"ทนายตั้ม-เมีย" นอนคุก! หลังตำรวจคุมตัวฝากขังศาล เปิดพฤติการณ์หลอกโกงเงิน "เจ๊อ้อย" 3 ครั้ง รวม 78 ล้านบาท ร่ายยาวเหตุค้านประกันตัว ชี้ทำผิดหลายครั้งเป็นปกตินิสัย ด้านภรรยารู้ทุกการกระทำ พบยักย้ายทรัพย์-เปลี่ยนซิมโทรศัพท์ เตรียมหลบหนี ศาลไม่ให้ประกัน "ภรรยาษิทรา" หลังยื่นหลักทรัพย์ 5 เเสน "ดีเอสไอ" จัดพนักงานสอบสวน 18 ทีม จ่อแจ้งข้อหา "แชร์ลูกโซ่-ขายตรง" 18 บอสดิไอคอนในเรือนจำ 11 พ.ย.
ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าการจับกุมตัวนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม และนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยาของนายษิทรา ข้อหาฉ้อโกงและร่วมกันฟอกเงิน หลังจากเจ้าหน้าที่สอบปากคำกว่า 11 ชั่วโมง ตั้งแต่ช่วงบ่ายวันที่ 7 พ.ย.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ได้นำตัวทั้งคู่มาควบคุมตัวที่ห้องขังของ บก.ป. เวลา 00.30 น.
จากนั้นช่วงเช้าประมาณ 07.20 น. แม่ครัวร้านอาหารภายในอาคารโภชนาการ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) นำข้าวกะเพราไก่ พร้อมน้ำดื่ม 2 ขวด มาส่งให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ห้องควบคุมตัวผู้ต้องหา ก่อนที่เวลา 07.40 น. พนักงานสอบสวนได้เบิกตัวทนายตั้มและภรรยาไปสอบปากคำเพิ่มเติมอีกครั้ง
ต่อมาเวลา 09.40 น. มีหญิง 3 คนเดินทางมาที่ บก.ป. ด้วยรถรถอัลพาร์ดสีดำ โดยถือถุงซาลาเปาร้านดังมาด้วย 2 ถุง จำนวน 3 กล่อง และเดินเข้าไปในอาคารกองบังคับการปราบปรามทันที ซึ่งคาดว่าเป็นญาติของทนายตั้มที่เดินทางมาเยี่ยม
กระทั่งเวลา 13.30 น. พนักงานสอบสวนได้นำตัวทนายษิทราพร้อมภรรยาไปฝากขังที่ศาลอาญา ถนนรัชดาฯ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้จัดพื้นที่สำหรับสื่อมวลชนบริเวณทางเข้า-ออกอาคาร บก.ป. โดยใช้แผงเหล็กเป็นแนวเพื่อความเรียบร้อย เมื่อทุกอย่างพร้อมพนักงานสอบสวนได้นำตัวทนายษิทราพร้อมภรรยาออกมาจากตัวอาคาร โดยนางปทิตตาเดินนำหน้า สวมเสื้อสีดำ กางเกงสีขาว สวมแว่นดำและแมสก์ปกปิดใบหน้า มีเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงเดินประกบ ตามด้วยทนายตั้มที่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงยีนส์ โดยมีท่าทีที่อิดโรย
เมื่อทนายตั้มปรากฏตัว สื่อมวลชนได้พยายามสอบถามหลายๆ ประเด็นในคดีที่เกิดขึ้น แต่ทนายตั้มไม่ตอบ เพียงแต่ยกมือไหว้ทักทาย ก่อนจะขึ้นรถตู้ของตำรวจไปยังศาลอาญา โดยพนักงานสอบสวนได้คัดค้านการประกันตัวของผู้ต้องหาทั้งสองราย เนื่องจากมีพฤติการณ์หลบหนีและไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน
ด้านนายสายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความของนายษิทราและภรรยา เปิดเผยว่า นายษิทราได้ยืนยันกับตนแล้วว่าไม่ต้องยื่นประกันตัวให้ แต่ขอยื่นประกันตัวให้ภรรยาเพียงผู้เดียว และพูดทิ้งท้ายด้วยท่าทีนิ่งๆ ไว้ว่าขอให้ทนายความรวบรวมพยานหลักฐานให้ครบถ้วน เตรียมพร้อมสู้คดี ตัวเขาเองไม่ได้มีปัญหาอะไร อยู่ในเรือนจำได้ และยังคงยืนยันทุกอย่างตามที่เคยได้พูดไปว่าไม่ได้โกงใคร
"กระบวนการขั้นตอนทางกฎหมายก็เป็นแบบนี้ เนื้อหาในคดีฉ้อโกง ผมมองว่าก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไร พอสู้ได้ถ้ามีพยานหลักฐานที่สามารถอธิบายได้ แต่วันนี้ก็ต้องรอไปลุ้นประกันตัวภรรยาทนายตั้มในชั้นศาลก่อน ส่วนเงินสดหรือหลักทรัพย์จะเตรียมมาเท่าไหร่นั้นเป็นเรื่องของญาติ ซึ่งน้องสาวของฝั่งทนายตั้มเป็นคนจัดการทั้งหมด" ทนายสายหยุดระบุ
โกงเจ๊อ้อย 78 ล้าน
ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พนักงานสอบสวนกองปราบปรามนำตัวนายษิทรา อายุ 44 ปี ผู้ต้องหาที่ 1 ข้อหาฉ้อโกง, ร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด อายุ 41 ปี ภรรยาทนายตั้ม เป็นผู้ต้องหาที่ 2 ในข้อหาร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน มายื่นคำร้องฝากขังครั้งที่ 1
คำร้องระบุว่า ก่อนเกิดเหตุ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ ผู้เสียหาย ได้ว่าจ้างผู้ต้องหาที่ 1 ให้เป็นที่ปรึกษากฎหมาย ต่อมาผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จปกปิดข้อความจริง เป็นเหตุให้ผู้เสียหายหลงเชื่อส่งมอบเงินให้แก่ผู้ต้องหาที่ 1 หลายเรื่องหลายครั้งต่างกรรมต่างวาระ
1.ผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายให้ลงทุนขายสลากกินแบ่งรัฐบาลทางออนไลน์ อ้างว่าจะต้องจ่ายเงินเป็นค่าจ้างเขียนโปรแกรมเป็นเงินจำนวน 2,000,000 ยูโร พร้อมกับนำสัญญาว่าจ้างมาให้ผู้เสียหายลงลายมือชื่อทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินค่าจ้างดังกล่าวไปยังบัญชีธนาคารของผู้ต้องหาที่ 1 คิดเป็นเงินไทย จำนวน 71,067,764.70 บาท 2.ผู้เสียหายได้มอบหมายให้ผู้ต้องหาที่ 1 หาซื้อรถยนต์ ยี่ห้อเบนซ์ รุ่นจี 400 จากนั้นผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายว่าสามารถหาซื้อรถยนต์ดังกล่าวได้ในราคา 12,900,000 บาท และมีค่าติดฟิล์มรถยนต์ 30,000 บาท รวมเป็นเงิน 12,930,000 บาท ทั้งที่ความจริงแล้วรถยนต์คันดังกล่าวมีราคาเพียง 11,400,000 บาท โดยไม่มีราคาติดฟิล์ม ทำให้ผู้ต้องหาที่ 1 ได้เงินค่าส่วนต่างรวมเป็นเงินจำนวน 1,530,000 บาท
3.ผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายว่าผู้ต้องหาที่ 1 ได้ติดต่อว่าจ้างบริษัทแห่งหนึ่งเป็นผู้เขียนแบบก่อสร้างโรงแรมที่ผู้เสียหายจะก่อสร้าง โดยอ้างว่ามีค่าเขียนแบบโรงแรมเป็นจำนวนเงิน 9,000,000 บาท ทั้งที่ความจริงแล้วผู้ต้องหาที่ 1 ได้ไปว่าจ้างบริษัทอื่นให้เขียนแบบโรงแรมดังกล่าวให้แก่ผู้เสียหายในราคา 3,500,000 บาท ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินชำระค่าเขียนแบบดังกล่าวจำนวน 9,000,000 บาท เข้าบัญชีธนาคารให้แก่บริษัทแห่งหนึ่ง จากนั้นได้มีการถอนเงินไปมอบให้แก่ผู้ต้องหาที่ 1 ทำให้ผู้ต้องหาที่ 1 ได้เงินส่วนต่างค่าเขียนแบบโรงแรมเป็นเงิน 5,500,000 บาท
การกระทำดังกล่าวของผู้ต้องหาที่ 1 เป็นความผิดฐานฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 และจากการสืบสวนสอบสวนพบผู้ต้องหาที่ 1 และผู้ต้องหาที่ 2 มีการกระทำต่อทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดดังกล่าวเข้าข่ายเป็นการฟอกเงิน ดังนี้
1.หลังจากผู้ต้องหาที่ 1 ได้รับโอนเงินจากผู้เสียหายจำนวน 71 ล้านบาทเศษ ผู้ต้องหาที่ 1 ได้โอนเงินจำนวน 71 ล้านบาท ออกจากบัญชีธนาคารของตนเองไปยังบัญชีอื่นของตนเองอีก 2 ทอด เพื่อชำระหนี้ค่าบ้านและที่ดินดังกล่าวให้แก่ผู้ต้องหาที่ 2 และ 2.ผู้ต้องหาที่ 1 ได้รับมอบเงินสดของผู้เสียหายที่หลอกลวงเป็นค่าเขียนแบบโรงแรมจำนวน 9,000,000 บาท ได้แบ่งเงินสดจำนวน 1,000,000 บาท ไปมอบให้แก่พี่สาวของผู้ต้องหาที่ 2 ก่อนพี่สาวของผู้ต้องหาที่ 2 นำไปเข้าบัญชีธนาคารของตัวเอง
ในชั้นสอบสวนผู้ต้องหาที่ 1-2 ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
ร่ายยาวเหตุค้านประกัน
ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนได้คัดค้านการประกันตัว เนื่องจากผู้ต้องหาที่ 1 เป็นทนายความ มีความรู้ทางกฎหมายเป็นอย่างดี และเป็นผู้ที่สังคมให้ความเชื่อถือ แต่กลับมีการกระทำผิดหลายครั้งหลายหนต่อเนื่องกัน ในลักษณะฉ้อโกงอันเป็นปกติธุระ ส่วนผู้ต้องหาที่ 2 เป็นภรรยาของผู้ต้องหาที่ 1 เป็นบุคคลใกล้ชิดและพักอาศัยอยู่ด้วยกัน ย่อมรู้เห็นการกระทำผิดและร่วมกระทำความผิดฟอกเงินกับผู้ต้องหาที่ 1 โดยผู้ต้องหาทั้งสองคนมีพฤติการณ์ที่จะหลบหนียุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน และเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของพนักงานสอบสวน ดังนี้ ผู้ต้องหาที่ 1 ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนในลักษณะลดทอนความน่าเชื่อถือในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานสอบสวน ทำให้ผู้เสียหายและพยานบุคคลเกิดความไม่ไว้ใจพนักงานสอบสวน
ทั้งนี้ จากการสืบสวนพบว่า ก่อนที่จะจับกุมผู้ต้องหาที่ 1 หมายเลขโทรศัพท์ที่ผู้ต้องหาที่ 1 ใช้อยู่ประจำได้ปิดสัญญาณ และขณะจับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยึดโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหาที่ 1-2 ตรวจสอบพบว่าโทรศัพท์มือถือผู้ต้องหาที่ 1 ใช้ซิมการ์ดหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ต้องหาที่ 2 