“จิราพร” รับถอนใบอนุญาต “ดิไอคอน” อาจไม่ทันสัปดาห์นี้ ชี้ต้องทำรอบคอบ ไม่มีกลั่นแกล้งใคร "ผู้ช่วย ผบ.ตร." เร่งวิเคราะห์คำให้การแม่ข่ายแยกผู้เสียหายแท้จริง ปัดออกหมายจับล็อต 2 ขอรอหลักฐานชัด แย้ม "ภรรยาบอสกันต์" หลักฐานถึงก็ไม่เว้น "ทนายบอสพอล" โวยตำรวจค้น 11 จุดยึดมือถือพนักงาน-กักตัวสอบนานทำเกินกว่าเหตุ เล็งเดินสายร้องจเรฯ-กสม. "อัจฉริยะ-ทนายตั้ม" จูบปากคืนดีกัน ปูดเตรียมแฉธุรกิจเครือข่าย "สส.เพื่อไทย" มีหุ้นส่วนคนบันเทิงหลอกลงทุน
เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2567 น.ส.จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) กล่าวถึงความคืบหน้าคดีบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด ว่าปัญหานี้สะสมมาหลายปี แต่เพิ่งจะปะทุกันในช่วงนี้ ทำให้ประชาชนตั้งคำถามถึงการทำงานของ สคบ. โดยขอแบ่งเป็น 2 ส่วนใหญ่ คือมีการร้องเรียนมายัง สคบ.ตั้งแต่ปี 61 ซึ่งทาง สคบ.ก็ได้ตรวจย้อนกลับไป และไม่ได้นิ่งนอนใจ มีการส่งหนังสือไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพราะ สคบ.มีข้อจำกัดในทางกฎหมายของการตรวจสอบ ซึ่งปัจจุบันก็มีหน่วยงานที่ตอบกลับมาบางหน่วยงาน ถือเป็นปัญหาอย่างหนึ่งที่จะดูแค่ สคบ.ไม่ได้แล้ว ต้องมีวิธีการทำงานร่วมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งการบูรณาการแก้ปัญหา รวมถึงการป้องกันในระยะยาว ได้แนะนำ สคบ.ไปดำเนินการเรื่องกฎหมายต่างๆ ที่ถืออยู่ ที่ล้าหลังหรือล้าสมัยไม่ตอบโจทย์ คณะกรรมการนี้จะได้ช่วยแนะนำและแก้ปัญหานี้ด้วย
นอกจากนี้ อีกมิติหนึ่งต้องเรียกความเชื่อมั่นคืน คือเรื่องคลิปเสียงที่ปรากฏในภาพสื่อ ซึ่งอยากให้ประชาชนมั่นใจ ทางรัฐบาล ตน และนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เอาจริงในการตรวจสอบเพื่อหาข้อเท็จจริง
ถามถึงการพิจารณาถอนใบอนุญาตดิไอคอนกรุ๊ป น.ส.จิราพรกล่าวว่า สั่งการ สคบ.ให้ทำงานให้เร็วที่สุด ซึ่งเคยให้ข้อมูลไปว่าอยู่ระหว่างการเชิญบริษัทมาให้ข้อมูล ทั้งตัวบอส ดารา แต่ในระหว่างการสอบสวนได้มีการจับกุม และขณะนี้กลายเป็นผู้ต้องหาไปแล้ว ฉะนั้นเป็นขั้นตอนที่ สคบ.ต้องเข้าไปร่วมงานกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อสอบสวนข้อมูลนำมาประกอบการพิจารณาในการเพิกถอนใบอนุญาตต่อไป
"การพิจารณาเพิกถอนใบอนุญาตอาจไม่ทันภายในสัปดาห์นี้ เพราะทุกอย่างมีขั้นตอนตามกฎหมายที่เราต้องทำอย่างรอบคอบ ซึ่งการดำเนินการครั้งนี้เราไม่ได้มีธงที่จะกลั่นแกล้งใคร แต่เราต้องการที่จะทำตามข้อมูลข้อเท็จจริงตามหลักฐานเพื่อให้ได้รับความยุติธรรมกับทุกฝ่าย" น.ส.จิราพรกล่าว
ซักถึงนักการเมืองที่ถูกระบุในคลิปเสียง เรามีสิทธิ์ที่จะเรียกมาชี้แจงหรือไม่ น.ส.จิราพรกล่าวว่า คณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมาตรวจสอบมีสิทธิ์เชิญมาชี้แจงได้ทั้งหมด
เมื่อถามว่า นักการเมืองจะสามารถสั่งการ สคบ.ได้หรือไม่ น.ส.จิราพรกล่าวว่า เรื่องนี้ต้องรอดูข้อเท็จจริง เพราะคณะกรรมการชุดนี้มีการตั้งขึ้นมาเพื่อหาข้อเท็จจริงในส่วนนี้ให้เกิดความกระจ่าง
ขณะที่ พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะหัวหน้าชุดคดีบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ปฯ กล่าวถึงการออกหมายจับผู้ต้องหาเกี่ยวข้องดิไอคอนกรุ๊ปล็อต 2 ว่า ยังไม่มีการออกหมายจับ เพราะตอนนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาพยานหลักฐาน และยังตอบไม่ได้ว่าจะออกหมายจับเร็วๆ นี้หรือไม่ เนื่องจากพยานหลักฐานยังต้องวิเคราะห์ให้แน่นหนา ส่วนแนวโน้มจะเป็นกลุ่มไหนที่จะถูกออกหมายจับนั้น ต้องดูพยานหลักฐานว่าไปถึงใคร แต่ในขณะนี้ยังไม่ไปถึงกลุ่มดาราที่จะถูกดำเนินคดีเพิ่มเติม
ถามว่า กลุ่มแม่ข่ายจะโดนด้วยหรือไม่ พล.ต.ท.อัคราเดชกล่าวว่า อยู่ระหว่างการวิเคราะห์คำให้การของแม่ข่าย ซึ่งยังไม่ขอสรุปว่าจะโดนด้วยหรือไม่ จะต้องวิเคราะห์คำให้การว่าเป็นผู้เสียหายที่แท้จริงหรือพยายามเปลี่ยนค่าตัวเอง อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่จะถูกออกหมายจับในล็อตต่อไปก็จะถูกดำเนินคดีในข้อหาใกล้เคียงกันกับกลุ่มแรก
ซักว่า ภรรยาของนายกันต์ กันตถาวร หรือบอสกันต์ 1 ใน 18 ผู้ต้องหา จะเข้าข่ายชักชวนด้วยหรือไม่ พล.ต.ท.อัคราเดชบอกว่า หากพยานหลักฐานไปถึงใครก็ดำเนินคดีโดยไม่ละเว้น
ทนายบอสโวยตร.ทำเกินกม.
"เรื่องการแจ้งข้อหาฟอกเงินกับ 18 ผู้ต้องหาในกลุ่มแรกเพิ่มเติมนั้น ขณะนี้ยังต้องดูพยานหลักฐานที่รวบรวมอยู่มีความพร้อมมากน้อยแค่ไหน หลักฐานชัดแค่ไหน เพราะถือว่าเป็นความผิดมูลฐานที่ต่อเนื่องกันอยู่แล้วในฐานฉ้อโกงประชาชน" พล.ต.ท.อัคราเดชกล่าว
ผู้ช่วย ผบ.ตร.กล่าวว่า ในส่วนการตรวจสอบทรัพย์สินกลุ่มผู้ต้องหายังเดินหน้าตรวจสอบต่อเนื่อง และได้มีการประสาน ปปง. รวมถึงชุดสืบสวนไปตรวจว่ามีทรัพย์สินส่วนไหนที่จะต้องเข้าตรวจยึดก่อนที่จะมีการยักย้ายถ่ายเท โดยมูลค่าตอนนี้ที่ตรวจยึดมารวมหลายร้อยล้านบาทแล้ว
ที่ สน.พหลโยธิน นายวิฑูรย์ เก่งงาม ทนายความของนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือบอสพอล พาพนักงานบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด เข้าลงบันทึกประจำวันกับพนักงานสอบสวน หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) เข้าตรวจค้น 11 จุดที่เกี่ยวข้องกับดิไอคอน พร้อมยึดของกลางและเชิญตัวพนักงาน 10 คน มาสอบปากคำนานถึง 8 ชม. และมีการยึดโทรศัพท์มือถือของพนักงานทั้งหมด
นายวิฑูรย์กล่าวว่า จากที่ตำรวจตรวจค้น 11 จุดของบริษัท ตนไม่ได้ติดใจ เพราะเจ้าหน้าที่ปฏิบัติถูกต้อง มีหมายค้นชัดเจน แต่ติดใจตรงที่ทางตำรวจนำพนักงานของบริษัท 10 คนไปสอบปากคำ มีทั้งเลขาฯ ของบอสพอล น้องสาวบอสพอล เลขาฯ บอสปัน และพนักงานคนอื่นๆ ซึ่งสอบถามแต่ละคนต่างโดนยึดมือถือ มีการเซ็นยินยอม เพราะถ้าไม่เซ็นจะไม่ได้กลับบ้าน เปรียบเสมือนการบังคับแบบกลายๆ และอีกอย่างมีการคุมตัวนานตั้งแต่ 12.00-20.00 น. ตนมองว่านานเกินไป
"เชิญไปในฐานะพยาน ไม่ใช่ผู้ต้องหา และในการเชิญตัวไปเป็นการเชิญแบบไม่มีหมาย ทางตำรวจได้มีการเขียนหมายตอนนั้น พอเชิญตัวมาถึงสอบสวนกลางก็ได้มีการเก็บโทรศัพท์โดยไม่ให้ติดต่อกับบุคคลภายนอก ถ้าจะติดต่อต้องเปิดสปีกเกอร์โฟน (ลำโพง) ซึ่งผมมองว่าเกินเส้นของกฎหมาย" นายวิฑูรย์กล่าว
ทนายความบอสพอลกล่าวว่า การมาที่ สน.พหลโยธิน เป็นเพียงการลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานเท่านั้น แต่ในอนาคตหากพนักงานบริษัท ดิไอคอนฯ จะดำเนินคดี จะได้ใช้เป็นหลักฐานชั้นศาลได้ โดยในวันที่ 25 ต.ค. ตนจะพาพนักงานไปร้องที่สำนักงานจเรตำรวจ ให้ช่วยตรวจสอบการทำงานของตำรวจที่มีการไปค้นว่าอยู่ในกรอบของกฎหมายหรือไม่ และถ้าเวลาเหลือตนจะพาพนักงานชุดเดิมไปร้องที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติด้วย ว่ามีการดำเนินการที่อยู่นอกกรอบของรัฐธรรมนูญหรือไม่
ถามถึงข่าวตำรวจเตรียมขอหมายจับล็อต 2 ทนายความบอสพอลกล่าวว่า อยากสื่อสารไปถึงสำนักงานศาลยุติธรรมให้ดูแล ถ้าตำรวจไปขอหมายจับให้พิจารณาว่ามีเหตุสมควรหรือไม่ เป็นห่วงสิทธิของทุกคน
ซักเรื่องที่ดีเอสไอไปยึดนาฬิกาของบอสพอลซึ่งเป็นของปลอมนั้น ทนายความบอสพอลกล่าวว่า ไม่รู้ว่าห้องที่เข้ายึดนั้นเป็นของใคร ปกติเวลาคุยกับบอสพอลจะคุยแค่เรื่องเนื้อคดีที่โดน คือฉ้อโกงประชาชน ไม่ได้คุยเรื่องอื่น
ทนายความบอสพอลกล่าวว่า ในวันที่ 24 ต.ค. ทางเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครอนุญาตให้ญาติเข้าเยี่ยมบอสพอลได้แล้ว แต่ตนติดภารกิจ คงจะฝากหนังสือมอบอำนาจให้ทีมทนายความเข้าไปให้บอสพอลเซ็นมอบอำนาจให้ตนเองมาดำเนินคดีกับนักร้อง ก. ในข้อหากรรโชกทรัพย์ มั่นใจมีหลักฐานที่จะเอาผิดได้ โดยมีคลิปเสียงขนาด 1.86 GB ส่งมอบให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปแล้ว
วันเดียวกัน นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เดินทางไปที่สำนักงานกฎหมาย Sittra law firm ของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชนชนฯ ก่อนจับมือหย่าศึกระหว่างกัน
ขู่แฉธุรกิจ สส.พท.หลอกลงทุน
นายษิทรากล่าวว่า รู้จักกับนายอัจฉริยะมาตั้งแต่ปลายปี 2560 เพราะเคยมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลช่วยเหลือคดีหวย 30 ล้านกัน แต่ช่วงหลังไม่เข้าใจกันเลยทำให้มีการแฉ จนเกิดเป็นคดีความกันขึ้น
นายอัจฉริยะเสริมว่า ถึงเวลาที่ตัวเองกับทนายตั้มต้องเลิกทะเลาะกัน เพราะขณะนี้ในวงข้าราชการมีเรื่องทุจริตคอร์รัปชันเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในวันนี้ตัดสินใจมาถ้ำเสือ ชวนทนายตั้มทำงานรับใช้พี่น้องประชาชน
ถามว่า ก่อนหน้านี้ออกมาโต้กันไปมาเรื่องของสองบิ๊กตำรวจ แต่ท้ายที่สุดกลับมาจับมือกัน นายอัจฉริยะบอกว่า ก็ไม่ต่างจากนายทักษิณ ชินวัตร กับนายเนวิน ชิดชอบ ที่เป็นคู่ขัดแย้งกันมานาน แต่ท้ายที่สุดก็จับมือกันได้ ซึ่งการจับมือครั้งนี้เพื่อรวมพลังออกมาแฉเปิดตัวละครสำคัญที่เป็นหัวใจของดิไอคอนกรุ๊ป รวมถึงจะแฉเรื่องนักร้องเรียนหญิงที่ตบทรัพย์บอสพอลว่าเรียกรับผลประโยชน์ใครอีกบ้าง เพราะที่ผ่านมาผมรู้จักกับคนนี้มาไม่ต่ำกว่า 6 ปี จึงรู้พฤติกรรมของบุคคลนี้เป็นอย่างดี
"ผมยังเตรียมจะแฉเปิดโปงธุรกิจเครือข่ายที่มีเจ้าของเป็น สส.พรรคเพื่อไทย และมีหุ้นส่วนเป็นคนมีชื่อเสียงในวงการบันเทิง ทั้งนางเอกดังช่องน้อยสี ชื่อย่อ ต. ดีเจ นักแสดง ชื่อย่อ มต. และ ตห. หลอกผู้เสียหายลงทุนหาเครือข่าย จูงใจผู้ร่วมลงทุนไปเที่ยวต่างประเทศ แจกทอง พาไปศัลยกรรม ไม่ต่างจากดิไอคอน และมีการใช้ผลิตภัณฑ์บังหน้าอ้างเป็นผลิตภัณฑ์นำเข้าจากเกาหลี แต่พบข้อมูลว่าผลิตผลิตที่ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ซึ่งล่าสุดก็ยังพบขายอยู่ตามท้องตลาด ซึ่งคาดว่าหากเปิดข้อมูลในวันนี้ไปแล้วไม่มาชี้แจงก็จะพาผู้เสียหายไปแจ้งความดำเนินคดีในวันที่ 4 พ.ย.นี้" นายอัจฉริยะกล่าว
เมื่อถามนายษิทราว่าการจับมือกับนายอัจฉริยะ ได้ปรึกษากลุ่มเพื่อนทนายด้วยกันหรือไม่ นายษิทรากล่าวว่า ได้ปรึกษาเพื่อนทนายคนอื่นๆ มีบางคนก็ไม่เห็นด้วย กังวลว่านายอัจฉริยะอาจจะกลับมาเล่นงานตัวเองทีหลัง จึงใช้โอกาสนี้ถามนายอัจฉริยะเพื่อความแน่ใจว่าในอนาคตจะกลับมาเล่นงานตัวเองหรือไม่
นายอัจฉริยะยืนยันทันทีว่าจบคือจบ หลังจากนี้จะไม่มีการโจมตีกันออกสื่อ จะเดินหน้าทำงานร่วมกัน ส่วนในอนาคตจะเป็นยังไงก็ต้องยอมรับสภาพตามกฎหมาย จากนั้นทางฝั่งทนายตั้มก็ได้ขอโทษที่เคยล่วงเกินนายอัจฉริยะเช่นเดียวกัน
จ.ขอนแก่น พระราชพัฒนวัชรบัณฑิต รองเจ้าคณะจังหวัดขอนแก่น เจ้าอาวาสวัดธาตุ พระอารามหลวง ชี้แจงกรณีมีเพจดังโพสต์ภาพสลิปการโอนเงินที่มีชื่อผู้โอนเป็นบอสพอล และเป็นเงินทำบุญโดยโอนเข้าบัญชีส่วนตัวของพระสงฆ์ ระบุชื่อว่า พระอุดร บุญชูหล้า ทำบุญวัดสว่างน้ำใส ว่ากรณีดังกล่าวทราบจากทางเลขาฯ เจ้าคณะจังหวัด แต่ไม่ทราบว่าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับทางบอสพอลอย่างไร และได้รับเงินมาอย่างไร แต่ส่วนตัวเห็นว่าพระมหาอุดรสร้างเจดีย์ใหญ่โต และพัฒนาวัดกว่าร้อยไร่ที่บ้านเกิด อ.โนนศิลา ซึ่งเป็นผลจากการที่มีญาติโยมศรัทธาร่วมทำบุญกับพระมหาอุดร แต่ก็ไม่ทราบว่าได้เงินมาอย่างไร แต่ที่เห็นมีพระเจดีย์ที่ใหญ่มาก ญาติโยมถวายที่เป็นร้อยไร่ ซื้อขายกันแบบกัลยาณมิตร
"พระผู้ใหญ่ได้มีการไปตรวจ หลังถูกส่งเป็นวัดตามโครงการวัดประชารัฐสร้างสุข เป็นพื้นที่รมณียสถาน ที่อบรมคุณธรรม จริยธรรม มีทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ วัยรุ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้านไปเข้าอบรม ทั้งภาคีเครือข่ายก็มาอบรมเช่นกัน และยังเป็นพื้นที่ที่ออกแบบวัดได้สวยงาม รวมทั้งยังเป็นแหล่งน้ำ เป็นเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเงินได้มาอย่างไรนั้นไม่ทราบ แต่ผลลัพธ์ที่ทำแล้วเป็นคุณูปการต่อพระพุทธศาสนา" พระราชพัฒนวัชรบัณฑิตกล่าว
ถามว่า การโอนเงินเข้าบัญชีพระส่วนตัวทำได้หรือไม่ รองเจ้าคณะจังหวัดขอนแก่นกล่าวว่า การโอนเงินเข้าบัญชีส่วนตัวพระเป็นเจตนาของผู้รับมาดำเนินการ เช่น หากญาติโยมถวายเงินพระอาจารย์ ก. ญาติโยมอาจจะบอกว่าไม่เป็นไรพระอาจารย์ ญาติโยมไม่ได้คิดอะไรมาก ทำบุญแล้วก็แล้วไป แต่ขอให้ 1-2-3 สำเร็จก็แล้วกัน และขอให้ตรวจสอบได้ว่า ถ้าสร้าง 1-2-3 แล้ว 1-2-3 เสร็จหรือไม่ ซึ่งญาติโยมที่ศรัทธาก็จบแล้ว เพราะบรรลุวัตถุประสงค์การทำบุญ ซึ่งไม่ถือว่ามีความผิดอะไร ยกเว้นว่ารับเงินทำบุญมาแล้วไม่ได้ทำอะไรต่อ แบบนั้นถือว่าทำเพื่อตัวเอง
"กรณีของพระมหาอุดรนั้น ดูผลลัพธ์แล้วท่านทำเพื่อทุกคนชาวพุทธ เพราะไม่ใช่วัดที่พระมหาอุดรสังกัด สิ่งที่สร้างก็ไม่ใช่ของพระมหาอุดร เป็นสมบัติชาวพุทธทุกคน เพราะฉะนั้นเรื่องดังกล่าวจึงอยู่ที่คนศรัทธาและทำบุญให้กับพระมหาอุดรไป ต้องมองว่าพระมหาอุดรได้เงินไปแล้วทำตามวัตถุประสงค์ที่ญาติโยมต้องการหรือเปล่า ถ้าทำตามนั้นเราทุกคนก็ควรที่จะอนุโมทนาด้วย" รองเจ้าคณะจังหวัดขอนแก่นกล่าว.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
คลังเร่งดันจีดีพี ปล่อยเช่าที่99ปี ธปท.ชี้หนุนศก.
นายกฯ สวมชุดผ้าไหมแม่ มอบรางวัลสุดยอดซีอีโอ ลั่นสื่อ-รัฐบาลเป้าหมายเดียวกัน
สภาฉลุย‘กม.ห้ามตีเด็ก’ ขนส่งทางรางยึดร่างรบ.
สภาผ่านฉลุย “กม.ห้ามตีเด็ก” “ณัฐวุฒิ” ชี้แม้ไม่มีคำว่า “ไม่เป็นการเฆี่ยนตี”
บี้นายกฯส่งตากใบศาลโลก
"อนุทิน" เชื่อปมสอบ "ปลัดอำเภอท่าอุเทน" ใช้เวลาไม่นาน วอนอย่าเอาสะใจ
รัฐบาลฉุนจุดไฟเกาะกูด
นายกฯ อิ๊งค์ป่วย เลื่อนภารกิจระนาว ขณะที่ "บิ๊กอ้วน" ควันออกหู
พท.เต้น!เทวดาบอส ท้าพปชร.เปิดหลักฐาน‘รมว.ยธ.’สั่งDSIเรียกสอบ
"เพื่อไทย" ดาหน้าโต้ "พลังประชารัฐ" พาดพิงคน พท.เอี่ยวดิไอคอนกรุ๊ป "ภูมิธรรม" ท้าเปิดหลักฐานใครเทวดา
ปลุกเที่ยวเหนือ สั่งเยียวยาเพิ่ม ฟื้นพื้นที่น้ำท่วม
นายกฯ อิ๊งค์แต่งตัวรับลมหนาว ฟุ้งไทยแม้หนาวไม่มากแต่มีกิจกรรมให้ทำยาวทุกจังหวัดตั้งแต่ พ.ย.ปีนี้ถึง ม.ค.ปีหน้า