ทักษิณเสือกทุกเรื่อง ฟุ้งกลับมาช่วยปชช.ลืมตาอ้าปาก/ไม่ครอบงำมีแต่อิ๊งค์สั่งพ่อ

เสื้อแดงแห่ต้อนรับ "ทักษิณ" ลงอุดรฯ ขึ้นเวทีปราศรัยช่วยผู้สมัครนายก อบจ.เพื่อไทยหาเสียงครั้งแรกในรอบ 18 ปี ขอเวลา  "นายกฯ อิ๊งค์" ทำงาน เชื่อเห็นผล ปชช.ได้ลืมตาอ้าปาก แย้มเดือน ธ.ค.มีข่าวดีแก้ปัญหาหนี้  แจกเงินหมื่น เตือนพ่อค้ายาเสพติด "ทักษิณกลับมาแล้ว" ลั่นแต่งตั้ง ตร.ต้องไม่มีซื้อเก้าอี้ ยันไม่ครอบงำลูกมีแต่ให้ลูกครอบงำ บอกได้ตั้งตำแหน่งตัวเอง "สทร." แปลว่าเสือกทุกเรื่อง   "นายกฯ" บินไปเปรูร่วมประชุมเอเปก

เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2567 นายทักษิณ  ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวนายทักษิณ, นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี และสามีนางเยาวภา, นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช อดีต รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา และคณะ เดินทางจากสนามบินดอนเมืองไปสนามบินอุดรธานี เพื่อช่วยนายศราวุธ เพชรพนมพร ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ในนามพรรคเพื่อไทย (พท.) หาเสียงเลือกตั้ง ระหว่างวันที่ 13-14 พ.ย.2567  ซึ่งนายทักษิณมีกำหนดขึ้นเวทีปราศรัยช่วยผู้สมัครหาเสียงในช่วงเย็น ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 18 ปี ที่นายทักษิณจะขึ้นเวทีปราศรัยทางการเมือง

ทั้งนี้ นายทักษิณและคณะโดยสารเครื่องบินของสายการบิน Air Asia FD 3558 ซึ่งเป็นไฟลต์โดยสารปกติ ได้ที่นั่ง A2 ริมหน้าต่าง นายทักษิณนั่งแถวสอง โดยบอกกับทีมงานว่า “ผมนั่งตรงไหนก็ได้ ไม่มีปัญหา”

เวลา 15.10 น. คณะของนายทักษิณเดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติอุดรธานี มีนายศราวุธ ผู้สมัครนายก อบจ.อุดรธานีมารอรับ พร้อมมวลชนเสื้อแดงจากจังหวัดต่างๆ ในพื้นที่ภาคอีสานและภาคเหนือ รวมทั้งนายขวัญชัย ไพรพนา อดีตประธานชมรมคนรักอุดร โดยมีการชูป้ายข้อความ คิดฮอดพ่อใหญ่ทักษิณ, ฮักเพื่อไทย ฮักทักษิณ…อุดรยังฮัก รวมถึงป้ายผ้าที่ระบุข้อความว่า 18 ปีที่รอคอยท่านทักษิณ, ด้วยรักและคิดถึงท่านทักษิณ และเราชาวอุดร คิดถึงท่านทักษิณ ขณะที่บางคนนำภาพที่เคยถ่ายกับนายทักษิณมาด้วย

นายทักษิณได้ยิ้มทักทายและรับดอกกุหลาบสีแดงจากมวลชน รวมทั้งนำผ้าขาวม้ามาคล้องที่คอ และต่างโห่ร้องแสดงความดีใจพร้อมตะโกน  "เรารักทักษิณ" ตลอดทางเดิน บางคนโผเข้าสวมกอดด้วยความตื้นตัน ซึ่งนายทักษิณกล่าวทักทายมวลชนและขอบคุณตลอดเส้นทาง

นอกจากนี้ยังมี สส.และแกนนำพรรคเพื่อไทย ทั้งในพื้นที่ภาคอีสานและพื้นที่ใกล้เคียงมารอให้การต้อนรับจำนวนมาก ซึ่งนายทักษิณได้ขึ้นรถตู้สีดำ ทะเบียน ขย 111 อุบลราชธานี ออกเดินทางจากสนามบิน

