็ยังใช้กฎหมายเดิมอยู่ ฉะนั้นนายกฯ จึงบอกว่าสงสัยต้องยกเลิกกฎหมายเก่าๆ ที่ทำให้คนไทยจน โดยเฉพาะเสรีภาพทางการค้าขายต่างๆ กฎหมายโบราณทั้งนั้นที่เป็นอุปสรรคให้ชาวบ้านยากจน

"เวลาพรรคประชาชน (ปชน.) มาหาเสียง ท่านต้องบอกพรรคประชาชนว่าไม่ต้องเสนอกฎหมายใหม่หรอก ยกเลิกกฎหมายเก่าที่เป็นปัญหากับประชาชนดีที่สุด วันนี้แข่งกันออกกฎหมายใหม่ แข่งกันไปทำไม เพราะกฎหมายเก่าเฮงซวยกันเยอะแยะ ก่อนสร้างสิ่งใหม่ เอาสิ่งเฮงซวยออกไปก่อน ล้างซวย” เจ้าของตำแหน่ง "สทร." กล่าว

นายทักษิณยังได้ถามว่า ใครได้เงิน 10,000 ไปแล้วบ้าง คนที่ไม่ได้ อยากได้หรือไม่ มาแน่ มาช้าดีกว่าไม่มาใช่หรือไม่ และเป็นวัฒนธรรมที่สืบมาจากพรรคไทยรักไทย ที่พูดอะไรแล้วต้องทำ แต่วันนี้ทำยากกว่าเมื่อก่อน เพราะมีกลไกข้าราชการใหญ่โต เทอะทะจากการปฏิวัติ และออกกฎหมายเฮงซวยไว้เยอะแยะ กฎหมายบางฉบับคนเขียนก็เอารูปผมตั้งไว้แล้วบอกว่ากูจะจัดการมันอย่างไรดี จนประเทศไปไหนไม่ได้ เพราะมันมองเห็นแต่หน้าผม และโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง เขาเชิญคนที่เก่งมาช่วยให้ประเทศเจริญ แต่บ้านเราพวกขี้อิจฉาเยอะ

สทร.ซัดพวกอิจฉาหาครอบงำ

"มันอิจฉาอะไรก็ไม่รู้ ทำให้การช่วยเหลือบ้านเมืองนั้นทำได้ยาก หาว่าครอบงำ นักร้องก็เยอะ ไม่รู้มันร้องอะไรนักหนา วันนี้ผมไม่คิดอะไรมาก แค่อยากช่วยชาวบ้านให้หายจน อยากให้ยาเสพติดหมดไป สิ่งเหล่านี้ต้องใช้ความพยายามสูง พี่น้องต้องเป็นกำลังใจที่สำคัญ เป็นกำลังใจ ผมกลับมาแล้วพี่น้องต้องมีกำลังใจอีกนิด" นายทักษิณกล่าว

อดีตนายกฯ กล่าวว่า "ทุกวันนี้ระบบราชการเทอะทะ การควบคุมมากเกินไป ไม่ไว้ใจประชาชน จริงๆ แล้วประชาชนช่วยตัวเองได้และตัดสินใจได้ เพียงแต่ให้เขามีอำนาจ ที่ผมใช้คำว่าเพิ่มอำนาจให้ประชาชน ประเทศจะเจริญได้ต้องลดอำนาจภาครัฐ แล้วมาเพิ่มอำนาจให้ภาคประชาชน เพื่อป้องกันเรื่องโอกาสที่ไม่เท่าเทียมกัน พรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาชนหรือพรรคสีส้มนั้นมีความเหมือนคือ เรื่องของความเท่าเทียม  แต่พรรคประชาชนบอกว่าความเท่าเทียมทุกคนเท่ากันในฐานะหรือสถานะ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่พ่อจะเท่ากับลูก"

"ขอให้มั่นใจว่ากลางปีหน้าจะเห็นแสงสว่าง ปลายปีหน้าท่านจะรู้สึกว่าชีวิตดีขึ้นเยอะ ผมขับรถผ่านเห็นคู่แข่ง บางรูปเห็นรูปคู่กับเท้ง (นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน) บางรูปก็คู่กับนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แสดงว่าเขามองว่านายพิธาหล่อกว่าเท้ง แต่ของศราวุธ ไม่ต้องกังวล ติดรูปนายกฯ อิ๊งค์ก็ได้ เพราะเป็นหัวหน้าพรรค ไม่ต้องติดรูปผม เพราะหน้าตาเหมือนผมอยู่แล้ว นายกฯ อิ๊งค์เขาสวยกว่าผม แต่ผมหล่อกว่านายกฯอิ๊งค์" อดีตนายกฯ กล่าว

นายทักษิณกล่าวตอนท้ายว่า "ขอให้พี่น้องมีพลัง มีกำลังใจ วันนี้เพื่อไทยกลับมาเป็นรัฐบาลแล้ว เป็นพรรคที่เป็นนักแก้เศรษฐกิจ นักแก้ปัญหายาเสพติด นักกระจายอำนาจลงสู่ภาคประชาชน และวันนี้จะเป็นนักแก้การผูกขาด ขอให้พี่น้องอดทน เราร่วมกันอีกนิดเดียว ผมมั่นใจว่าสิ่งเหล่านั้นท่านจะได้เห็นก่อนการเลือกตั้งใหญ่ในปีหน้า...เอ๊ย ปี 70 ขอโทษ เดี๋ยวจะตีความว่าจะยุบสภา อย่าเชื่อผมมาก ไปเชื่อลูกสาวผม ผมยังเชื่อเขาเลย"

ต่อมานายทักษิณให้สัมภาษณ์ว่า พอขึ้นเวทีแล้วรู้สึกว่าอายุเหมือน 25 แต่พอลงมาแล้วเหมือนอายุ 75 ปี ซึ่งที่พูดไปก็ขึ้นอยู่กับคนฟัง ถ้าคนฟังเขาอยากฟัง ก็มีความสนุกสนาน ก็มีอารมณ์อยากจะพูดด้วย

เมื่อถามว่า ดูเหมือนเครื่องเริ่มติดแล้วใช่หรือไม่ นายทักษิณกล่าวว่า เครื่องติด แต่พอกลับไปถึงโรงแรมก็หลับ พอถึงกรณีที่มีการย้ำหลายครั้งว่าตัวเองกลับมาแล้วขณะที่ปราศรัยนั้น มีอะไรที่เป็นปัจจัยใหม่ให้ตัดสินใจกลับมาขึ้นเวทีทางการเมือง ทั้งที่เคยบอกว่าจะกลับมาเลี้ยงหลาน นายทักษิณกล่าวว่า ไม่มีอะไร แค่อยากช่วยบ้านเมือง ในฐานะที่เคยเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี และเป็นคนไทย มันก็อดไม่ได้ที่จะห่วงใยบ้านเมือง เห็นอะไรไม่ดีก็อดไม่ได้ จึงต้องตั้งตำแหน่งให้ตัวเองว่า สทร. (เสือกทุกเรื่อง) ด้วยความห่วงใย

ซักว่า บนเวทีเมื่อวันที่ 13 พ.ย. ได้พูดถึงความสัมพันธ์ของพรรคร่วมรัฐบาล ประกอบกับมีกระแสข่าวว่ารัฐบาลจะอยู่ไม่ถึงตรุษจีนปีหน้าเกี่ยวกันหรือไม่ นายทักษิณกล่าวว่า เอาวิเคราะห์นะ ก็คิดว่าน่าจะอยู่ครบเทอม ไม่น่าจะมีอะไรที่เป็นปัญหา พรรคร่วมเห็นต่างกันก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ถึงเวลาเขาก็คุยกันรู้เรื่องหมด ท่านนายกฯ เชิญแต่ละพรรคร่วมคุยกันก็รู้เรื่องหมด

ถามถึงคดีความต่างๆ ที่นายกฯ โดนร้องจะเป็นอุปสรรคทำให้พรรคร่วมรัฐบาลอยู่ไม่ครบเทอมหรือไม่ นายทักษิณกล่าวว่า ไม่เห็นมีอะไร คือบ้านเรา กฎหมายอยู่ที่คนจะตีความ ถ้าคนอยากจะหาเรื่องมันก็คิดหาเรื่องทุกวัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ต้องให้ความสำคัญมาก เราทำอะไรให้ถูกต้องก็เท่านั้นแหละ

ซักต่อว่า ที่ปราศรัยใช้คำว่ากฎหมายเฮงซวย  ตอนที่พูดนั้นคิดถึงเรื่องอะไร นายทักษิณกล่าวว่า  จำไม่ได้ แต่กฎหมายเราไปแก้โดยมองคนมากไป ช่วงนั้นเขากลัวตน พยายามเขียนกฎหมายกันนั่นกันนี่ แต่กันไปกันมาไม่ได้ กันตนแค่คนเดียวกลายเป็นกันระบบ แทนที่จะมีคนมาช่วยทำงานให้บ้านเมือง คนตั้งใจและมีความปรารถนาที่ดี มีความคิดดีๆ มาช่วยกันก็จะมีปัญหาเรื่องข้อกฎหมาย ก็กลายเป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากเข้ามา เมื่อไม่มีใครอยากเข้ามา ก็ได้คนที่มีคุณภาพไม่พอเข้ามาแก้ปัญหาประเทศ ขณะที่ทั้งโลกพยายามระดมคนหัวดีมาช่วยงานกัน แต่บ้านเราเอาเฉพาะพวกเดียวกัน แบบนี้นั้นไม่ได้ ต้องเห็นแก่ส่วนรวม

ถามอีกว่า ที่พูดบนเวทีมีคนอิจฉาหมายถึงใครหรือกลุ่มใด นายทักษิณกล่าวว่า ไม่รู้เหมือนกัน แต่รู้ว่าทุกคนเดาได้ การแข่งขันทุกอย่างต้องมีกติกา เมื่อจบการแข่งขันทุกคนต้องหันหน้าเข้าหากัน มีสปิริตความเป็นนักกีฬา ไม่ใช่บอกว่าบอลแข่งแพ้แล้วใช้ปืนยิง อย่างนี้มันใช้ไม่ได้ เมื่อถามว่าโครงสร้างของรัฐบาลในขณะนี้เทอะทะเกินไป ควรจะแก้ไขอย่างไร นายทักษิณกล่าวว่า ระบบราชการของประเทศไทยขยายในช่วงที่ตนไม่อยู่ 17 ปี แล้วส่วนราชการที่ขยายมากคือส่วนภูมิภาค และแทนที่จะกระจายอำนาจให้ประชาชนมากขึ้น กลับไปเพิ่มอำนาจให้ภาครัฐ ที่อยู่ใกล้ชิดประชาชน ซึ่งจะทำให้ค่าใช้จ่ายสูง ระบบราชการเทอะทะ และประชาชนไม่มีสิทธิ์มีเสียง

หนูลั่น 'ภท-พท.' ไม่ขัดแย้งกัน

นายทักษิณยังได้กล่าวถึงกรณีที่เคยให้สัมภาษณ์ที่วัดคลองครุว่า แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลเข้าไปที่บ้านจันทร์ส่องหล้าเพื่อกินมาม่า ว่า “ผมบอกแล้วว่ามาม่าอร่อย ผมโฆษณาให้มาม่า” เมื่อถามว่าระหว่างดูแลครอบครัวชินวัตรและพรรคเพื่อไทยให้ยิ่งใหญ่จะต้องทำอย่างไร  นายทักษิณกล่าวว่า ไม่ต้องทำอะไรเลย

ขณะที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวถึงการลงพื้นที่ของนายทักษิณว่า คนไทยทุกคนถ้าคิดจะทำคุณประโยชน์ให้กับบ้านเมือง ทำแล้วประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เศรษฐกิจดีขึ้น ไม่จำเป็นต้องเป็นใครคนใดคนหนึ่ง ทุกคนช่วยกันทำประเทศไทยจะดีขึ้น

ถามว่า นายทักษิณระบุตอนนี้พรรคร่วมรัฐบาลสามัคคีกันดี นายอนุทินกล่าวว่า เป็นพรรคร่วมรัฐบาล ภาพรวมเป้าหมายต้องเหมือนกัน ซึ่งการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลเป้าหมายหลักคือประชาชนและประเทศชาติ ตรงนี้เหมือนกันแน่นอน ส่วนการดำเนินการก็เป็นไปตามภารกิจของแต่ละกระทรวงร่วมกันขับเคลื่อนอย่างดี

ซักว่าการที่นายทักษิณออกมาระบุเช่นนี้ เป็นการสยบข่าวความขัดแย้งระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทยกรณีเขากระโดงหรือไม่  นายอนุทินยืนยันว่า ไม่เคยมีความขัดแย้ง ตนถึงได้พูดว่าเปลี่ยนชื่อเป็นบ่างกันหรือยัง เพราะเรื่องความขัดแย้งเป็นการคาดคะเนของคนที่ไม่อยู่ในวง มีตรงไหนที่แสดงให้เห็นถึงความขัดแย้ง

ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ว่า นายทักษิณปราศรัยหาเสียงช่วยผู้สมัครนายก อบจ.ที่อุดรฯ จะวัดความนิยมอะไรไม่ได้ เพราะมีขบวนการจัดการระดมคนมาฟังมากกว่ามาด้วยความศรัทธาเชื่อมั่น นอกจากนี้ เสียงพูดบนเวทีกลับแผ่วเบาไม่ทรงพลัง ซึ่งคงอายุมากแล้ว ขณะที่เสียงต้อนรับจากประชาชนกลับไม่ดังกระหึ่มน่าเกรงขาม  โดยแสดงออกด้วยอารมณ์ร่วมแบบฝืดๆ

นายจตุพรกล่าวว่า การกระทำทางการเมืองยุคปัจจุบันสามารถทำให้เกิดจุดเปลี่ยนได้ ยิ่งการตระบัดสัตย์แล้วไม่รับผิดชอบ เกิดนโยบายสุ่มเสี่ยงกระทบต่อเขตแดนและผลประโยชน์ชาติ บางโครงการซ้อนการทำลายชาติ ขายชาติไว้  ฉะนั้นประชาชนควรคิดอ่านถึงการกระทำทางการเมืองเช่นนี้ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวันข้างหน้า

"ทักษิณขออนุญาตกลับบ้านเพื่อเลี้ยงหลาน กลับใช้โอกาสนี้เคลื่อนไหวมวลชน ซึ่งไม่สมควรกระทำ เพราะต้องมีสัจจะวาจาต่อคำพูดของตัวเองด้วย ดังนั้นหากการเมืองไม่มีสัจจะวาจากันเช่นนี้ ย่อมโกหกประชาชนอยู่เรื่อย" นายจตุพรกล่าว

วิทยากรคณะหลอมรวมฯ กล่าวว่า คำพูดหาเสียงที่อุดรฯ ทักษิณย้ำได้กลับมาแล้ว คนอุดรฯ อย่าลืมกัน ที่พูดเช่นนี้เพราะเมื่อยังไม่กลับไทยทักษิณได้รับความนิยมสูงสุด เนื่องจากถูกยึดอำนาจ ไม่ได้รับความยุติธรรม แต่หลังวันที่ 22 ส.ค.2566 ที่กลับไทย ความรักความศรัทธากลับเสื่อมทรุดรวดเร็ว ด้วยการเป็นอภิสิทธิ์ชนอ้างป่วยอยู่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ ไม่ยอมติดคุก กลายเป็นคนสองมาตรฐาน ที่เป็นหลักการต่อสู้ของคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553

