นายกฯ อิ๊งค์ยินดี "ทรัมป์" มั่นใจสัมพันธ์ประเทศช่วยส่งออกไทยดีขึ้น เป็นโอกาสดีไทยดันตลาด "ซอฟต์พาวเวอร์ภาพยนตร์" ไปสหรัฐ "ภูมิธรรม" เผยรอฟังนโยบาย "ทรัมป์" ก่อนปรับบทบาทไทย รมว.พาณิชย์มั่นใจไทยได้ประโยชน์ ส่งออกอเมริกาได้มากขึ้น ขณะที่ “คลัง” หวั่นสงครามการค้าเดือด ฉุดเศรษฐกิจจีนชะลอ กระทบส่งออก-ท่องเที่ยวไทย บาทผันผวน-FDI ชะลอ เกาะติดเฟดลุ้นขยับดอกเบี้ยรับมือเงินเฟ้อดันเงินทุนไหลออก แนะเร่งปรับตัว ลดพึ่งพาสหรัฐ-จีน มองหาตลาดส่งออกใหม่ "อาจารย์อุ๋ย" เตือนรัฐบาลรับมือสินค้าจีนทะลักรอบใหม่ งวดนี้หนักกว่าเดิม
เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 7 พฤศจิกายน ที่นครคุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวแสดงความยินดีกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนใหม่ว่า ไม่ใช่แค่คนสหรัฐอเมริกา แต่คนไทยก็ตื่นเต้นกันมาระยะหนึ่ง ตั้งแต่การติดตามเลือกตั้ง จนกระทั่งวันเลือกตั้งจริงเมื่อวันที่ 5 พ.ย.ที่ผ่านมา ก็ต้องขอแสดงความยินดีกับประธานาธิบดีอีกครั้ง ซึ่งแต่ละคนก็มีความดี ความเก่งเฉพาะตัวที่แตกต่างกัน
"การที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นมา คิดว่าจะช่วยเรื่องการส่งออกของไทยได้ดียิ่งขึ้น เพราะประธานาธิบดีท่านนี้ก็เน้นเรื่องของเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก และเราก็ค้าขายกับสหรัฐอเมริกามากอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นน่าจะเป็นเรื่องดี และเราก็สร้างสัมพันธ์อันดีไว้ เพื่อเปิดโอกาสให้กับประเทศไทยของเราด้วย" นายกฯ กล่าว
เมื่อถามว่า ซอฟต์พาวเวอร์ของเราจะไปสหรัฐอเมริกาได้ง่ายขึ้นหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า เชื่อว่าจะใช่อย่างนั้น แต่ไม่อยากรีบพูดไปก่อน เพราะท่านเพิ่งผ่านการเลือกตั้งมาเพียง 1 วัน เรารู้สึกว่าเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ภาพยนตร์ที่เราคิดว่าสหรัฐอเมริกาเชี่ยวชาญเรื่องนี้ ทั้งโปรดักชัน ผู้กำกับ คนเขียนบท ก็หวังว่าเราจะได้เรียนรู้จากเขา และจะสามารถนำภาพยนตร์ของเราไปขายในเวทีของเขาบ้าง ในเวทีที่สามารถมีคนในทุกมุมโลกมองเห็นมากขึ้น ยืนยันว่าจะผลักดันต่อแน่นอนในฐานะนายกรัฐมนตรี ซึ่งนี่ถือเป็นโอกาสที่ดีของไทย
ที่วัดชินวราราม อ.เมืองฯ จ.ปทุมธานี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวว่า เราต้องเคารพเสียงประชาชนสหรัฐอเมริกา และต้องรอดูว่าประธานาธิบดีคนใหม่มีนโยบายอย่างไร เราก็ต้องมาปรับให้เหมาะสมกับประเทศเรา เพื่อให้ยืนได้ด้วยตัวเราเอง รวมถึงความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน จึงขอรอดูนโยบายก่อน ไม่อยากไปคาดการณ์อะไรล่วงหน้า
ที่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ เป็นประธานการประชุมติดตามนโยบายและขับเคลื่อนมาตรการเร่งด่วนของรัฐบาล พร้อมด้วยนายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงพาณิชย์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ 58 แห่ง และสำนักงานพาณิชย์จังหวัด 72 จังหวัด เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจการค้า และกำชับเรื่องที่ต้องเร่งดำเนินการหลังคาดว่าโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่จะส่งผลต่อนโยบายการค้าของโลก และไทยต้องเร่งหาโอกาสด้านการค้า-การลงทุน