ที่วัดศรีนคราราม อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี ซึ่งเป็นสถานที่ปราศรัยหาเสียงของนายศราวุธ และนายทักษิณจะมาขึ้นเวทีช่วยปราศรัยหาเสียงในเวลา 17.00 น. มีการจัดเวทีขนาดใหญ่พร้อมเก้าอี้สีแดงประมาณ 10,000 ตัว ไว้รองรับประชาชนที่จะเดินทางมารับฟังปราศรัย นอกจากนี้ บนเวทีมีการขึ้นป้ายไวนิลสีขาว ข้อความ  "อุดรทั้งหัวใจ" นำโดย ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายศราวุธ เพชรพนมพร นายวิเชียร ขาวขำ อดีตนายก อบจ.อุดรธานี และ เลือกศราวุธ เพชรพนมพร เบอร์ 2

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่ช่วงบ่ายบรรยากาศบริเวณเวทีปราศรัยหน้าวัดศรีนครารามเป็นไปอย่างคึกคัก ประชาชนได้มาจับจองที่นั่งจนเต็มพื้นที่ คาดว่ามีจำนวน 10,000 คน ซึ่งก่อนที่นายทักษิณจะขึ้นเวทีปราศรัย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ได้ขึ้นเวทีปราศรัยช่วยหาเสียงให้นายศราวุธ รวมทั้งนายวิเชียร ขาวขำ อดีตนายก อบจ.อุดรธานี ได้ขึ้นกล่าวอำลาชาวอุดรธานีอย่างเป็นทางการ หลังประกาศลาออกจากตำแหน่งเนื่องจากมีปัญหาด้านสุขภาพ

กระทั่งเวลา 16.45 น. นายทักษิณได้ขึ้นเวทีปราศรัยช่วยนายศราวุธหาเสียง โดยเริ่มเว้าเป็นภาษาอีสานว่า "คิดฮอดพี่น้องชาวอุดรหลายเด้อ  18 ปี เพิ่งจะได้ปราศรัยวันนี้ครั้งแรก ปราศรัยที่อุดรฯ เมืองอุดรที่บอกว่าเป็นเมืองหลวงเสื้อแดง จากไป 18 ปีรวยขึ้นหรือไม่ เมื่อก่อนตอนผมอยู่ คนอุดรมีควายหลายตัว แต่วันนี้เหลือกี่ตัว หายหมดแล้ว เหลือแต่ชีวิต และหลายคนไม่ทันตอนที่ผมเป็นนายกรัฐมนตรี 20 กว่าปีที่แล้ว วันนี้ผมแก่  อายุ 75 ปีแล้ว วันนี้ขอเล่าความในใจเล็กน้อยที่มาที่นี่"

ทักษิณตั้งตำแหน่งเอง 'สทร.'

"ขอพูดเล่นก่อนแล้วกันค่อยพูดจริง ตอนนี้ผมกลับมาประเทศไทย มีเงินเดือน 700 บาท ค่าเบี้ยคนชรา วันนี้นายศราวุธ เพชรพนมพร ก็จ้างผมมาหาลำไพ่พิเศษวันละ 300 บาท เพราะกลัวไม่พอกินข้าว แต่ตอนนี้จวนจะ 400 แล้ว เหลือเทคนิคนิดหน่อย แต่จริงๆ แล้วอยากมาขอบคุณพี่น้อง โดยเฉพาะคนอุดรธานีที่ไม่เคยลืมผมเลย ใครอายุเกิน 60 ผมก็เห็นว่าเงิน 10,000 จะมาแล้ว ผมเลือกมาที่อุดรธานี ที่ 17 ปีที่ผมออกไปไม่เคยลืม" นายทักษิณกล่าว

อดีตนายกฯ กล่าวว่า อยู่เมืองนอก 17 ปี ที่อยู่ได้เพราะยึดหลักธรรมคำสั่งสอนพระพุทธเจ้า รู้จักจิตปล่อยวางและไม่ไปลุ่มหลง แต่เมื่อไปเห็นอะไร ก็จะพยายามนึกถึงประเทศไทยและคนไทยตลอด 17 ปีไม่รู้ว่าได้กลับเมื่อไหร่ แต่ในใจคิดอย่างเดียวว่ากูต้องกลับ กลับยังไงหรือกลับเมื่อไหร่ ไม่รู้ ก็สู้ไปเรื่อยๆ แล้ววันนี้ได้กลับมา ได้กราบพระเจ้าอยู่หัว ได้กราบพระพุทธศาสนา และได้กลับมาเจอพี่น้องคนไทยทั้งหมดเป็นความสุขของชีวิต