ส่วนโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหาที่ 2 ใช้ซิมการ์ดหมายเลขโทรศัพท์ของพี่สาวผู้ต้องหาที่ 2 รวมทั้งจากการตรวจค้นหาพยานหลักฐานที่บ้านพักผู้ต้องหาที่ 1-2 พบว่าภายในบ้านมีตู้นิรภัยขนาดใหญ่สูง 2 เมตร เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจค้น พบว่ามีร่องรอยผ่านการเก็บทรัพย์สินแล้ว จึงไม่พบทรัพย์สินมีค่าใดๆ อยู่ภายในตู้ดังกล่าว น่าเชื่อว่าผู้ต้องหาที่ 1-2 ได้ร่วมกันยักย้ายทรัพย์สินออกไปก่อนที่เจ้าหน้าที่จะทำการตรวจค้น
และขณะเจ้าหน้าที่ทำการจับกุมขณะผู้ต้องหาที่ 1-2 ขับรถยนต์อยู่บริเวณถนนสายกบินทร์บุรี-ฉะเชิงเทรา มุ่งหน้าไปทางชายแดนประเทศกัมพูชา พบกระเป๋าเดินทางภายในมีเสื้อผ้าเครื่องใช้ส่วนตัวของผู้ต้องหาที่ 1-2 มีเหตุอันควรเชื่อว่าจะหลบหนีออกนอกประเทศ ประกอบกับคดีที่ผู้ต้องหาที่ 1-2 ถูกตั้งข้อหาจับกุมมีอัตราโทษสูงถึง 10 ปี หากผู้ต้องหาที่ 1-2 ได้รับการปล่อยชั่วคราว เชื่อว่าน่าจะหลบหนีเข้าไปยุ่งหรือพยานหลักฐานและจะเป็นอุปสรรคก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของคณะพนักงานสอบสวน
ศาลอาญาพิจารณาแล้วอนุญาตฝากขังตามคำร้อง
จากนั้น นายสายหยุดได้ยื่นคำร้องขอประกันตัวนางปทิตตา พร้อมหลักทรัพย์ 5 เเสนบาท พร้อมเสนอยินยอมรับเงื่อนไขของศาลโดยยอมติดกำไลอีเอ็ม ยินดีให้ริบพาสปอร์ตไว้ เเละจะมารายงานตัวตามนัดทุกครั้ง
ต่อมา ศาลพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดี พนักงานสอบสวนคัดค้านเกรงจะหลบหนี ยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน และผู้เสียหายคัดค้านเกรงจะหลบหนีไม่ได้รับชดใช้ค่าเสียหายคืน ประกอบกับต้องทำการสอบสวนพยานอีก 10 ปาก กรณีอาจเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนได้ และเป็นกรณีที่มีความจำเป็นต้องปกป้องกระบวนการแสวงหาข้อเท็จจริงเข้าสู่สำนวนคดีในชั้นสอบสวนนี้ จึงมีเหตุอันสมควรที่จะรอฟังผลให้เสร็จสิ้นก่อน จึงให้ยกคำร้อง
'ทนายตั้่ม-เมีย' นอนคุก
หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งสองไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เเละทัณฑสถานหญิงกลาง ระหว่างฝากขัง
วันเดียวกัน พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เปิดเผยว่า ในวันนี้ตำรวจกองปราบฯ ได้เดินทางไปขอหมายศาล เพื่อปฏิบัติการตรวจค้นที่บริษัท ษิทรา ลอว์ เฟิร์ม จำกัด ย่านสาทร ซึ่งจะมีการหาข้อมูลหลักฐานความเชื่อมโยงในคดีที่มีการฉ้อโกง น.ส.จตุพร และคดีเกี่ยวกับทรัพย์ โดยจะมีการตรวจยึดเอกสาร ข้อมูลในคอมพิวเตอร์ และหลักฐานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ ผู้อำนวยการกองคดีความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ หรือกองคดีฮั้วประมูลฯ และในฐานะโฆษกดีเอสไอ เปิดเผยถึงความคืบหน้าการดำเนินคดีผู้ต้องหาบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป ว่ายังไม่ได้เข้าไปแจ้ง 2 ข้อกล่าวหาเพิ่มเติม พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 หรือแชร์ลูกโซ่ และ พ.ร.บ.ขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ.2545 เนื่องจากอยู่ระหว่างกระบวนการประสานงานทางคดี ทั้งความพร้อมทนายของผู้ต้องหา ความเรียบร้อยของทางเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และทัณฑสถานหญิงกลาง และสุขภาพแข็งแรงของผู้ต้องหาว่ามีใครเจ็บป่วยหรือไม่ แต่คาดว่าสัปดาห์หน้าจะได้เข้าไปดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาให้เสร็จสิ้น
ร.ต.อ.สุรวุฒิกล่าวว่า ดีเอสไอมีแนวทางจะแบ่งชุดพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ที่จะเข้าไปภายในเรือนจำฯ ออกเป็น 18 ชุดต่อผู้ต้องหาทั้ง 18 ราย เพื่อแยกกันทำงานชัดเจน โดยกระบวนการที่จะเกิดขึ้นคือ แจ้งข้อเท็จจริงในคดี แจ้งข้อกล่าวหา แจ้งฐานความผิด และดำเนินการสอบสวนผู้ต้องหา ซึ่งทางผู้ต้องหามีสิทธิสามารถที่จะปฏิเสธข้อกล่าวหาพร้อมชี้แจงแก้กล่าวหาทันที หรือประสงค์ขอความเป็นธรรม ขอชี้แจงด้วยพยานเอกสารเพิ่มเติมตามประเด็นที่พนักงานสอบสวนตั้งข้อสงสัย จากนั้นพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะได้นำรายละเอียดถ้อยคำให้การทั้งหมดของผู้ต้องหา รวมถึงพยานเอกสารต่างๆ ที่ผู้ต้องหายื่นมานั้น นำเข้าที่ประชุมว่าถ้อยคำให้การสามารถรับฟังและเป็นประโยชน์ต่อสำนวนคดีมากน้อยเพียงใด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะสามารถเดินทางเข้าไปแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมแก่ 18 บอสภายในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และทัณฑสถานหญิงกลาง ในวันที่ 11 พ.ย.นี้.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ฉายาสภาเหลี่ยม(จน)ชิน
ถึงคิวสื่อสภา ตั้งฉายา สส. "เหลี่ยม (จน) ชิน" จากการพลิกขั้วรัฐบาลเขี่ย
ตอกฝาโลงกิตติรัตน์ ‘กฤษฎีกา’ชี้ขาดคุณสมบัติ เหตุมีส่วนกำหนดนโยบาย
"กฤษฎีกา" ชี้ชัดสมัย "นายกฯ เศรษฐา" ตั้ง "กิตติรัตน์" เป็นประธานที่ปรึกษาของนายกฯ
‘เท้งเต้ง’ไม่ทน! ชงแก้ข้อบังคับ รมต.ตอบกระทู้
ทนไม่ไหว! “หัวหน้าเท้ง” หารือประธานสภาฯ ขอให้แก้ข้อบังคับการประชุม
แม้วพบอันวาร์กลางทะเล เตือนเสือกทุกเรื่องทำพัง!
ปชน.จี้ถามรัฐบาล “ทักษิณ” มีอำนาจจริงปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือไม่
ให้กำลังใจจนท.ดูแลปีใหม่ เข้มงวด‘ความปลอดภัย’
นายกฯ ให้กำลังใจตำรวจ-กรมทางหลวง ทำงานหนักช่วงปีใหม่
กฤษฎีกาเอกฉันท์โต้งหมดสิทธิ์
กฤษฎีกามติเอกฉันท์ "กิตติรัตน์" ขาดคุณสมบัติ หมดสิทธิ์นั่ง "ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ"