“ขุนคลัง” โอดเศรษฐกิจไทยกินบุญเก่า ลงทุนหาย-เงินเฟ้อแผ่ว-หนี้พุ่ง เคาะจีดีพีปีนี้เหลือ 2.7% กางบัญชีรับรัฐบาลเหลือช่องกู้เงินดัน ศก.แค่ 3 ล้านล้านบาท ใน 4 ปี เฉลี่ยปีละ 7.5 แสนล้านบาท แนะเร่งเพิ่มทักษะแรงงาน เดินเครื่องเศรษฐกิจสีเขียวและลดข้อจำกัดหนุนลงทุน หวังช่วยเข็นจีดีพีโตได้ 3.5% จ่อถก "บอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ" อัปเดตแก้หนี้ครัวเรือน ยันเดินหน้าแจกหมื่นแน่
เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ Navigating Economic Challenges : The Future of Fiscal Policy ฝ่าพายุเศรษฐกิจไทยด้วยนโยบายการคลัง” ว่า ปัจจุบันประเทศไทยยังขาดการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยในปีที่ผ่านมาการลงทุนลดลงเหลือไม่ถึง 20% ของจีดีพี จากก่อนหน้านี้ที่ 40% ของจีดีพี ส่งผลให้การเติบโตของเศรษฐกิจลดลง โดยตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) เฉลี่ยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อยู่ที่ 1.9% เท่านั้น ขณะที่ในปี 2567 คาดว่าจีดีพีจะขยายตัวได้ที่ 2.7% ยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับที่ผ่านมา
ขณะที่อัตราเงินเฟ้อในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 0.7-0.8% เท่านั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการลงทุนที่อยู่ในระดับต่ำ ซึ่งส่งผลต่อการจ้างงาน และสะท้อนไปยังสัดส่วนหนี้ครัวเรือน ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระดับสูงที่ 89-90% ของจีดีพี โดยส่วนใหญ่เป็นหนี้บ้าน หนี้รถยนต์ ซึ่งยอมรับว่ามีความน่าเป็นห่วง ขณะที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีก็กำลังประสบปัญหา มีหนี้อยู่ในระดับสูง เนื่องจากไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจัยทั้งหมดนี้ส่งผลให้รัฐจำเป็นต้องเร่งนำงบประมาณมาอุดหนุนจุนเจือ ส่งผลให้สัดส่วนหนี้สาธารณะของรัฐบาลเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ทั้งนี้ ปัจจุบันหนี้สาธารณะอยู่ที่ราว 65-66% ของจีดีพี หรือคิดเป็นมูลค่าเกือบ 12 ล้านล้านบาท ขณะที่มูลค่าจีดีพีของประเทศอยู่ที่ 18-19 ล้านล้านบาท จากเพดานหนี้ที่ 70% ของจีดีพี สะท้อนว่าพื้นที่ทางการคลังของรัฐบาลมีอยู่ค่อนข้างจำกัด โดยรัฐบาลยังเหลือความสามารถในการกู้เงินเพิ่มเพื่อสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศ เพิ่มการลงทุนได้อีกราว 3-4% เท่านั้น คิดเป็นวงเงินที่ 3 ล้านล้านบาท ภายใน 4 ปี หรือเฉลี่ยรัฐบาลสามารถกู้เพื่อชดเชยขาดดุลได้ปีละ 7.5 แสนล้านบาท ภายใต้เงื่อนไขว่าจะต้องเร่งผลักดันให้เศรษฐกิจขยายตัวไม่ต่ำกว่า 3.5%
“การจัดสรรงบประมาณของรัฐบาล จำเป็นจะต้องคำนึงถึงวินัยทางการคลังให้มากขึ้น เมื่อมีความจำเป็นต้องใช้เงินเยอะ สร้างหนี้เยอะ ต้องสร้างวินัยด้วย ซึ่งที่ผ่านมาเราตั้งกติกาว่าหนี้สาธารณะต้องไม่เกิน 70% ของจีดีพี แต่วันนี้หนี้สาธารณะมาที่ 65-66% แล้ว โอกาสในการจะกู้เงินเพิ่มในอีก 4 ปีข้างหน้าก็เหลือน้อยลง คือรัฐจะมีหนี้เพิ่มได้อีก 3 ล้านล้านบาทเท่านั้น โดยหนี้สาธารณะต้องไม่เกิน 15 ล้านล้านบาท ภายใน 4 ปี โดยเมื่อมองไปข้างหน้า หากรัฐและเอกชนทำงานร่วมกัน อยากจะเห็นว่าช่วยกันทำให้จีดีพีขยับขึ้นไปเป็น 3-3.2% อัตราเงินเฟ้อ 2% หรือมากกว่า แม้ผมจะตั้งกรอบไว้ในใจที่ 1.2-1.8% ซึ่งหากทุกฝ่ายช่วยกันน่าจะทำให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้” นายพิชัยระบุ
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันประเทศไทยมีสภาพคล่องจำนวนมาก แต่ไม่มีการลงทุน เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ทุกคนทราบดี ไทยจึงเหมือนเศรษฐี ฐานะดีแต่ไม่เห็นอนาคต เพราะไม่รู้ว่าเศรษฐกิจจะเดินไปทางไหน ตอนนี้คือการกินบุญเก่า แต่เมื่อวันหนึ่งต้องหมดเวลา แม้ภาพการส่งออกจะยังเป็นเครื่องยนต์ที่ทำงานผลักดันเศรษฐกิจได้ แต่หากยังเป็นการส่งออกในรูปแบบเก่า เทคโนโลยีเดิมๆ ไม่มีการลงทุนใหม่ เทคโนโลยีใหม่ เครื่องจักรใหม่ ตรงนี้จะเป็นปัญหา ดังนั้นที่ผ่านมารัฐบาลจึงเร่งดำเนินการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการลงทุน ทั้งการเดินหน้าโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การดูแลต้นทุนพลังงาน เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศ
นายพิชัยกล่าวว่า ยังมีอีก 3 เรื่องที่ต้องเร่งดำเนินการโดยบรรจุไว้ในแผนงบประมาณ คือ 1.การเพิ่มทักษะแรงงาน เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของการลงทุนในเทคโนโลยีสมัยใหม่ 2.การเดินหน้านโยบายเศรษฐกิจสีเขียว หรือพลังงานสีเขียว และ 3.การอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการลงทุน รวมถึงยังต้องวางระบบการออมเงินในประเทศ เพื่อรองรับสังคมสูงวัย ซึ่งปัจจุบันผู้สูงวัยยังไม่มีเงินออมรองรับจำนวนมาก ตลอดจนลดระบบการทำงานที่ซ้ำซ้อนของภาครัฐ ปรับปรุงโครงสร้างการจัดเก็บภาษี เป็นต้น
นอกจากนี้ รัฐบาลยังเร่งเดินหน้าโครงการลงทุนต่างๆ เช่น เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ โดยต้องสร้างจุดไฮไลต์ในการท่องเที่ยวเพื่อให้นักท่องเที่ยวใช้เงินมากขึ้น การวางแผนระบบน้ำ การลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางต่างๆ โดยการดำเนินการทั้งหมดจะต้องใช้งบประมาณภาครัฐอย่างจำกัด ดังนั้นการใช้เงินในส่วนนี้ต้องมาจากอินฟราสตรัคเจอร์ฟันด์เป็นหลัก
ภายหลังเสร็จสิ้นการปาฐกถาพิเศษ นายพิชัยเปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในวันที่ 19 พ.ย.นี้ จะมีการรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการหารือกับสถาบันการเงินอย่างต่อเนื่องแล้ว โดยแนวทางสำคัญคือการปรับโครงสร้างหนี้เก่า เช่น การให้จ่ายหนี้ลดลง การยืดหนี้ เป็นต้น เพื่อเป็นการลดภาระของลูกหนี้ ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้ลูกหนี้สามารถไปต่อได้ ส่วนข้อเสนอของสถาบันการเงินในการลดเงินนำส่งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ลง 0.23% นั้น ถือเป็นรายละเอียดใหญ่ๆ ที่มองว่าหากเป็นเครื่องมือที่จำเป็นต้องใช้ เพื่อแก้ปัญหาให้ประชาชนต้องทำ
“ตอนนี้ข้อเสนอใหญ่ๆ มีการหารือกันแล้ว ยังเหลือบางเรื่องที่ต้องตกลงในรายละเอียด ซึ่งส่วนตัวอยากให้จบเร็วที่สุด ถ้าจบได้ก็อยากให้จบเลย แต่ถ้าไม่จบ ต้องมีความคืบหน้าที่ชัดเจน ซึ่งจะมีการรายงานในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยว่าตอนนี้ได้ดำเนินการไปถึงไหนแล้ว โดยสิ่งหนึ่งที่ต้องเร่งทำคือ การผลักดันให้เขาสามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบให้มากขึ้น ต้องไปแก้ปัญหาที่หนี้เก่า โดยพุ่งเป้าไปที่ครัวเรือนที่พร้อมจะเดินหน้า พร้อมจำฟื้น ด้วยการเร่งปรับโครงสร้างหนี้ ที่แม้ว่าหนี้จะไม่ลด แต่ภาระของเขาจะลดลง โดยการทำงานทั้งหมดก็ต้องรักษาวินัยของลูกหนี้ด้วย ทั้งนี้ ไม่อยากให้พูดว่าการดำเนินการในส่วนนี้คือการแฮร์คัตหนี้ เพราะไม่ได้ถึงขนาดนั้น แต่เป็นการปรับโครงสร้างหนี้ภายใต้เงื่อนไขการพูดคุยที่ลงตัวระหว่างผู้กู้กับผู้ให้กู้มากกว่า” รองนายกฯ และ รมว.การคลังระบุ
นอกจากนี้ จะมีการหารือในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ถึงความคืบหน้าของโครงการดิจิทัลวอลเล็ตด้วยว่า หลังจากนี้จะมีทิศทางอย่างไรต่อไป จากที่รัฐบาลได้เร่งจ่ายเงินให้กลุ่มเปราะบาง 14.5 ล้านรายไปเมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา โดยต้องยอมรับว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ซึ่งท้ายที่สุดหากเศรษฐกิจเติบโตได้แล้ว เครื่องมือเหล่านี้อาจไม่ต้องใช้แล้ว แต่จากสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน ยังยืนยันว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตยังมีความจำเป็น เพราะทุกคนยังมีปัญหากันอยู่ จึงต้องมาเร่งพิจารณารายละเอียดต่อไป ส่วนประชาชนจะได้รับเงินเมื่อไหร่นั้น คงต้องขึ้นอยู่กับผู้พัฒนาแพลตฟอร์ม
นายพิชัยยังกล่าวถึงกรณีคณะกรรมการคัดเลือกประธานกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ได้เลือกนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ให้เข้ามาดำรงตำแหน่งดังกล่าวว่า ยังไม่ทราบรายละเอียด ทราบจากข่าวเช่นเดียวกัน.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
จงรักภักดีจนชีวิตหาไม่
"ในหลวง" เสด็จฯ ไปในพิธีสวนสนามของทหารรักษาพระองค์
‘บุญทรง’พ้นคุก คุมตัวที่บ้าน3ปี ชื่นชมลูกผู้ชาย
"บุญทรง" ได้พักโทษ พ้นคุก ใส่กำไลอีเอ็มกลับบ้านที่เชียงใหม่
รุมดีดปาก‘เชิดชัย’ขู่ยุบสภา
"ภูมิธรรม" โบ้ย "หมอเชิดชัย" ให้ไปยุบสภาเอง ยันอำนาจอยู่ที่นายกฯ
เมินเปิดเวทีถกMOU รอทีบีซีช่วยคนไทย
“ภูมิธรรม” ปัดทิ้งข้อเสนอ พปชร.เปิดเวทีสาธารณะถก MOU 44
ชูแม่สายโมเดลแก้ท่วมใต้ เพิ่มงบผู้ว่าฯ-เร่งเยียวยา
"ในหลวง" โปรดเกล้าฯ ให้องคมนตรีเชิญสิ่งของพระราชทานมอบแก่ผู้ประสบภัย