อดีตนายกฯ กล่าวว่า "ขอแอบนินทาลูกสาว นายกฯ อิ๊งค์ เขาบอกกับผมว่า พ่อ เป็นห่วงเรื่องหนี้ครัวเรือนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนจะโดนยึดบ้านหรือรถ ซึ่งบ้านก็เป็นที่อยู่เป็นความสุขของครอบครัว รถก็เป็นเครื่องมือไว้ทำมาหากิน  คนไทยวันนี้จะโดนยึดบ้านหรือรถกันเยอะแยะ  วันนี้มีทางออกแล้ว นายกฯ อิ๊งค์บอกว่าเดี๋ยวเดือน ธ.ค.จะบอกกับชาวบ้านให้ฟังว่าเราจะลดหนี้ให้ชาวบ้านอย่างไร และจะให้ชาวบ้านมีโอกาสจะใช้หนี้ได้อย่างไร มีโอกาสที่จะลืมตาอ้าปากได้อย่างไร"

 “ผมไม่มีสิทธิ์ครอบงำลูก เพราะผมรักลูกแบบเกรงใจมาก เพราะฉะนั้นต้องให้ลูกครอบงำแทน บางทีลูกนั่งปรึกษาผม แต่สั่งผม ซึ่งสิ่งที่นายกฯ เป็นห่วงคือหนี้สินของชาวบ้านและเรื่องของรายได้ ซึ่งเบื้องต้นการให้เงินคนละหมื่นเป็นสิ่งจำเป็น ให้เริ่มต้น ให้ตั้งหลักก่อน และพร้อมกันนั้นก็ลดหนี้ และจะพยายามเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน ไม่ว่าจะเป็นรายได้ทางการเกษตร หรือโอกาสของประชาชน และนายกฯ อิ๊งค์ยังบอกอีกว่าเป็นห่วงชาวบ้าน เพราะวันนี้โลกเปลี่ยนไปเยอะ ลูกชาวบ้านการศึกษาจะทำอย่างไรให้เขามีโอกาสการศึกษาดีๆ กว่านี้ นายกฯ   อิ๊งค์บอกผมว่าหาตังค์ได้มาช่วยเรื่องการศึกษาเด็กแล้ว ได้มาแล้วเดี๋ยวค่อยเล่าให้ประชาชนฟังตอนเดือน ธ.ค.ได้มาหลายตังค์แล้ว เพื่อจะให้เด็กบ้านนอกมีการศึกษาที่ดี มีโอกาสไปเรียนเมืองนอกเมืองนาบ้าง" อดีตนายกฯ กล่าว             

นายทักษิณกล่าวว่า "ตอนผมเป็นนายกรัฐมนตรี มีใครจำได้หรือไม่ว่ายาเสพติดหายหมดหรือไม่ ฝากพี่น้องไปบอกพ่อค้าขายยาด้วยว่า วันนี้ทักษิณกลับมาแล้ว ทักษิณเกลียดพ่อค้าขายยามาก ไม่อยากเห็นหน้าสักคน ก็เห็นใจตำรวจเมื่อก่อนที่ผมไม่อยู่การแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจต้องจ่ายเงินซื้อหมด แล้วตำรวจจะเอาเงินที่ไหนมา นี่คือสิ่งที่เลวร้ายของสังคมไทยในช่วงที่ผมไม่อยู่ 17 ปี การแต่งตั้งโยกย้ายราชการเอาเงินโดยเฉพาะตำรวจ ฉะนั้นผมเลยสงสารตำรวจ นายกฯ อิ๊งค์บอกว่า พ่อ วันนี้เราต้องคุยกับตำรวจใหญ่ทุกคนว่ายุคต่อไปนี้ไม่มีการเอาเงินจากการแต่งตั้งโยกย้าย เพราะฉะนั้นตำรวจใหญ่ต้องไม่ไปเอาเงินลูกน้องจากการแต่งตั้งโยกย้าย และยาเสพติดจะหายไปไม่ยากนัก"  

 “นายกฯ อิ๊งค์บอกว่าลูกจะจูงมือพี่หนู (นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย) ว่าจะจัดการทั้งตำรวจและจังหวัด เอายาเสพติดให้อยู่ และตอนที่ผมอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ ผมดูข่าว ดูแล้วหดหู่ เห็นลูกหลานเราคลั่งยาทำร้ายพ่อแม่เพื่อนบ้าน เป็นสิ่งที่เลวร้าย อย่าไปชินชากับมัน ต้องจัดการ” นายทักษิณกล่าว

อดีตนายกฯ กล่าวว่า สมัยที่หาเสียงนายกฯ  อิ๊งค์เคยไปด้วย ซึ่งก็เห็นแววตั้งแต่ตอนนั้นว่าจะเป็นนายกฯ ที่ดี และจะดีกว่าตน เพราะเป็นตอนอายุยังน้อย เชื่อว่าสิ่งที่เขาเห็นจากตนจะเป็นกำลังสำคัญในการแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชน และประชาชนต้องหายจนแน่ๆ ขอให้นายกฯ อิ๊งค์ทำงานไปสักระยะ แล้วเราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงแน่นอน เพราะวันนี้มีการเปลี่ยนแปลงหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องค่าแรง แม้จะมีอุปสรรคอยู่เล็กน้อย แต่ก็เชื่อว่าจะแก้ได้

นายทักษิณกล่าวว่า "พี่น้องจำได้หรือไม่ว่าผมให้ทำบัญชีครัวเรือน อยากให้ทำต่อไป แล้วเราจะเห็นชัดไม่มีใครมาหลอกเราได้ว่าเรามีหรือไม่มีเงิน และตอนเลือกตั้งปี 70 ผมมาอีกทีจะเห็นพี่น้องอุดรฯ หน้าตาผ่อง เพราะตังค์มีใช้แล้ว ไม่แห้งแบบนี้ ยิ้มไม่ค่อยหวาน และตอนเลือกตั้งปี 70 ต้องยิ้มหวาน อย่าลืมผม ผมกลับมาแล้ว แล้วอย่าลืมกาเบอร์สอง หากไม่รู้ว่าเบอร์สองชื่ออะไร ชื่อทักษิณแล้วกัน กาทักษิณแล้วกัน"

"ตอนนี้พรรคร่วมรัฐบาลก็สามัคคีกันดีอยู่ ขอให้เบาใจได้ว่าผมกลับมาแล้ว ผมอยู่ทั้งคน ทนเห็นพี่น้องลำบากไม่ได้ ซึ่งวันนี้ผมได้ตั้งตำแหน่งให้ตัวเองหลังจากที่ได้เงินเดือนเดือนละ 700 คือ สทร. แปลว่า เสือก ทุก เรื่อง ที่เห็นอะไร น่ารำคาญก็ต้องตะโกนโวยวายในฐานะประชาชนคนชรา คนแก่ขี้บ่น ไม่มีใครฟังก็บ่นให้ลูกสาวฟังก็ได้" นายทักษิณกล่าว

นายกฯ บินเปรูประชุมเอเปก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการปราศรัยเสร็จสิ้น นายทักษิณได้ลงมาทักทายประชาชน เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าเป็นอย่างไรขึ้นเวทีครั้งแรก  โดยนายทักษิณกล่าวว่า "ยังไม่หายตื่นเต้นเลย  มันยังใหม่อยู่ ต้องเริ่มฝึกใหม่"

เมื่อถามว่า จะกลับไปซ้อมหรือไม่ นายทักษิณกล่าวว่า ไม่ต้องซ้อมหรอก ก็สดๆ ไปเลย เวลาปราศรัยต้องเอาใจ พูดกับคนฟัง ดีที่สุด และพรุ่งนี้ปราศรัยอีกสองเวที ซึ่งก็จำเป็น เพราะตนเองมีเงินเดือนละ 700 บาท ต้องหารายได้เพิ่ม

 ซักถึงนโยบายการแก้ไขปัญหายาเสพติดที่ปราศรัยบนเวที นายทักษิณกล่าวว่า ตนเองก็แค่บอกให้รู้ว่าตนไม่ชอบคนค้ายา ตนกลับมาแล้ว อย่ามาให้เห็นหน้า

พอถามว่าจะไปร่วมสัมมนาพรรคเพื่อไทยหรือไม่ นายทักษิณกล่าวว่า เขาเชิญตนในฐานะนักวิชาการ ให้ไปบรรยายที่หัวหิน

เมื่อถามว่า อะไรคือความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมากที่สุดในรอบ 17 ปีที่กลับมา นายทักษิณกล่าวว่า แย่ลง การเมืองมันไม่เข้มแข็งเท่าที่ควร การเมืองต้องเข้มแข็งกว่านี้ถึงจะแก้ไขปัญหาประเทศชาติได้

