จ่อชงครม.เคาะกม.กาสิโน

“จุลพันธ์” ฟุ้งปิดจ๊อบปั้น "เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์" เตรียมเข็นกฎหมายเข้า ครม.ปีนี้ กางตัวเลขหนุนเศรษฐกิจกระหึ่ม เพิ่มจ้างงาน-ดันตัวเลขนักท่องเที่ยวกระฉูด เมินพรรคร่วมฯ    ไม่เห็นด้วย โยนสภาตัดสิน แจงงบอัปเกรด "แอ่วเหนือคนละครึ่ง" ไม่ถึง 2.4 หมื่นล้าน ยันรัฐบาลมีแหล่งเงินพอ ปัดดึงงบแจกหมื่นเฟส 2 มาใช้

เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์  รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับการพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร (เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์) ซึ่งก่อนหน้านี้ คณะรัฐมนตรี (ครม.)  ได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังไปเร่งพิจารณาในรายละเอียดเรื่องข้อกฎหมายและส่วนงานอื่นๆ  ที่เกี่ยวข้องว่า ได้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยขั้นตอนต่อไปจะเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบ  ก่อนจะเสนอให้ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป

ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้เร่งดำเนินการเกี่ยวกับขั้นตอนข้อกฎหมายเพื่อให้มีความถูกต้อง ครบถ้วน และสมบูรณ์ที่สุดเท่านั้น โดยยังไม่ได้มีการกำหนดสเปกของโครงการ เช่น พื้นที่ วงเงินลงทุนแต่อย่างใด เพราะรายละเอียดเหล่านี้สามารถปรับแก้ได้ในชั้นของสภาซึ่งมีอำนาจที่จะปรับแก้ไขกฎหมายให้มีความเหมาะสมที่สุด โดยวัตถุประสงค์หลักๆ ของเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์คือ การสร้างแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามา ซึ่งจะสามารถสร้างการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ได้ แบ่งเป็น 2 ช่วงคือ ช่วงการก่อสร้างโครงการ ซึ่งจะทำให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นราว 14,000-20,000 ตำแหน่ง และช่วงของการลงทุนที่เชื่อว่าตัวเลขจีดีพีจะขยับสูงขึ้น เนื่องจากเม็ดเงินลงทุนค่อนข้างสูง

หลังจากเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์เปิดให้บริการแล้ว จะช่วยสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวต่อหัวเพิ่มขึ้นเป็นราว 60,000 บาท จาก 40,000 บาท และช่วยเพิ่มปริมาณนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างมีนัยสำคัญประมาณ 5-20% รวมถึงช่วยสร้างรายได้จากการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นด้วย โดยในส่วนนี้มีประเด็นที่จะต้องมาดูว่ารัฐบาลจะทำอย่างไร จะเขียนกฎหมายอย่างไรให้มีความรัดกุมว่าการจ้างงานจะต้องเป็นภายในประเทศมากที่สุด ซึ่งรายละเอียดทั้งหมดผ่านการศึกษาอย่างละเอียดของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เรียบร้อยแล้ว ถือเป็นตัวเลขที่มีประโยชน์ และคาดว่าจะได้เห็นความชัดเจนทั้งหมดหลังจาก ครม.พิจารณา

 “เบื้องต้นคาดว่าจะสามารถเสนอให้ ครม.พิจารณาได้ภายในปีนี้ โดยต้องยอมรับว่าแม้โครงการนี้ถือเป็นนโยบายที่รัฐบาลจะทำ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องเร่งทำวันนี้หรือพรุ่งนี้ แต่จะต้องดูจังหวะเวลาที่เหมาะสม และมองว่ารัฐบาลยังมีภารกิจสำคัญอื่นๆ ที่จะต้องเร่งดำเนินการก่อน” นายจุลพันธ์ระบุ

สำหรับกรณีที่มีพรรคร่วมฯ บางส่วนออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับโครงการดังกล่าวนั้น รมช.การคลังกล่าวว่า ความเห็นแตกต่างถือเป็นเรื่องปกติ แต่ท้ายที่สุดแล้วอำนาจในการพิจารณา ปรับปรุง แก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นของสภา ซึ่งจะต้องมีการดำเนินการให้รัดกุมเพื่อให้โครงการเดินหน้าต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด

ส่วนข้อสังเกตและข้อเสนอต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการประชาพิจารณ์โครงการนั้น ยืนยันว่ารัฐบาลพร้อมรับข้อสังเกตและความคิดเห็นต่างๆ เพื่อที่จะปรับปรุงแก้ไขกฎหมายให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์มากที่สุด ทั้งข้อคิดเห็นที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย โดยเมื่อเข้าสู่กระบวนการขั้นตอนของสภาแล้ว จะได้มีการหารือกันในรายละเอียดต่อไป

นายจุลพันธ์กล่าวว่า ในส่วนของเอกชนที่แสดงความสนใจลงทุนโครงการเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ถือเป็นเรื่องที่ดี และสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในการลงทุน แต่ยืนยันว่าส่วนตัวที่เป็นคนทำกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไม่เคยเจอ ไม่เคยคุย ไม่เคยหารือ และไม่รู้ว่ามีเอกชนรายใดบ้างที่แสดงความสนใจ โดยสิ่งสุดท้ายเมื่อกฎหมายมีผลบังคับในที่สุด เอกชนที่แสดงความสนใจเหล่านั้นต้องเข้าสู่กระบวนการประมูลตามกฎระเบียบของรัฐทั้งหมด ไม่มีอะไรซับซ้อน หากใครประมูลได้คนนั้นได้ลงทุน ยืนยันว่ารัฐบาลไม่มีปิดกั้นแน่นอน

อย่างไรก็ดี รายละเอียดของโครงการลงทุนทั้งหมด ตามขั้นตอนแล้วจะมีคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อรับผิดชอบในการกำหนดสเปกของโครงการว่าจะมีอะไรประกอบอยู่ในเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ เพื่อที่จะเกิดประโยชน์มากที่สุด เช่น ควรจะมีสวนสนุกหรือสนามกีฬาด้วยหรือไม่ ขณะเดียวกันเอกชนที่จะเข้าร่วมประมูลโครงการที่จะต้องเข้ามาอย่างเปิดเผย โปร่งใส คุณสมบัติต้องผ่านเกณฑ์ สามารถเสนอเพิ่มเติมให้รัฐได้ เช่น อาจจะมีโรงละคร เป็นต้น ซึ่งรัฐบาลพร้อมพิจารณาตามความเหมาะสม ส่วนสนามม้าและสนามกอล์ฟสามารถจัดเป็นเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ เพราะถือว่าอยู่ในกลุ่มอื่นๆ แต่ท้ายที่สุดแล้วคณะกรรมการที่รับผิดชอบจะเป็นผู้กำหนดชัดเจนอีกครั้ง

รมช.การคลังยังกล่าวถึงความคืบหน้าการขยายสิทธิ์โครงการกระตุ้นการท่องเที่ยว (แอ่วเหนือคนละครึ่ง) ว่า ขณะนี้รอกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กำหนดรูปแบบว่าจะเป็นอย่างไร ใช้งบประมาณเท่าไหร่ ก่อนที่จะมาพูดคุยกัน ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการพูดคุยกรอบงบประมาณคร่าวๆ

เมื่อถามถึงตัวเลขที่มีการพูดคุยกันก่อนหน้านี้ ซึ่งใช้งบประมาณราว 2.4 หมื่นล้านบาท นายจุลพันธ์กล่าวว่า โครงการดังกล่าวที่พูดคุยกันมีถึง 5 เฟส และหลายตอน ไม่ใช่การกระตุ้นเศรษฐกิจในครั้งเดียว ดังนั้นยังไม่ใช่ตัวเลขนี้ และส่วนตัวคิดว่าไม่น่าจะถึงยอดดังกล่าว เพราะการวางงบประมาณครั้งแรกเป็นการกระตุ้นถึง 5 รอบ ยืนยันว่ายังไม่มีข้อสรุปในเรื่องแหล่งเงิน แต่ช่องทางของรัฐบาลมีค่อนข้างมาก และจะต้องดูถึงเม็ดเงินว่าจะต้องใช้จำนวนมากน้อยแค่ไหน ซึ่งหากใช้ในระดับที่มีความจำเป็นอาจจะมีหลายช่องทาง เช่น งบประมาณปกติ งบกลาง หากใช้น้อยอาจจะใช้งบของกระทรวงการคลังในการบริหารจัดการ แต่ต้องดูในรายละเอียดอีกครั้ง

ส่วนกรณีมีการวิพากษ์วิจารณ์ที่จะนำเงิน 1.8 แสนล้านบาท ที่เตรียมใช้ในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ (ดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท) เฟสต่อไปมาใช้นั้น รมช.การคลังกล่าวว่า ยังไม่ได้มีข้อสรุป เป็นการพูดกันเอง ยืนยันว่าไม่กระทบโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เพราะต้องเดินหน้าทั้ง 2 โครงการ อย่างไรก็ตาม แหล่งเงินมีหลายทางเลือกอยู่แล้ว

ทางด้านนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงผลสำรวจความคิดเห็นของนอร์ทกรุงเทพโพล มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ ซึ่งสำรวจประชาชนถึงความพึงพอใจต่อการบริหารจัดการท่องเที่ยวของรัฐบาลชุดปัจจุบันเพียงใด พบว่า ประชาชนร้อยละ 61.2 พอใจต่อการบริหารจัดการการท่องเที่ยว และประชาชนร้อยละ 55.7 เชื่อมั่นว่ารัฐบาลบริหารจัดการท่องเที่ยวไทยดีขึ้นกว่าในปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการบริหารงานของรัฐบาล ภายใต้การนำของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีนั้นว่า 

ในปี 2568 รัฐบาลตั้งเป้าหมายที่จะสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวให้เพิ่มขึ้น 7.5% และตั้งเป้าหมายรวมไว้ที่ 3.4 ล้านล้านบาท พร้อมคาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 40 ล้านคน ซึ่งจะมีการเดินทางภายในประเทศมากกว่า 205 ล้านครั้ง ทั้งในแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับโลก และสถานที่อันน่าค้นหา โดยเป้าหมายเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลข แต่เป็นตัวแทนของความทุ่มเทอย่างต่อเนื่องของรัฐบาลในการทำให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางระดับโลก ที่มีชื่อเสียงในด้านมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่า ความงดงามทางธรรมชาติ และการต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างอบอุ่น

 “นายกฯ ผลักดันการทำงานของรัฐบาลด้านการท่องเที่ยวมาต่อเนื่อง ซึ่งผลสำรวจความคิดเห็นถือเป็นกำลังใจและเป็นแรงผลักดันที่สำคัญ ให้รัฐบาลเดินหน้าทำงานยกระดับการท่องเที่ยวของไทยให้เป็นเป้าหมายสำคัญของนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยว เพื่อสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวให้เพิ่มขึ้น”  โฆษกประจำสำนักนายกฯ ระบุ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง