ชั้น 14 เย็นไว้โยม! ‘ทักษิณ’ ยันทำตามกฎหมาย/ปัดครอบงำแค่ชวนกินมาม่า

“ทักษิณ” ตอบเรื่องชั้น 14 ยังมี  15-17 ยันทำในสิ่งที่ถูกต้อง ตามกฎหมาย ตามประเพณีปฏิบัติ ไม่ต้องสนใจอะไรเลย เผยไปบ้านจันทร์ส่องหล้าแค่กินมาม่าอร่อย ด้าน “จตุพร” ถามปล้นความยุติธรรมไปได้แล้วมันจะจบหรือ ชี้วงจรปิดเรือนจำคือหลักฐานเด็ด โอกาสเสียแบบ รพ.ตำรวจเป็นไปได้ยาก แนะพรรคส้มอย่าทำเพียงโฉบไปเฉี่ยวมา ต้องเอาให้จบ เชื่อต้องมีคนเข้าไปนอนกระเบื้องสามแผ่นแน่นอน

เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2567 ที่วัดคลองครุ (ปัฐวิกรณ์) เขตคันนายาว กรุงเทพมหานคร นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อดีตนักโทษชายคดีคอร์รัปชัน ให้สัมภาษณ์กรณีชั้น 14 จะส่งผลกระทบกับรัฐบาลหรือไม่ว่า มันมี 14 15 16  และ 17 ไม่มีอะไรหรอก จะหาเรื่องกันก็หาเรื่องกันเรื่อยๆ ไม่เป็นไร เพราะคนจะหาเรื่องตนก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร

ผู้สื่อข่าวถามว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส  หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ออกมาระบุพร้อมเป็นพยาน อดีตนักโทษชายผู้นี้่ตอบว่า เอาเถอะ ทำอะไรก็ทำเถิด

ถามว่า ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่มีการนำไปร้องศาลรัฐธรรมนูญ นายทักษิณกล่าวว่า “เรารู้อยู่ แต่ละคนมีวัตถุประสงค์อะไร ก็เฉยๆ ไปหมดแล้ว เย็นไว้โยม แก่แล้ว”

               เมื่อถามย้ำว่า ประเด็นคำร้องที่มีต่อพรรคเพื่อไทย ทางพรรคเพื่อไทยไม่ต้องกังวลอะไรใช่หรือไม่ นายทักษิณส่ายหน้าพร้อมกล่าวว่า ไม่เห็นมีอะไรต้องกังวลเลย

"เราทำในสิ่งที่ถูกต้อง ตามกฎหมาย ตามประเพณีปฏิบัติ ไม่ต้องสนใจอะไรเลย เราก็ทำงานไป คุณอยากจะร้องก็ร้องไป ไม่เป็นไร"

ซักว่า กรณีเรียกแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลไปทานข้าวที่บ้านจันทร์ส่องหล้า วันที่นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรีถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ อดีตนักโทษชายปฏิเสธว่า “ไม่ใช่เลย ไปกินมาม่า มาม่าอร่อย”

ขณะที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ตำหนิ รพ.ตำรวจ และเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพยายามปกปิด บิดเบือนข้อเท็จจริงอาการป่วยวิกฤตพักรักษาชั้น 14 รพ.ตำรวจ ของนายทักษิณ ชินวัตร เท่ากับปล้นความยุติธรรมไปจากมาตรฐานความเท่าเทียมของมนุษย์ในสังคมไทย

“คุณคิดว่าปล้นความยุติธรรมไปได้แล้วมันจะจบลงเหรอ ยังเหลืออีกหลากหลาย คุณจะเจอของหนักกว่านี้อีกนะจะบอกให้ และเท่ากับเปิดประตูให้อำนาจนอกระบบอีกรอบหนึ่ง ซึ่งเขารออยู่แล้ว หรือต้องเจอกับประชาชนก่อน ถ้าไม่ถูกต้องก็คือความไม่ถูกต้อง ดังนั้นขั้นตอนรับคำร้องไว้พิจารณา มันผิดปกติไปตั้งแต่ถามไปสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว”

อีกทั้งกล่าวถึงพิรุธของเจ้าหน้าที่เรือนจำที่ไปให้ถ้อยคำกับคณะกรรมาธิการความมั่นคงฯ สภาผู้แทนฯ ว่า โดยปกติแล้วเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ  จะส่งตัวนักโทษไปรักษาภายนอก ต้องมา รพ.ราชทัณฑ์ก่อน ในกรณีทักษิณ เมื่อเข้าเรือนจำได้นำตัวไปคุมขังในอาคารชั้น 2 ห้องพยาบาลหรือไม่ แม้วันนั้นมีข่าวปล่อยว่าไปอยู่ห้องผู้บัญชาการเรือนจำ ซึ่งตนไม่มีหลักฐานยืนยัน แต่เรือนจำมีสภาพสว่างตลอด 24 ชั่วโมง และมีกล้องวงจรปิดจับภาพทุกจุดอยู่แล้ว นอกจากนี้   ก้าวแรกที่เข้าเรือนจำ ถูกถอดเสื้อ ถ่ายรูปทำบัตรคนคุกด้วยหรือไม่

กล้องวงจรปิดในเรือนจำ

นายจตุพรกล่าวว่า คนที่ผ่านเรือนจำเห็นพิรุธทั้งสิ้น แต่สงสัยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่าแค่หลักฐานนักโทษป่วยวิกฤต และพยาบาลโทร.ปรึกษาแพทย์ยังหาข้อเท็จจริงไม่ได้ ซึ่งในเรือนจำห้ามใช้โทรศัพท์มือถือ ใช้ได้แต่โทรศัพท์สายภายในไว้กดรับสายและโทร.ออก ดังนั้นจึงไม่เห็นภาพนักโทษป่วยแบบวิดีโอคอลผ่านมือถือ สิ่งสำคัญ เรือนจำห้ามผู้คุมและพยาบาลนำโทรศัพท์มือถือส่วนตัวเข้าไปในเรือนจำด้วย

"การนำนักโทษข้าม รพ.ราชทัณฑ์ไป รพ.ตำรวจนั้น ดุลพินิจของพยาบาลจะถูกนำมาใช้ไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แต่เป็นข้อเท็จจริง เพราะพยาบาลไม่มีศักยภาพที่จะรับผิดชอบ และในสัปดาห์หนึ่งแพทย์จะเข้ามาห้องพยาบาล ไปรักษาในแดนเรือนจำแค่วันหรือสองวันเท่านั้น เรื่องนี้ผมเห็นใจพยาบาลทำหน้าที่ในเรือนจำที่ถูกซัดทอด ถูกอ้าง"

นายจตุพรกล่าวว่า ความเป็นจริงแล้ว การไปรักษา รพ.นอกเรือนจำ ต้องส่งนักโทษป่วยให้แพทย์ รพ.ราชทัณฑ์วินิจฉัยก่อน ซึ่งระดับทักษิณยิ่งต้องรวดเร็ว จากเรือนพยาบาลไป รพ.ราชทัณฑ์ และมีแพทย์ประจำอยู่ ใช้เวลาไม่เกิน 1 นาทีก็ถึง เพราะอาคารติดกัน

ส่วนดุลพินิจใช้เวลา 4 นาที เดินทาง 17 นาทีที่นำมากล่าวอ้าง จึงเป็นเรื่องประหลาด นอกจากมีข้อเท็จอย่างเดียวว่า จุดเริ่มต้นอาการป่วยวิกฤต หรือมีอาการชักพะงาบๆ ภาพต้องถูกบันทึกการตรวจรักษา

“ถ้า (ทักษิณ) อยู่อาคารนั้น (เรือนพยาบาล) จริง จะต้องมีการบันทึกภาพ ยิ่งใช้ดุลพินิจ 4 นาทีอย่างไรก็ต้องเห็นภาพ และที่สำคัญคุยโทรศัพท์ (กับแพทย์) ที่ไม่เห็นอาการนั้น 4 นาที คุยรู้เรื่องเหรอ"

พร้อมทั้งกล่าวว่า กล้องวงจรปิดในเรือนจำเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นโอกาสจะเสียเหมือน รพ.ตำรวจจึงยากที่สุด แทบเป็นไปไม่ได้ และเป็นเรื่องใหญ่มาก อย่างไรก็ตาม ถ้ากล้องเสียฉับพลันต้องซ่อมโดยเร่งด่วน ซึ่งเป็นเรื่องอันตราย เพราะควบคุมนักโทษไม่ได้

ดังนั้นแค่จุดเริ่มต้นนี้ย่อมรู้ได้ว่า การกล่าวอ้างป่วยเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ ด้วยการดูภาพนำตัวไปส่ง รพ.ตำรวจ แต่โดยหลักแล้วพยาบาลเข้าเวรและไม่ใช่หัวหน้าพยาบาล ซึ่งไม่ใช่แพทย์ ต้องส่งคนป่วยไป รพ.ราชทัณฑ์ก่อน ถ้าเกินกำลังรักษาจึงส่งไป รพ.ตำรวจ

ร่วมมือกันปกปิดความจริง

"ทั้งหมด (ที่กล่าวอ้าง) นี้ มันมีข้อพิรุธ ข้อแรกขณะก่อนส่งตัว (ทักษิณไป รพ.ตำรวจ) อยู่ในห้องที่เตรียมไว้สำหรับคุมขังในเรือนพยาบาลที่เรือนจำเตรียมไว้หรือไม่ ส่วนการไปรักษา รพ.ตำรวจนั้น ถ้อยคำของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส อธิบายภาพเห็นที่ไปเยี่ยมว่านุ่งกางเกงขาสั้น ใส่เสื้อเชิ้ต มีคนดูแลรับใช้ ซึ่งไม่ใช่พยาบาลและเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ สิ่งเหล่านี้ทำไม่ได้ อีกทั้งยืนยันไม่พบเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ไม่พบแพทย์ ไม่พบพยาบาล ไม่ได้ใส่เฝือกคอและไม่มีอาการใดๆ ส่อถึงการป่วยขั้นวิกฤต จึงน่าสงสัย"

นายจตุพรกล่าวอีกว่า ถ้าไม่ป่วยวิกฤต สามารถเดินเหินสะดวกสบายนั้น ไม่สามารถอยู่ รพ.ตำรวจได้นานนับเดือน อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงต่างๆ ที่ปรากฏออกมา หากไม่เป็นความจริงแล้วทำไม รพ.ตำรวจและราชทัณฑ์เงียบกริบ ไม่เรียงหน้าออกมาโต้ นอกจากนี้ในชั้นการตรวจสอบของคณะกรรมาธิการความมั่นคงฯ ของสภา ยังส่งตัวแทนที่ไม่รู้ข้อเท็จจริงมาชี้แจงอีกด้วย สิ่งนี้แสดงถึงข้อพิรุธร่วมมือกันปกปิดความจริง

"ผมบอกก่อนเลยว่า ให้ไปถามความรู้สึกของข้าราชการกระทรวงพาณิชย์ ที่ติดคุกในคดีจำนำข้าวคนละ 10-20 ปี หรือไปสอบถามเจ้าหน้าที่สรรพากรในคดีภาษีว่าสุดท้ายของเขาคืออะไร ไม่เว้นแม้แต่ไปคุยกับอดีต ผอ.องค์การโทรศัพท์ ที่ติดคุกเมื่ออายุ 80 ปี ในคดีเอื้อประโยชน์ AIS ต้องชดใช้กว่า 6 หมื่นล้าน แต่ไม่มีการบังคับคดี แต่ขณะนี้พ้นคุกออกมาแล้ว"

อีกทั้งกล่าวว่า การกล่าวอ้างกรณีเวชระเบียนเปิดเผยไม่ได้ เพราะผู้ป่วยไม่ยินยอม แต่การขอนั้นมีจุดประสงค์นำมาดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ รพ.ตำรวจและราชทัณฑ์ ข้อหาละเว้นปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.157 หรือไม่ ซึ่งไม่ได้นำมาเผยแพร่ สิ่งสำคัญแล้วคนป่วยวิกฤตอยู่ รพ.ตำรวจ 181 วัน แพทย์จะเข้ามาดูอาการวันหนึ่งไม่ต่ำกว่า 10 รอบ ดังนั้นเวชระเบียนจึงต้องถูกบันทึกการรักษาอย่างละเอียดที่สุด

นายจตุพรถามว่า ถ้าต่อไปนี้ ในการทำผิดกฎหมายแล้วอ้างสิทธิส่วนตัวได้หรือไม่ อีกอย่างถ้าในบันทึกทักษิณไม่ได้ป่วยขั้นวิกฤตแล้ว คงมีปัญหาตามมากันระนาว และยิ่งไม่รับโทษสักวัน กฎหมายชัดเจนว่ากรณีอย่างนี้ต้องขออนุญาตจากศาลเท่านั้น เพราะ รพ.ตำรวจไม่ได้ประกาศเป็นพื้นที่เรือนจำหรือควบคุม ซึ่งเป็นสถานที่รักษา จึงต้องมีเวชระเบียนรักษาผู้ป่วย แล้วปกปิดกันทำไม

อย่าทำเพียงโฉบไปเฉี่ยวมา

นอกจากนี้ ช่วงขณะนั้นแกนนำพรรคเพื่อไทยแถลงตรงกันทุกคนว่า ทักษิณป่วยวิกฤต เอ็นเปื่อยยุ่ย กระดูกหัก และการขอเวชระเบียนนั้น เขาจะไปดูว่าตรงกันหรือไม่ด้วย แต่ ป.ป.ช.ทำเรื่องมาถึง 3 ครั้งก็ไม่ให้ หลักฐานนักโทษก็ไม่ให้ บ้านเมืองเราจะอยู่กันแบบนี้เหรอ

"บ้านเมืองนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ มีคนพยายามทำสิ่งที่ถูกต้อง และมีคนพยายามทำลายสิ่งที่ถูกต้อง เมื่อเวชระเบียนไม่ได้ทำใหม่ แต่ได้บันทึกไว้แล้ว ถ้าทำอย่างตรงไปตรงมาแค่ 10 นาทีก็ได้แล้ว เพราะความไม่ตรงไปตรงมา ความเชื่อว่าตัวเองมีอำนาจสามารถทำอะไรก็ได้ เป็นอภิสิทธิ์ชนสองมาตรฐาน ดังนั้น ถ้ารักความยุติธรรมจริง เรื่องนี้ปล่อยผ่านเลยไม่ได้ เพราะมีสิ่งเดียวทำให้คนเท่ากันได้ คือความยุติธรรม"

พร้อมทั้งกล่าวว่า เมื่อวันนี้พรรคประชาชนมาตรวจสอบ แม้จะล่าช้าไป แต่ต้องขยี้เอาความจริงและผู้เกี่ยวข้องให้ปรากฏมาให้ได้ ขออย่าทำเพียงโฉบไปเฉี่ยวมา และที่สำคัญเอาคนออกจากราชการ และคนไม่รู้เรื่องมาให้ถ้อยคำทำไม เสียเวลา ไม่ได้อะไร แล้วก็จบกันแบบเดิมๆ

“ถ้าจะหาความจริงกันจริงๆ ต้องทำหน้าที่รุกอย่างแข็งแรง เพราะกรณีชั้น 14 ทุกอย่างผิดปกติทั้งหมด สิ่งสำคัญคือ การทำตัวใหญ่กว่ากฎหมาย ไม่ปฏิบัติตามพระบรมราชโองการ ไม่ยอมติดคุกสักวัน เป็นพฤติกรรมเซาะกร่อนบ่อนทำลายชัดเจน”

นายจตุพรกล่าวว่า แค่ตรวจสอบทักษิณว่าป่วยจริงหรือไม่ และในปัจจุบันยังไม่ใครกล้าการันตีว่าป่วยจริง เพราะเวชระเบียนทั้ง 181 วันจะทำใหม่ คงแต่งบันทึกกันยาก อีกอย่างภาพถ่ายยังไม่มียืนยัน เพราะอ้างกล้องวงจรปิดเสียอีกด้วย

นายจตุพรย้ำว่า สิ่งที่ผู้เกี่ยวข้องกับกรณีชั้น 14 ทำเป็นความลับนั้น ต้องการให้ผู้คนในบ้านเมืองนี้โง่กันไปหมด แล้วยังมีข่าวปล่อยจาก อสส.ออกมาอีก และไม่แถลงข้อเท็จจริง ยิ่งจะทำให้ข่าวลือเกิดขึ้นใหม่มากขึ้น

"เชื่อเถอะ มีคนทำให้ถูกต้องได้ทำหน้าที่อยู่ คนใหญ่โตหน่วยงานไหนก็ตาม มีเงินก็ไม่ได้ใช้ บ้านใหญ่อาจไม่ได้นอน คงไปนอนกระเบื้องสามแผ่น (ในคุก) เหมือนกัน ดังนั้น เรื่องนี้จะบิดเบือนอย่างไรก็ไม่ได้ เพราะความผิดในอดีตได้ทำสำเร็จมาแล้ว แต่การกระทำในอนาคตที่พยายามปกปิดอดีตจะลากให้ติดคุกกันจริงๆ คิดว่าปล้นความยุติธรรมได้แล้วจบอย่างนั้นเหรอ".

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

จับตา “พ่อใหญ่แม้ว” เยือนอุดรฯ เป่ากระหม่อม24พ.ย.สู้ศึกอบจ.

ในวันที่ 24 พ.ย.ที่จะถึงนี้มีการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) อุดรธานี ซึ่งก่อนหน้านี้มี “วิเชียร ขาวขำ” นั่งเป็นนายก อบจ.อุดรฯ แต่เจ้าตัวลาออกอ้างปัญหาสุขภาพ จึงต้องทำให้มีการเลือกตั้งใหม่ภายใน 60 วัน และเป็นที่น่าจับตาว่า พรรคใหญ่ 2 พรรค ส่งคนสู้ศึกในครั้งนี้ใครจะเป็นผู้ชนะ