อย่างไรก็ตาม ในการจัดปราศรัยใหญ่วันที่ 14 พ.ย. ที่ทุ่งศรีเมือง อ.เมืองอุดรธานี คณะผู้จัดงานได้ขออนุญาตใช้พื้นที่ประมาณ 33 ไร่ เพื่อเตรียมพื้นที่รองรับผู้ฟังปราศรัยจาก 4 อำเภอ ของจังหวัดอุดรธานี คือ อำเภอเมืองฯ, อำเภอเพ็ญ, อำเภอหนองวัวซอ และอำเภอหนองหาน ซึ่งเวทีนี้จะถือเป็นเวทีใหญ่ที่สุดของการหาเสียงเลือกตั้งนายก อบจ.ในครั้งนี้

นายดนุพร ปุณณกันต์ สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ถึงการที่นายทักษิณลงมาช่วยหาเสียงว่า เชื่อได้ผลเป็นบวกมากกว่าเป็นลบ แม้คนที่ขึ้นปราศรัยบนเวทีจะไม่เยอะ แต่ประชาชนกลับตื่นตัวที่จะมาร่วมฟังปราศรัยเหมือนการเลือกตั้งใหญ่ รวมถึงการที่นายทักษิณมาลงพื้นที่ครั้งนี้ ทำให้การเลือกตั้งนายก อบจ.ในครั้งนี้ค่อนข้างที่จะคึกคัก เหมือนเป็นการเชิญชวนให้ทุกคนไปใช้สิทธิ์ด้วย   ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดี

ถามว่า พรรควางตารางให้นายทักษิณไปลงพื้นที่ที่ใดอีกหรือไม่ โฆษกพรรค พท.กล่าวว่า เท่าที่ทราบมามีแค่วันที่ 13-14 พ.ย. ที่จะมีการปราศรัยที่ทุ่งศรีเมือง และเมื่อมีการเลือกตั้งใหญ่ทุกครั้งทุ่งศรีเมืองก็จะเป็นเหมือนไฮไลต์ของ จ.อุดรธานี ฉะนั้นจึงมองว่าวันที่ 14 พ.ย. จะเป็นไฮไลต์ที่จะมีคนมาร่วมฟังปราศรัยเป็นหมื่นคนอีกครั้ง ส่วนการลงพื้นที่ในจังหวัดอื่นตนยังไม่ทราบ ยังเช็กอยู่

มีรายงานว่า พรรค พท.จะจัดสัมมนาระหว่างวันที่ 13-14 ธ.ค.นี้ ภายหลังการประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 2 ในวันที่ 12 ธ.ค. ซึ่งคาดว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย จะเข้าร่วมงานสัมมนาด้วย พร้อมจับตาว่านายทักษิณจะเดินทางมาร่วมด้วยหรือไม่

ขณะที่ภารกิจของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งอยู่ระหว่างเดินทางไปประชุมต่างประเทศ เมื่อเวลา 10.30 น. (ตามเวลาท้องถิ่นของนครลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา ซึ่งช้ากว่าประเทศไทย 15 ชั่วโมง) ที่ห้องประชุมแชมเปญ โรงแรมเบเวอร์ลี วิลเชอร์ โฟร์ซีซันส์  น.ส.แพทองธารเป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงรับรองเพื่อพบปะและสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์กับนายชาร์ลส์ เอช. ริฟกิน ผู้บริหารบริษัท โมชั่น พิกเจอร์ หรือ MPA และบริษัทสร้างภาพยนตร์ชั้นนำของสหรัฐอเมริกา และบริษัทสร้างภาพยนตร์อื่นๆ ประกอบด้วย บริษัท วอลท์ดิสนีย์, เอชบีโอ  เอชบีโอแม็ก และบริษัท วอร์เนอร์บราเธอส์,  บริษัท อเมซอน และเอ็มจีเอ็ม สตูดิโอส์, บริษัท เอ็นบีซี ยูนิเวอร์แซล มีเดีย จำกัด, บริษัท เน็ตฟลิกซ์, บริษัท โซนี่พิคเจอร์ส เอนเตอร์เทนเมนต์,  บริษัท พาราเมาต์พิกเจอส์

น.ส.แพทองธารกล่าวถึงการถ่ายทำภาพยนตร์ว่า เป็นหนึ่งในภาคส่วนที่จะส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ของไทย ซึ่งไทยสามารถเรียนรู้จากสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศที่มีซอฟต์พาวเวอร์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก ทั้งนี้ เมื่อปีที่ผ่านมา มีการถ่ายทำภาพยนตร์กว่า 450 เรื่องจาก 40 ประเทศในประเทศไทย สร้างรายได้ประมาณ 190 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งผู้สร้างภาพยนตร์สหรัฐเป็นกลุ่มนักลงทุนอันดับหนึ่ง โดยมีภาพยนตร์ 34 เรื่องที่ถ่ายทำในไทย ย้ำว่ารัฐบาลส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ และการถ่ายทำภาพยนตร์ในประเทศไทย โดยไทยทบทวนมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย อาทิ เพิ่มสิทธิประโยชน์ในรูปแบบของการคืนเงินสูงสุดที่อัตราร้อยละ 30 และไม่กำหนดเพดานคืนเงินสูงสุดต่อโครงการด้วย 

ส่วนนายชาร์ลส์ เอช. ริฟกิน กล่าวชื่นชมนโยบายไทยในการเพิ่มสิทธิประโยชน์ในการถ่ายทำภาพยนตร์ รัฐบาล ยิ่งเพิ่มแรงจูงใจให้กับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในระดับสากล ทำให้ไทยเป็นตัวเลือกของสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศ ที่มีความโดดเด่นในภูมิภาคได้มากขึ้น และจะช่วยรับประกันการลงทุนในอนาคตที่มากขึ้น และรู้สึกตื่นเต้นมากหากจะได้ร่วมงานกับประเทศไทยมากขึ้น โดยบริษัทได้เข้ามาลงทุนในการสร้างภาพยนตร์ในไทย มีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่เศรษฐกิจท้องถิ่น โดยเฉลี่ยประมาณ 1.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อวัน และช่วยเสริมสร้างทักษะของบุคคลและสร้างงานในท้องถิ่น เชื่อว่าการหารือเพิ่มเติมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับทั้ง 7 บริษัทที่มาในวันนี้ จะสามารถให้การสนับสนุนซอฟต์พาวเวอร์ไทย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยได้เป็นอย่างดี

ในช่วงท้ายนายกฯ ได้ถ่ายภาพร่วมกับคณะนักดนตรีไทยที่มาโชว์การแสดง และได้ทดลองตีขิม พร้อมระบุว่า เคยเล่นในสมัยเรียน ตอนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนเวนต์ ซึ่งได้รับเสียงปรบมือจากผู้เข้าร่วมงาน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังเสร็จสิ้นภารกิจพบบริษัทสร้างภาพยนตร์ ถือว่าเสร็จสิ้นภารกิจที่นครลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา นายกฯ และคณะจะเดินทางต่อไปยังกรุงลิมา สาธารณรัฐเปรู  เพื่อเข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปก  ระหว่างวันที่ 14-17 พ.ย. และพบหารือผู้นำเขตเศรษฐกิจ และนักธุรกิจระดับโลก ก่อนเดินทางกลับประเทศไทยวันที่ 18 พ.ย.

วันเดียวกัน นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธาน​สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน​ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน​ ขอเข้าพบในวันที่​ 27 พ.ย.​ เพื่อให้ทบทวนบรรจุร่างแก้ไข​รัฐธรรมนูญว่า ​ ตนได้นัดหมายกับ กมธ.การพัฒนาการเมืองฯ​ ตามร้องขอมา​ในวันที่​ 27 พ.ย.​

"ทราบจากการให้สัมภาษณ์ของนายพริษฐ์ ​เป็นเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ​ ซึ่งทางพรรค ปชน.ได้ส่งร่างมา​ 7-8 ฉบับ และยังมีร่างของรัฐบาลส่งมาอีก​ ซึ่งผมยังไม่ได้ตรวจสอบว่ามีจำนวนเท่าใด แต่ร่างไหนที่ส่งมาแล้ว หากไม่ขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญและข้อบังคับ เราก็ยินดีจะบรรจุและพิจารณา แต่การพิจารณาจะผ่านหรือไม่​ เป็นเรื่องของสมาชิกรัฐสภา เพราะตามรัฐธรรมนูญต้องมีการประชุมร่วม​ โดยจะเชิญประชุมร่วมกันของวิป​ 3 ฝ่าย​ หลังจากที่ได้รับร่างทุกฉบับเรียบร้อยแล้ว ก่อนเปิดสมัยประชุมสภา โดยนัดไว้ในช่วงต้นเดือน ธ.ค. เพื่อดูว่ากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นมีจำนวนกี่ฉบับ จะใช้ระยะเวลาพิจารณาประชุมกี่วัน เพื่อให้เกิดความเรียบร้อยและคุ้มค่า" นายวันมูหะมัดนอร์กล่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง