เปิดเส้นทางเงิน 3 บอสดารารับตรงดิไอคอน “กันต์” 80 ล้าน “มิน” 11 ล้าน “แซม” 3.2 ล้าน “ทนายความบอสพอล” ดำเนินการ 4 ออเดอร์ตามคำสั่ง จ่อแจ้งความ “สายไหมต้องรอด-ษิทรา" ด้าน “เชาว์” บี้สภาทนายความสอบมรรยาท “ทนายตั้ม” หลังถูกแจ้งความฉ้อโกง 71 ล้าน
เมื่อวันที่ 25 ต.ค. ความคืบหน้าการตรวจสอบความเชื่อมโยงเส้นทางการเงินของบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด กับกลุ่มผู้ต้องหาทั้ง 18 ราย โดยเฉพาะกลุ่มบอสดารา หลังเจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ร่วมกันตรวจสอบร่วมกับตำรวจสอบสวนกลาง ผลการตรวจสอบพบว่า นายกันต์ กันตถาวร ตั้งแต่ปี 64 จนถึงปัจจุบัน มีเงินโอนจากบัญชีบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ปฯ เข้าบัญชี จำนวน 33 ครั้ง รวมเป็นเงิน 79,482,686.80 บาท แบ่งเป็น ปี 64 จำนวน 2 ครั้ง รวมเป็นเงิน 5,756,928.32 บาท, ปี 65 จำนวน 15 ครั้ง รวมเป็นเงิน 41,836,164.64 บาท, ปี 66 จำนวน 10 ครั้ง รวมเป็นเงิน 23,515,753.04 บาท, ปี 67 จำนวน 6 ครั้ง รวมเป็นเงิน 8,373,840.80 บาท
ส่วน น.ส.พีชญา วัฒนามนตรี รับโอนเงินจากบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ปฯ ตั้งแต่ปี 66-67 จำนวน 9 ครั้ง รวมเป็นเงิน 11,390,847.44 บาท แบ่งเป็น ปี 66 จำนวน 7 ครั้ง เป็นเงิน 8,548,024.34 บาท, ปี 67 จำนวน 2 ครั้ง เป็นเงิน 2,842,823.10 บาท ขณะที่ นายยุรนันท์ ภมรมนตรี ตั้งแต่ปี 66-67 มีการรับโอนเงินเข้ามาจำนวน 3 ครั้ง รวมเป็นเงิน 3,194,614.80 บาท แบ่งเป็น ปี 66 จำนวน 2 ครั้ง เป็นเงิน 1,861,391.48 บาท, ปี 67 จำนวน 1 ครั้ง เป็นเงิน 1,333,223.32 บาท
นายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือบอสพอล ผู้ต้องหาในคดีบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า บอสพอลต้องการอยากพบตนเองด่วนจึงรีบเดินทางมา แต่ยังไม่ทราบว่าคุยเรื่องอะไร คาดว่าน่าจะเป็นเรื่องสถานการณ์สำคัญในช่วงนี้หรือการต่อสู้ทางคดี และให้ดำเนินการ 4 ออเดอร์ คือ 1.การแจ้งความร้องทุกข์นักร้องสาว ก. ฐานกรรโชกทรัพย์ ได้แจ้งความร้องทุกข์ไปแล้ว แต่อาจมีการส่งคลิปเพิ่มเติมแก่ตำรวจ 2.การแจ้งความนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด และพยานเท็จ ที่อ้างเรื่องโอนเงินคริปโตเคอร์เรนซี ตอนนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานและเอกสารการมอบอำนาจการแจ้งความดำเนินคดีจากบอสพอล โดยนายเอกภพจะแจ้งข้อหา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เพราะพบมีข้อมูลนำไปลงเพจเฟซบุ๊ก ส่วนพยานเท็จแจ้งข้อหาหมิ่นประมาท
แจ้งความ 4 ออเดอร์
นายวิฑูรย์กล่าวว่า ออเดอร์ที่ 3 ประเด็นเกี่ยวกับนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ที่ออกมาโพสต์ว่า ไม่มีเบอร์โทรศัพท์ของบอสพอล และบอสพอลเป็นคนโทร.หาทนายตั้มเอง เมื่อวันที่ 15 ต.ค. ขอยืนยันมีหลักฐานรายละเอียดมากกว่าที่ทนายตั้มออกมาโพสต์ แต่ต้องให้ความเป็นธรรมกับทนายตั้ม ที่ออกมาบอกว่าเงิน 7-7.5 ล้าน เป็นเงินคืนให้กับผู้เสียหายจริง และคืนเงินตามจำนวนความเสียหายครบถ้วน เพราะถ้าจริงต้องแฟร์กับทนายตั้มด้วย เชื่อว่าตำรวจดำเนินการตรวจสอบในทางลับแล้ว แต่จะมีส่วนต่างเข้าทนายตั้มหรือไม่ ประเด็นนี้ต้องตรวจสอบ และออเดอร์ที่ 4 เกี่ยวกับแม่ทีมแต่มาตีเนียนเป็นผู้เสียหาย เพียงประเด็นการต่อสู้คดีเท่านั้น เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่ม ภายในเดือน ต.ค.นี้
ทนายความคนดังกล่าวยังระบุด้วยว่า เรื่องการประกันตัวที่ครอบครัวของบอสพอลเร่งให้ประกันตัว ตนไม่มีข้อมูล แต่ต้องกลับไปคุยกับบอสพอลว่าแนวทางการประกันตัวจะยังเหมือนเดิมหรือไม่ ส่วนเรื่องที่กรมสอบสวนพิเศษ (ดีเอสไอ) รับคดีฟอกเงินเป็นคดีพิเศษ ตนมองว่าเป็นเรื่องปกติของคดีฉ้อโกง จะมีข้อหาการฟอกเงินตามมาอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าหน่วยงานไหนจะรับทำ
เมื่อถามว่า ทางบอสพอลจะดำเนินคดีกับนักการเมือง ส. หรือไม่กรณีคลิปเสียง นายวิฑูรย์ชี้แจงว่า ตอนนี้ยังไม่ได้รับคำสั่งหรือพูดถึงดำเนินคดีกับบุคคลท่านนี้ ตอนนี้ขอดำเนินการ 4 ออเดอร์ก่อน
ขณะที่นายเอกภพชี้แจงว่า ขอยืนยันความบริสุทธิ์ใจ 100 เปอร์เซ็นต์ เมื่อพยานรายนี้ให้ข้อมูลมา ตรวจสอบแล้ว พยานพร้อมแล้ว ตัวเองก็พาไปให้การกับตำรวจ ซึ่งพยานคนนี้ทาง บก.ปปป.เชิญให้ไปสอบปากคำเอง ตัวเองไม่ได้ยัดเยียดให้ตำรวจ และอยากยืนยันว่าตัวเองมีแต่ความปรารถนาดี ไม่ได้มีเจตนาให้ร้ายใคร เมื่อมีพยานมาแจ้งเรื่องหรือมีพลเมืองดีมาแจ้ง ตัวเองมองว่ามันเป็นเรื่องที่สำคัญ จึงพาไปให้การกับตำรวจ เพราะทางเพจสายไหมต้องรอดไม่มีหน้าที่ตรวจสอบอยู่แล้ว ข้อมูลของพยานรายนี้ที่บอกว่าหนึ่งในบอสของบริษัท ดิไอคอนฯ โอนเงินบาทหลายพันล้านบาท เปลี่ยนไปเป็นเงินดิจิทัล จนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครตอบได้ว่าเงินก้อนนี้เป็นเงินของใคร ยังไม่มีใครให้คำตอบในเรื่องนี้ได้
นายเอกภพกล่าวอีกว่า การพาพยานไปให้การอย่างไรก็เป็นประโยชน์มากกว่า ดีกว่าการไม่ทำอะไรเลย ถ้ามีคนมาแจ้งข้อมูลแล้วไม่ทำอะไรเลย ถ้าเวลาผ่านไปกลับกลายเป็นเรื่องจริง จะโดนด่าอีกว่าทำไมไม่ทำอะไรเลย ตัวเองมีหน้าที่รับข้อมูลรับมาแล้วก็ส่งต่อไป ถ้าตรวจสอบแล้วพบว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับบริษัท ดิไอคอนฯ ถ้าไม่ใช่ก็จบไป แค่นั้น
เขาระบุว่า ส่วนเรื่องเทวดาทั้งหลาย ที่พยานรายนี้ยืนยันว่าบริษัท ดิไอคอนฯ คอยจ่ายเงินให้ตลอด เรื่องนี้มีคนคอยเตือนตลอดว่าอย่าไปยุ่ง เพราะมันเกี่ยวกับคนหลายคน แต่ตัวเองอยากเข้าไปยุ่งเอง เพราะรู้สึกสงสารผู้เสียหาย คิดแค่ว่าอยากทำความจริงให้ปรากฏ ลองคิดดูว่าถ้ามันไม่มีเทวดามาเกี่ยวข้อง เรื่องนี้จะไม่ถูกปล่อยผ่านมาขนาดนี้ ถ้าเรื่องนี้ไปกระทบกับใคร ต้องกราบขอโทษด้วยความจริงใจ อยากจะบอกกับทุกหน่วยงานว่า เรื่องที่เกิดขึ้นมันผ่านมาแล้ว ไม่ใช่เรื่องปัจจุบัน เพราะฉะนั้นแต่ละหน่วยงานต้องตรวจสอบย้อนหลังกันเอง ยืนยันว่าตัวเองไม่ได้ทะเลาะกับตำรวจ ตัวเองออกมาช่วยด้วยซ้ำ ถ้ามองว่าได้รับความเสียหายจากสิ่งที่ตัวเองทำก็พร้อมให้ดำเนินคดี
ผู้สื่อข่าวถามว่า รู้สึกท้อใจหรือไม่ นายเอกภพยอมรับว่า มีบ้าง เพราะตัวเองจี้เรื่องเทวดารับส่วยมาตั้งแต่ต้น ต้องยอมรับว่าพวกส่วยต่างๆ มันกัดกินสังคม จึงอยากรื้อระบบ ฝากไปบอกทนายคนต่างๆ ของบริษัท ดิไอคอนฯ ว่ามาร่วมช่วยสังคม ทนายคนไหนที่มีคลิปของข้าราชการหรือนักการเมืองที่มาเรียกรับเงินต่อจากบริษัท ดิไอคอนฯ ให้ออกมาเปิดเผยต่อสังคม เพราะคนพวกนี้มีอิทธิพล ชี้นำสังคมได้ ปล่อยเอาไว้ไม่ได้ วันนี้เราไม่มีอะไรจะเสียไปมากกว่านี้แล้ว ส่วนใครที่มีข้อมูลเรื่องเทวดารับส่วย ให้ติดต่อมาที่สายไหมต้องรอด เราจะไม่คุยเรื่องเงิน แต่เราจะปกป้องพวกคุณ และนำพาพวกคุณไปแจ้งเรื่องต่อรัฐบาล
พล.ต.ต.สินเลิศ สุขุม ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต เป็นประธานการประชุมบริหารตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต (ภ.จว.ภูเก็ต) ครั้งที่ 1/2568 ประจำเดือนตุลาคม 67 พร้อมกับมีข้อสั่งการให้ทุก สภ.เร่งดำเนินการสรุปคำให้การคดีดิไอคอนกรุ๊ปให้แล้วเสร็จ แล้วส่งมายัง ภ.จว.ภูเก็ตให้เรียบร้อย
จี้สอบ ‘ทนายตั้ม’
วันเดียวกัน ที่ศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก นายสนธิญา สวัสดี อดีตที่ปรึกษากรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร และอดีตผู้สมัคร สส.พรรคพลังประชารัฐ เดินทางมายื่นคำร้องขอให้ศาลแพ่งสั่งปิดเพจเฟซบุ๊ก อีซ้อขยี้ข่าว โดยนายสนธิญาเปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้เพจเฟซบุ๊กอีซ้อขยี้ข่าวมีการโพสต์พาดพิงว่า มีคลิปเสียงที่ตนเองพูดคุยกับบอสพอล และมีการเรียกรับเงิน ตนยืนยันว่าไม่รู้จักบอสพอล หรือแม้กระทั่งบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด และตนเองไม่เคยได้รับผลประโยชน์แต่อย่างใด ดังนั้น หากเห็นว่าบริษัท ดิไอคอนฯ กระทำผิด ก็ให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตามกฎหมาย
“ผมได้รับผลกระทบ ถูกใส่ร้ายด้วยความเท็จ และต้องการจะฟ้องเจ้าของเพจอีซ้อขยี้ข่าว แต่ก็หาไม่เจอ เพราะไม่มีตัวตน ไม่ระบุสถานที่ว่าตั้งอยู่ตรงไหน ไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของเพจ และมองว่าการกระทำของเพจดังกล่าว บางครั้งโพสต์ข่าวมีประโยชน์ แต่บางครั้งก็โพสต์ข่าวที่คลาดเคลื่อนไม่ตรงความจริง ถ้าภายหลังทางเพจอีซ้อขยี้ข่าวโทรศัพท์ติดต่อมาขอโทษ ผมยังไม่ยินยอม จะยินยอมถอนฟ้องให้ก็ต่อเมื่อมีการโพสต์ขอโทษผ่านสื่อมวลชนเท่านั้น” นายสนธิญาระบุ
นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ และทนายความ โพสต์เฟซบุ๊ก Chao Meekhuad เรื่อง สภาทนายความ ต้องสอบปม “ทนายตั้ม” หลังถูกแจ้งความข้อหาฉ้อโกง 71 ล้าน มีเนื้อหาระบุว่า กรณีนางสาวจตุพร อุบลเลิศ นักธุรกิจสาวที่มีกิจการในต่างประเทศและในไทยในฐานะผู้เสียหายได้มอบอำนาจให้ทนายความเข้าแจ้งความร้องทุกข์ที่สถานีตำรวจภูธรปากช่องจังหวัดนครราชสีมา โดยแจ้งข้อกล่าวหานายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ว่าฉ้อโกงเงินจำนวน 71 ล้านบาท ขณะที่ทนายตั้มร้อนตัวรีบชิงออกสื่ออ้างว่าได้มาโดยเสน่หา รวมทั้งการรับโอนเงินมีการแสดงหลักฐานปกปิดการทำธุกรรมเพื่อเลี่ยงภาษี ตามที่ปรากฏข่าวอยู่ในสื่อโซเชียล ในฐานะที่เป็นทนายความ ได้ยินข่าวทำนองนี้ก็รู้สึกหดหู่ใจ เพราะโดยปกติภาพพจน์ของทนายความก็ไม่ค่อยเป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจต่อสังคมสักเท่าไหร่อยู่แล้ว โดยเฉพาะกรณีนายษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายความชื่อดังที่อาศัยสื่อโซเชียลในการสร้างภาพลักษณ์ตนเองจนมีผู้ติดตามนับล้านคน มีความปรากฏว่าผู้เสียหายได้ไปแจ้งความดำเนินคดีกับนายษิทรา ข้อหาฉ้อโกงเงินของลูกความ 71 ล้านบาท ถ้าเป็นจริงกรณีถือเป็นเรื่องร้ายแรง ตามข้อบังคับสภาทนายความฯ ว่าด้วยมรรยาททนายความ พ.ศ.2529
นายเชาว์ยังเรียกร้องไปที่สภาทนายความฯ และคณะกรรมการมรรยาททนายความ ซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในการกำกับดูแลการประกอบอาชีพของทนายความ ให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนกรณีนี้ ซึ่งสามารถกระทำได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีผู้เสียหายร้องเรียนเข้ามา เพื่อทำความจริงให้ปรากฏต่อสังคมว่าองค์กรทนายก็มีการตรวจสอบการทำหน้าที่ของทนายด้วยกันเอง ไม่เพิกเฉยต่อกรณีที่เกิดขึ้น และไม่ปกป้องคนของตนเอง ถ้าผิดจริงก็ต้องถูกลงโทษไม่ให้เป็นการเสื่อมเสียต่อศักดิ์ศรีและเกียรติคุณของทนายความ
“เราเห็นทนายความเฟซบุ๊กได้รับความเชื่อถือ มีประชาชนเข้าหามากกว่าสภาทนายความฯ เสียอีก เพราะเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป การแสวงหาชื่อเสียงหรือหาแสงก็มีมากขึ้น เรียกตัวเองว่าทนายความ แต่ปฏิบัติตนเหมือนอินฟลูเอนเซอร์ เรียกยอดไลก์ แต่กลับไร้ความผิดชอบต่อสังคม ผมคิดว่าสภาทนายความฯ ควรมีบทบาทเข้าไปจัดการเรื่องนี้ ไม่ให้เกิดเรื่องแปดเปื้อนกับวิชาชีพทนายความ" นายเชาว์ระบุทิ้งท้าย.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ตั้งกก.สอบผกก.บางซื่อ ทนายปาเกียวเล็งทิ้งตั้ม
“ดีเอสไอ” เตรียมสรุปสำนวนคดี 18 บอสดิไอคอนเสนออัยการคดีพิเศษภายใน 20 ธ.ค.นี้
นิกรหักเพื่อไทย เตือนส่อผิดกม. ให้กมธ.ตีความ
“นิกร” หักข้อเสนอ “ชูศักดิ์” เลยช่วงเวลาแปลงร่างประชามติเป็นกฎหมายการเงินแล้ว
จ่อส่งคดีหมอบุญให้DSI
ตร.สอบปากคำอดีตภรรยา-ลูกสาว “หมอบุญ” เพิ่มเติม
‘สนธิ’ลั่นการเมืองใกล้สุกงอม!
“อุ๊งอิ๊ง” เมินปม กกต.สอบครอบงำต่อ เด็ก พท.ยันเป็นการดำเนินการตามปกติ
ทักษิณรอดคลุมปี๊บ! ส้มเหลวปักธงอุดรธานี ‘คนคอน’ตบหน้า‘ปชป.’
เลือกตั้ง อบจ. 3 จังหวัด “เพชรบุรี-อุดรธานี-นครศรีธรรมราช” ราบรื่น
‘ยิ่งลักษณ์’ กลับคุก ‘บิ๊กเสื้อแดง’ รู้มา! ว่าไปตามราชทัณฑ์ไม่ใช้สิทธิพิเศษ
“เลขาฯ แสวง” ยันเดินหน้าคดี “ทักษิณ-เพื่อไทย” ล้มล้างการปกครองต่อ เพราะใช้กฎหมายคนละฉบับกับศาล รธน. "จตุพร" ลั่นยังไม่จบ! ต้องดูสถานการณ์เป็นตอนๆ ไป