ม.หอการค้าไทยคาด "ทรัมป์" ชนะเลือกตั้ง สงครามทางการค้าระหว่างจีน-สหรัฐรุนแรงขึ้น กระทบเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัว แนะรัฐบาลเร่งปรับตัวออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ดึงการลงทุน ขณะที่หุ้นไทยร่วง 14.25 จุด บาทอ่อนค่าสุดรอบ 2 เดือน แตะ 34 บาท ทองคำผันผวนหนัก ปรับราคา 33 ครั้ง
เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2567 นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐว่า เมื่อนายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง และเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ มองว่าจะเกิดสงครามทางการค้าระหว่างจีน-สหรัฐรุนแรงขึ้น หากทรัมป์ครองคะแนนเสียงในรัฐสภา จะทำให้นโยบายการบริหารนั้นง่าย เร็วและแรงขึ้น อาจจะออกนโยบายเศรษฐกิจแบบกะทันหัน เพื่อดูแลเศรษฐกิจสหรัฐ
นอกจากนี้ ทรัมป์จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีน 60% และเพิ่มภาษีนำเข้าจากประเทศต่างๆ 10% จะมีผลทำให้จีนส่งออกไปสหรัฐน้อยลง อีกทั้งทรัมป์ยังจะใช้นโยบายในการลดต้นทุนการผลิตภายในประเทศ จากเดิม 25% เป็น 15-20% เพื่อลดต้นทุน ซึ่งในระยะสั้นจะมีผลต่อภาพเศรษฐกิจในสหรัฐโตขึ้น ส่วนนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม จะให้ความสำคัญเบาบางลง ขณะที่สงครามตะวันออกกลาง ใจยังคงมีอยู่และต้องเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้ ในส่วนของจีน ไม่ว่าใครจะขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ จีนได้มีการปรับตัว เพราะมั่นใจว่าจะมีการกีดกันทางการค้า โดยจีนจะให้ความสำคัญและสานสัมพันธ์กับแอฟริกา ยุโรป เอเชียมากขึ้น ซึ่งจะมีผลต่อการขยายการลงทุนเข้ามาในแถบนี้รวมถึงไทย
ทางด้านประเทศไทยมองว่าจะต้องปรับตัว ไม่ว่าใครเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ กระทบการส่งออกไทยไปในตลาดจีนและสหรัฐ รวมถึงประเทศอื่นด้วย นอกจากนี้ยังมีโอกาสที่จีนจะส่งสินค้าเข้าไทยเพิ่มขึ้น รวมไปถึงการย้ายฐานการผลิต ไทยจำเป็นจะต้องมีนโยบายชัดเจน ในเรื่องของแผนการลงทุนการสร้างสัมพันธ์อันดีและตลาดที่จะรองรับ
นอกจากนี้ มองว่าเศรษฐกิจในปี 2568 ไทยจะขยายตัว 3% ส่วนในปี 2567 เติบโต 2.6-2.8% และเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ นอกจากติดตามสถานการณ์การเลือกตั้งของสหรัฐแล้ว รัฐบาลต้องเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปี ให้มีแรงส่งต่อเนื่อง ด้วยการมาตรการลดหย่อนภาษีจากการใช้จ่ายเพื่อท่องเที่ยว Easy E-Receipt แม้จะทำให้รัฐบาลรายได้จากภาษีหายไป 1 หมื่นล้านบาท แต่ทำให้เงินหมุนเวียนในเศรษฐกิจ 5-6 หมื่นล้านบาท และหากออกมาตรการคนละครึ่งเพิ่มอีก 50,000 ล้านบาท จะมีเม็ดเงินใหม่เข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจกว่าแสนล้านบาทช่วงปลายปีด้วย