ภายหลังการประชุม นายพิชัยเปิดเผยว่า เรื่องหลักวันนี้คือการรับมือการเปลี่ยนแปลงผู้นําของสหรัฐอเมริกา ได้มีการวิเคราะห์กันว่าหลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง จะส่งผลกระทบกับไทยอย่างไร เชื่อว่าไทยจะได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ ไทยเองต้องวาง position ตัวเองให้ดี จากข้อมูลตัวเลขในอดีตที่ผ่านมาเห็นชัดเจนว่า ตัวเลขการส่งออกสินค้าไทยหลายรายการเพิ่มขึ้น เป็นผลจากสงครามการค้า ที่ทำให้การนําเข้าสินค้าจีนของสหรัฐลดลงอย่างต่อเนื่อง และสินค้าของไทยได้ไปทดแทนการนำเข้าสินค้าค่อนข้างเยอะ เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าเราจะสามารถเพิ่มการส่งออกไปประเทศอเมริกาได้มากขึ้น
พณ.เชื่อไทยได้ประโยชน์
นายพิชัยกล่าวว่า ขณะนี้ประเทศต่างๆ เดินหน้าเข้ามาเพื่อจะมาเจรจาทำการค้าการลงทุนกับไทยอย่างมาก อีกไม่กี่วันตนเองก็จะบินไปเปรู เพื่อประชุมเอเปกพร้อมท่านนายกฯ คงได้มีการเจรจากับหลายประเทศ และเชื่อว่าหลายประเทศอยากที่จะมาลงทุนในประเทศไทย และวันที่ 25-27 พ.ย.นี้ สหรัฐก็จะนำทัพนักธุรกิจเข้ามา เราต้องวาง position ที่เราเป็นอยู่อย่างนี้ ส่งผลให้จีนก็รักเรา อเมริกาก็รักเรา รัสเซียก็รักเรา middle east ก็รักเรา ไทยไม่ต้องเลือกข้าง เราอยากจะเป็นสวิตเซอร์แลนด์ของอาเซียน ที่ทุกประเทศดีใจและพอใจที่จะมาอยู่กับเรา
"เรื่องการลงทุนเราต้องพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสที่เขาอาจจะมีความขัดแย้งอะไรก็ตาม เราก็จะสามารถหาโอกาสที่เกิดขึ้นได้ จะเห็นการลงทุนจากสหรัฐเข้ามามากขึ้น บริษัทขนาดใหญ่มาขยายการลงทุนด้านฮาร์ดดิสก์ อาทิ ซีเกท Western Digital และมีเรื่อง Food Security Data Center และ PCB เทคโนโลยีใหม่ๆ เชื่อว่าประเทศไทยจะได้รับประโยชน์เรื่องนี้อย่างเต็มที่ เห็นได้จากตัวเลขของ BOI ที่ต่างชาติจะมาลงทุนที่สูงสุดในรอบ 10 ปี แล้วยังจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ" นายพิชัยกล่าว
ด้านนายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า สศค.ได้มีการวิเคราะห์ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย จากแนวนโยบายการค้าระหว่างประเทศของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ไว้เบื้องต้นแล้ว โดยประเมินว่าการส่งออกของไทยไปยังสหรัฐอาจจะได้รับผลกระทบ และไทยอาจต้องหาตลาดใหม่ หรือขยายตลาดในประเทศอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับนโยบายการคุ้มครองของสหรัฐ
ขณะเดียวกัน มองว่าจากปัญหาสงครามการค้าที่อาจจะรุนแรงมากขึ้น ซึ่งมีผลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน จะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานที่เชื่อมโยงกับไทย และอาจทำให้ความต้องการสินค้าไทยในภูมิภาคลดลง ซึ่งปัจจัยดังกล่าวอาจกระทบต่อการท่องเที่ยวและการส่งออกของไทยด้วย รวมทั้งสหรัฐอาจลดการสนับสนุนการลงทุนในต่างประเทศ ทำให้ไทยอาจได้รับการลงทุนโดยตรงจากสหรัฐ (FDI) น้อยลง โดยเฉพาะในโครงการขนาดใหญ่ หรือโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลและพลังงานสะอาด ส่วนค่าเงินบาทจะผันผวนและอ่อนค่าลง ซึ่งจะเพิ่มต้นทุนนำเข้า โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าวัตถุดิบที่ไทยยังต้องพึ่งพาจากต่างประเทศ ส่วนอัตราผลตอบแทนจากพันธบัตรสหรัฐ (Bond Vields) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งอาจจะส่งผลทำให้เงินทุนไหลออกจากตลาดพันธบัตรไทยไปยังสหรัฐมากขึ้น
ผู้ประการไทยต้องปรับตัว
นอกจากนี้ มองว่ามีโอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามที่คาด หรืออาจเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อรับมือกับเงินเฟ้อจากการดำเนินนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้อาจจะได้เห็นเงินทุนไหลออกจากประเทศเกิดใหม่ เช่น ไทย และเกิดการย้ายฐานการผลิตกลับไปในสหรัฐแทน ส่วนอุตสาหกรรมไทยที่พึ่งพาวัตถุดิบจากสหรัฐ ก็อาจจะมีต้นทุนที่สูงขึ้น
“การชนะการเลือกตั้งของนายโดนัลด์ ทรัมป์นั้น อาจจะเป็นผลทำให้ตลาดทุนทั่วโลกมีความผันผวนมากขึ้น แต่อย่างไรก็ดี หากนายโดนัลด์ ทรัมป์ สามารถสร้างนโยบายที่ชัดเจนก็น่าจะช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจสหรัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นายพรชัยกล่าว
ทั้งนี้ ท่ามกลางวิกฤตยังมีโอกาสของเศรษฐกิจไทยต่อนโยบายการบริหารประเทศของนายโดนัลด์ ทรัมป์ โดยมองว่าไทยมีโอกาสดึงดูดการลงทุน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสูง เช่น อิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ไฟฟ้า ขณะเดียวกันการกีดกันสินค้าจากจีน อาจเพิ่มความต้องการสินค้าเกษตรและอาหารจากไทย โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าเกษตรแปรรูปและอาหารแช่แข็ง ซึ่งถือเป็นโอกาสที่สำคัญ รวมถึงไทยยังสามารถขยายการลงทุนและส่งออกในกลุ่มสินค้าพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
นายพรชัยกล่าวอีกว่า ภาคอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการไทยควรปรับตัวและเตรียมพร้อมเพื่อรับมือความท้าทายดังกล่าวที่จะเกิดขึ้น โดยเร่งขยายตลาดส่งออกใหม่เพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐและจีน มุ่งเน้นขยายตลาดส่งออกไปยังประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยุโรป และตะวันออกกลาง โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าสูง เช่น อาหารสุขภาพและผลิตภัณฑ์เกษตรคุณภาพสูง รวมทั้งเร่งส่งเสริมนโยบายเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ผลักดันการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสะอาด เพื่อตอบสนองตลาดโลกที่ต้องการสินค้าคาร์บอนต่ำ โดยเฉพาะในกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า พลังงานหมุนเวียน และเทคโนโลยีคาร์บอนเครดิต ซึ่งสามารถใช้ในธุรกิจส่งออกและสร้างรายได้ให้กับประเทศ ตลอดจนเพิ่มศักยภาพแรงงานที่มีทักษะสูง โดยเน้นที่ทักษะเทคโนโลยีชั้นสูงและการผลิตอัตโนมัติจะช่วยให้ไทยมีศักยภาพในการดึงดูดการลงทุนและสร้างโอกาสในการเป็นฐานการผลิตที่สำคัญในภูมิภาค
อย่างไรก็ดี สศค.ยังประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัวที่ระดับ 3% โดยยังไม่ได้นำปัจจัยนโยบายด้านการค้าของนายโดนัลด์ ทรัมป์ เข้าไปสู่การประเมิน เนื่องจากมองว่าแม้สหรัฐจะเร่งผลักดันมาตรการด้านเศรษฐกิจออกมา ก็น่าจะยังไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในทันที โดยน่าจะเริ่มเห็นผลในช่วงไตรมาส 1-2/2568 จึงจำเป็นต้องรอดูผลกระทบจากมาตรการด้านเศรษฐกิจของสหรัฐ ที่จะมีต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยว่าจะมาในมิติไหน
รับมือสินค้าจีนทะลักเข้าไทย
น.ส.ภาวิณี จิตต์มงคลเสมอ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ช่วงที่ผ่านมาเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนจากความไม่แน่นอนเรื่องการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ โดยหลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เงินดอลลาร์สหรัฐปรับแข็งค่าขึ้น ตามการคาดการณ์แนวนโยบายในระยะถัดไป ส่งผลให้เงินบาทปรับอ่อนค่าลงสอดคล้องกับภูมิภาคมาเคลื่อนไหวเหนือระดับ 34.20 บาท
ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปีเงินบาทอ่อนค่าลงเล็กน้อย ที่ 0.42% โดยการเคลื่อนไหวของเงินบาทและเงินทุนเคลื่อนย้ายยังอยู่ในระดับปกติ อย่างไรก็ดี ตลาดการเงินและค่าเงินบาทยังมีแนวโน้มผันผวนต่อเนื่อง โดย ธปท.ยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย หรืออาจารย์อุ๋ย นักวิชาการด้านกฎหมายและอดีตผู้สมัคร สส.กรุงเทพมหานคร เขตบางกะปิ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะที่ปรึกษาอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษามาตรการในการปกป้องและส่งเสริมอุตสาหกรรม e-commerce ในประเทศไทย ให้ความเห็นว่า นโยบายแรกๆ ที่ทรัมป์ประกาศคือการปกป้องเศรษฐกิจของสหรัฐ โดยการตั้งกำแพงภาษีกับสินค้าที่นำเข้าจากจีนสูงถึงร้อยละ 60 เพราะสินค้าจีนมีราคาถูกจนเข้ามาทำลายเศรษฐกิจของคนท้องถิ่น ที่ผ่านมาสินค้าจีนก็ทะลักเข้าไทยมาระยะหนึ่งแล้ว แต่งวดนี้จะหนักกว่าเดิม รัฐบาลจึงต้องเร่งจัดการกับสินค้าจีนที่ทะลักเข้ามา โดยใช้กลไกทางกฎหมายที่รัฐมีอยู่ในมือแล้ว เช่น กฎหมายเกี่ยวกับศุลกากร มาตรฐานสินค้าอุตสาหกรรม อาหารและยา สินค้าที่ไม่ปลอดภัย หรือการคุ้มครองผู้บริโภค และใช้ระบบกำแพงภาษีกับสินค้าที่เราต้องการปกป้องผู้ประกอบการไทย
นายประพฤติกล่าวว่า สินค้าไทยที่ส่งออกไปอเมริกาก็จะโดนตั้งกำแพงภาษีเช่นกัน แม้จะไม่มากเท่าที่จีนโดน เพราะนโยบาย American First จะกลับมา คือดึงทุกอย่างกลับสู่อเมริกา และอเมริกาเองก็เป็นตลาดส่งออกอันดับต้นๆ ของไทย ดังนั้น รัฐบาลควรสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการเปิดตลาดใหม่ๆ เช่น อเมริกาใต้ เอเชียกลาง หรือแอฟริกา นอกจากนี้มีความเป็นไปได้สูงที่โรงงานจากจีนบางส่วนจะย้ายมาประเทศไทยเพื่อหลบกำแพงภาษี ซึ่งถ้าเป็นโรงงานจากจีน รัฐบาลก็ต้องมีมาตรการที่จะทำให้คนไทยได้ประโยชน์สูงสุด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาธุรกิจศูนย์เหรียญ ที่คนไทยไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการเข้ามาลงทุน.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'อิงค์-อ้วน' ยัน MOU44 สำคัญ ไทยต้องคุยกัมพูชาชัดเรื่องเขตแดนภายใต้ JTC แล้วนำเข้ารัฐสภา
นายกฯ ยัน MOU44 สำคัญ ย้ำไม่ยกเลิกฝ่ายเดียวจะเกิดปัญหาระหว่างประเทศ ไทยต้องคุยกับกัมพูชาชัดเรื่องเขตแดน ภายใต้คกก. JTC เพื่อเป็นหลักฐานการคุย คาดตั้งเสร็จกลาง พ.ย.นี้ ลั่นผลประโยชน์ใต้ทะเลยังไม่คุยจนกว่าจะชัดเจนและนำเข้ารัฐสภา ยอมรับกัมพูชาถามคืบหน้า
แจ้ง4ข้อหาหนัก ตั้ม-เมียนอนคุก แฉจะหนีไปเขมร
ตำรวจออกหมายจับก่อนตามรวบ "ทนายตั้ม-เมีย" ได้ที่ฉะเชิงเทรา
‘ป้อม’ปลุกพปชร.ล้มMOU44
"ภูมิธรรม" จวกอย่าจินตนาการสัมปทานน้ำมันพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชาเอื้อ
กมธ.เปิดเวทีเดือด ฟันนักโทษเทวดา พบพิรุธย้ายรพ.
เปิดเวทีเชือด "นักโทษเทวดา" กมธ.ความมั่นคงฯ เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้แจงปมห้องวีไอพีชั้น 14
ชงเกาะกูดมัดพ่อ-ลูก ‘ธีรยุทธ’ชี้เร่งเจรจากระทบอธิปไตยลุ้น13พ.ย.ศาลรับคำร้อง
"ธีรยุทธ" เข้าให้ถ้อยคำ "อัยการ" คดีร้อง "ทักษิณ-พท." ล้มล้างการปกครอง
รัฐบาลเอาจริง!ลุยปราบบัญชีม้าและนอมินี
รัฐบาลเดินหน้าผนึกกำลังป้องกันและปราบปรามบัญชีม้านิติบุคคลและนอมินี ลงนาม MOU ระหว่างกรมพัฒนาธุรกิจการค้ากับกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สกัดมิจฉาชีพใช้เป็นช่องทางหลอกลวงคนไทย