หยัน'ทักษิณ'ปลุกกระแสไม่ขึ้น

นายจตุพรกล่าวว่า ถ้าทักษิณยอมติดคุก และประกาศไม่ข้ามขั้วตั้งรัฐบาลแล้ว ทุกอย่างจะแข็งแรงอย่างยิ่ง เพราะคนที่ออกมาสู้แล้วตาย เพราะอยากให้ทักษิณกลับบ้าน ต้องการความยุติธรรม ไม่เอาสองมาตรฐาน ไม่เอาแบบอภิสิทธิ์ชน แต่พอได้กลับมาไทยก็ทำสวนทางกับประชาชน ต่อสู้ทุกข้อ แล้วเขาจะรู้สึกอย่างไร ดังนั้นทักษิณจึงต้องบอกว่า อย่าลืมผม และผมกลับมาแล้ว ทั้งที่กลับมาปีกว่าแล้ว ยังมาบอกว่าผมกลับมาแล้ว

"วันที่ทักษิณปราศรัยหาเสียงก็เหมือนนักการเมืองทั่วไป ทั้งที่แต่เดิมนั้นมีจุดแข็งสองอย่างคือ จุดยืนประชาธิปไตยและการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ขณะที่จุดแข็งเช่นนี้ไม่มีเหลืออีกแล้ว เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน ความสำเร็จก็เปลี่ยน  ประชาชนก็เปลี่ยน และตัวเองยังเปลี่ยน ดังนั้นอย่าได้หลงใหลกับความสำเร็จในอดีตมันมากมายนัก" นายจตุพรกล่าว

เช่นเดียวกับ นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์คลิปพร้อมเนื้อหาในหัวข้อ “ทักษิณ ปราศรัย : ชมลูกสาว เล่าความหลัง”  ตอนหนึ่งระบุว่า ติดตามการปราศรัยของนายทักษิณ ชินวัตร บนเวทีหาเสียงนายก อบจ.อุดรธานีแล้ว ทำให้นึกถึงคำที่พูดถึงนิสัยของคนแก่คือ “กินของขม ชมเด็กสาว เล่าความหลัง” เพราะการปราศรัยของนายทักษิณเป็นเหมือนผู้เฒ่า ที่ “ชมลูกสาว เล่าความหลัง” การปราศรัยฟอร์มตกมาก พยายามรื้อฟื้นผลงานสมัยที่เป็นนายกรัฐมนตรี ทำเศรษฐกิจดีมาโอ้อวด หลงอยู่กับผลงานในอดีต พยายามสร้างภาพให้เห็นว่าเป็นคนปราบยาเสพติดได้ผล จึงกล้าพูดบนเวทีให้บอกพ่อค้ายาว่า ทักษิณมาแล้ว และพูดถึงนโยบายที่รัฐบาลจะทำล่วงหน้า เหมือนกับเป็นนายกรัฐมนตรีเอง

"นายทักษิณใช้เวทีนี้ฉายภาพความเคลื่อนไหวทางการเมืองผ่านสื่อไปทั่วประเทศ เพราะรู้ดีอยู่ว่าการขึ้นเวทีปราศรัยครั้งนี้เป็นที่จับจ้องของสื่อทุกแขนง และนำภาพความเคลื่อนไหวไปเสนอให้ประชาชนทั้งประเทศได้รับรู้ ซึ่งได้ผลมากกว่าการเคลื่อนไหวในวาระอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับการเมือง" นายเทพไทกล่าว