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) กล่าวในมุมองของตนเองมองว่า หากโดนัล ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดี ก็คงไม่ได้สนใจเรื่อง Climate change หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสักเท่าไหร่ จะเน้นนโยบายอเมริกาเฟิร์สต์ รวมถึงการเพ่งเล็งประเทศที่ได้ดุลการค้า ซึ่งประเทศไหนที่ได้ดุลการค้าก็คงถูกเพิ่งเล็งมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่เกินดุลการค้าสูงและมูลค่าการส่งออกขยายตัวได้ดี เช่น ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ เซมิคอนดักเตอร์ ยางล้อ และกลุ่มสินค้าเกินดุลปานกลาง และมูลค่าการส่งออกที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว เช่น เครื่องปรับอากาศ โซลาร์เซลล์ เป็นต้น
“เรื่องเศรษฐกิจ ทรัมป์เป็นคนพูดตรงไปตรงมา หากมีการขึ้นภาษีสินค้านำเข้า ไทยก็คงไม่เสียเปรียบมากเท่าจีน เช่น การขึ้นภาษี EV จากจีน ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้เห็นการย้ายฐานผลิต EV จากจีนมาไทย ซึ่งเชื่อว่าหากทรัมป์มา การลงทุนในเราจะเพิ่มขึ้น แต่ทั้งนี้ไทยก็ต้องไม่ทำให้สหรัฐรู้สึกว่าจีนแค่ย้ายฐานมาแต่ยังใช้ซัพพลายทั้งหมดจากจีน ไม่ใช้ made in thailand อย่างแท้จริง ดังนั้นซัพพลายควรจะเป็นของไทย ซึ่งผู้ประกอบการไทยก็ต้องพร้อมเสิร์ฟซัพพลายทั้งหมด” นายสนั่นกล่าว
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ เมื่อครั้งที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีสมัยแรก ทุกภาคส่วนก็ได้ไปแสดงถึงความจริงใจที่ไทยจะไปลงทุนที่อเมริกา จึงคิดว่าไทยจะสามารถจัดการและปรับตัวได้
แต่หากผู้ชนะคือ กมลา แฮร์ริส กติกาโลกต่างๆ จะถูกเน้นย้ำ และให้ความสำคัญมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น IMF, WTO, World Bank สิทธิมนุษยชน สิ่งแวดล้อม ซึ่งผิดกับทรัมป์ ซึ่งไทยจะต้องติดตามความคืบหน้าของนโยบายเหล่านี้ต่อไป ที่สำคัญภาครัฐและเอกชนต้องเตรียมหาแนวทางร่วมกันรับมือกับนโยบายที่จะมีการเปลี่ยนแปลงภาคเอกชนไทย
ย้ำผลการเลือกตั้งที่จะออกมาไทยได้รับผลกระทบไม่มาก แต่ก็ต้อมยอมรับว่าสินค้าที่นำเข้าจากไทยเป็นสินค้าจำเป็น หากมีการขึ้นภาษี สินค้าในอเมริกาก็แพงขึ้น เงินเฟ้อมากขึ้น อเมริกาทิ้งไทยไม่ได้อยู่แล้ว เพราะไทยมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ และมีความสัมพันธ์อันดีอยู่แล้วกับสหรัฐเสมอมา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภาวะตลาดหุ้นไทย SET ปิดวันนี้ (6 พ.ย.) 1,467.42 จุด ลดลง 14.25 จุด (-0.96%) มูลค่าซื้อขายราว 57,225.82 ล้านบาท นักวิเคราะห์เผยตลาดหุ้นไทยช่วงท้ายตลาดปรับตัวลงแรงรับ "ทรัมป์" ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ เงินบาทอ่อนค่าจากเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า บอนด์ยีลด์สหรัฐปรับขึ้น อีกทั้งนโยบายขึ้นภาษีจะกดดันเงินเฟ้อสหรัฐ และโอกาสเฟดปรับลดดอกเบี้ยได้น้อยลง เป็นลบต่อตลาดหุ้นเอเชีย แนวโน้มวันที่ 7 พ.ค. คาดปรับตัวลงต่อ โดยมองว่าตลาดหุ้นจะมีความผันผวน 1-2 เดือน
ขณะที่ราคาทองคำไทยมีการปรับเปลี่ยนราคากว่า 33 ครั้ง เป็นการปรับขึ้นครั้งแรกพรวดเดียว 400 บาท ก่อนปรับเพิ่มขึ้น 18 ครั้ง ครั้งละ 50 บาท จากนั้นปรับลดลง 12 ครั้ง ครั้งละ 50 บาท และปรับลดลงครั้งละ 100 บาท 2 ครั้ง รวมเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้น 350 บาทต่อบาททองคำ ทำให้ราคาทองคำแท่ง รับซื้ออยู่ที่ 43,950 บาทต่อบาททองคำ ขายออก 44,050 บาทต่อบาททองคำ ทองรูปพรรณ รับซื้อ 43,160.52 บาทต่อบาททองคำ ขายออก 44,550 บาทต่อบาททองคำ ทองสปอต 2,725 อัตราค่าเงินบาท 34.17 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
นายกาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า เงินบาทระหว่างวันเคลื่อนไหวอยู่ระดับ 34.189 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าสุดในรอบ 2 เดือนนับตั้งแต่วันที่ 5 ก.ย. หลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ รับชัยชนะนั่งประธานาธิบดีสหรัฐสมัยที่ 2 และตลาดหุ้นไทยร่วงลงแรง พร้อมกับความผันผวนของราคาทองคำในประเทศ เนื่องจากนักลงทุนเทขายสินทรัพย์ไทยไปถือเงินดอลลาร์ ทำให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น
ทั้งนี้ คาดการณ์เงินบาทสัปดาห์นี้อยู่ที่ 34.30 บาทต่อดอลลาร์ เพราะต้องจับตาผลประชุมธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด ในระหว่างสัปดาห์ โดยคาดสิ้นปี 2567 เงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าถึง 34.50 บาทต่อดอลลาร์ หลังจากทรัมป์ได้รับชัยชนะ และดูนโยบายว่าจะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะการกีดกันการค้ากับจีน ซึ่งอาจทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่าเทียบกับหยวน และส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของเงินบาทไทยได้.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เปิดทาง‘โต้ง’อสส.ไม่อุทธรณ
เปิดช่องนั่ง "ปธ.บอร์ดแบงก์ชาติ" อัยการสูงสุดไม่อุทธรณ์คดี "กิตติรัตน์"
ชูศักดิ์แจงคดีแม้ว-พท.ล้มล้าง
"นายกฯ อิ๊งค์" เดินทางถึงจีน เข้าร่วมเวที GMS ครั้งที่ 8 และ ACMECS ครั้งที่ 10
‘ทรัมป์’คัมแบ็กปธน. คว้าชัยเหนือ‘แฮร์ริส’ประกาศยุคทองอเมริกา/โลกแห่ยินดี
"โดนัลด์ ทรัมป์" อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ ตัวแทนพรรครีพับลิกัน
ทุ่ม2.5พันล้าน ฟื้นฟูเกษตรกร แอ่วเหนือไม่ปัง
ครม.อนุมัติ 2.5 พันล้าน ฟื้นฟูเกษตรกรหลังน้ำลด ขณะที่ ศปช.แจ้งเขื่อนเจ้าพระยาน้ำลดต่อเนื่อง คาดสู่ภาวะปกติสัปดาห์หน้า
1ก.พ.68เลือกนายกอบจ. กกต.ยื้อเชือด‘หมอเกศ’
กกต.เคาะเลือกตั้ง "สมาชิก-นายก อบจ." 1 ก.พ.68 เปิดรับสมัคร 23-27 ธ.ค.
นายกฯงัดกม.พีดีพีเอป้อง‘พ่อ’
"มาดามแพ" อ้าง พ.ร.บ.คุ้มครองส่วนบุคคลปมขอเวชระเบียนรักษา "ทักษิณ" จาก รพ.ตำรวจ ยันไม่แทรกแซง