ส่วนนายพิชิต ไชยมงคล แกนนำเครือข่ายประชาชนปฏิรูปประเทศ (คปท.) โพสต์เฟซบุ๊ก กล่าวถึงกรณีนายทักษิณขึ้นเวทีปราศรัยตอนหนึ่งว่า ก่อนหน้าเดินทางมาไทย พูดที่เมืองนอกว่าผมวางมือทางการเมืองแล้ว อยากกลับเมืองไทยมาเลี้ยงหลาน ไม่ยุ่งแล้วการเมือง พูดที่เมืองนอกอยากกลับมาเลี้ยงหลาน พูดหาเสียงทางการเมือง ให้ฉายาตัวเอง เสือกทุกเรื่อง เลือกทักษิณเบอร์ 2 เสือกตอแหลจริงๆ ทักษิณคนลวงโลก พูดอย่างทำอย่าง

นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โพสต์เฟซบุ๊กลักษณะถามตอบกรณีทักษิณไปช่วยหาเสียง อบจ.อุดรธานี ทั้งข้อถามที่ว่า คุณทักษิณไปช่วยหาเสียงได้หรือไม่ และมีป้ายรูปคุณทักษิณ ในการหาเสียงประกบกับผู้สมัครได้หรือไม่ อย่างไรก็ตามที่น่าสนใจคือคำถามและคำตอบที่ว่า คุณทักษิณพูดบนเวทีว่า ถ้าจะเลือกทักษิณ ให้เลือกเบอร์ 2 ผิดหรือไม่

นายสมชัยตอบว่า มีโอกาสสุ่มเสี่ยงว่าผิดมาตรา 65 (5) พ.ร.บ.เลือกตั้งท้องถิ่น ว่าด้วยการหลอกลวงให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมผู้สมัคร ผู้ทำผิดมีโทษจำคุก 1-10 ปี ปรับ 20,000-200,000 หรือทั้งจำทั้งปรับ และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 20 ปี (มาตรา 126 พ.ร.บ.เลือกตั้งท้องถิ่น) ส่วนผู้สมัคร อาจได้รับคำวินิจฉัยให้เป็นการเลือกตั้งที่ไม่สุจริต (ใบเหลือง) ได้ ส่วนใครมีสิทธิร้องต่อ กกต. คำตอบต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการเลือกตั้ง อบจ.อุดรธานี คือ ผู้สมัครด้วยกัน หรือผู้มีสิทธิเลือกตั้ง

อย่างไรก็ตาม นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. กล่าวถึงการหาเสียงเลือกตั้งนายก อบจ.อุดรธานีว่า เท่าที่ติดตาม พบว่ายังอยู่ในกรอบ การแข่งขันที่สูงหรือเข้มข้น ไม่ได้บอกว่าจะผิดกฎหมาย ยอมรับว่ามีโอกาสที่จะผิดกฎหมายอยู่เหมือนกัน ซึ่งที่ผ่านมาต้องบอกว่าไม่ว่าการเลือกตั้งระดับชาติหรือระดับท้องถิ่น สู้กันที่วิธีคิด นำเสนอนโยบาย มากกว่าที่จะไปใช้วิธีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยดูจากการติดตามการเลือกตั้ง อบจ.หลายแห่ง พบว่าเป็นไปในลักษณะเช่นนั้น และประชาชนยังไปใช้สิทธิ์น้อย.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

“รัฐบาล”ไฟลต์บังคับ “ทักษิณ”ได้แค่กร่าง

ดรามาปม “อีแอบ” อาจเป็นแค่ประเด็นโชว์กร่าง หวังกดดันให้พรรคร่วมรัฐบาลสยบยอม หลัง “ทักษิณ ชินวัตร” นายใหญ่ ที่มีสถานะเป็นพ่อนายกรัฐมนตรี ได้พ่นไฟระหว่างงานสัมมนาพรรคเพื่อไทยที่ อ.หัวหิน เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.ที่ผ่านมา