รุกฆาตพท.-ทักษิณ งัด6พฤติการณ์ชงศาลรธน. เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง

"ธีรยุทธ" หอบเอกสาร 5,080 แผ่น ร้องศาล รธน. "ทักษิณ-เพื่อไทย" เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง ชี้ 6 พฤติการณ์ "ครอบงำพรรค-ฝ่าฝืนรับโทษในคุกตามพระบรมราชโองการ" ขอสั่งเลิก 8 การกระทำเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันฯ "ไพบูลย์" ปัด พปชร.อยู่เบื้องหลัง มั่นใจข้อมูลธีรยุทธมีน้ำหนัก แย้มมีพยานเด็ดทั้งบ้านจันทร์ส่องหล้า-ชั้น 14 "ประเสริฐ" เสียงแข็งพรรคไม่กังวล "เด็จพี่" ขู่แฉ "ธีรยุทธ" รับจ้างใคร   "อนุทิน-เท้ง" ของดวิจารณ์

มีความเคลื่อนไหวภายหลังจากที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ  (พปชร.) ออกมาระบุช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาว่า ในเวลา 07.00 น.ของวันที่ 10 ตุลาคม 2567 จะเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบพรรคแกนนำรัฐบาลนั้น

เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2567 เวลา 10.30 น. นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร อดีตทนายความพระพุทธะอิสระ เดินทางมาที่ศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมนำคำร้องรวม 65 หน้า เอกสารประกอบคำร้องอีก 443 แผ่น รวมคำร้อง เอกสารประกอบชุดละ 508 แผ่น ทำสำเนารวม 10 ชุด รวมเป็นเอกสาร 5,080 แผ่น ยื่นร้องขอศาลรัฐธรรมนูญโปรดวินิจฉัยสั่งการให้นายทักษิณ ชินวัตร ผู้ถูกร้องที่ 1  และพรรคเพื่อไทย ผู้ถูกร้องที่ 2 เลิกการกระทำที่เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพอันจะนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49

นายธีรยุทธกล่าวว่า เมื่อวันที่ 24 ก.ย.2567  ตนได้ใช้สิทธิยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุด แต่เมื่อครบกำหนด 15 วันแล้ว คือวันที่ 9 ต.ค.2567 อัยการสูงสุดไม่ได้ดำเนินการส่งคำร้องมาให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตนจึงใช้สิทธิในฐานะประชาชนมายื่นคำร้องตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญในวันนี้ โดยพฤติกรรมและพฤติการณ์ของนายทักษิณ และพรรคเพื่อไทย เข้าข่ายฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญใน 2 ลักษณะ

ลักษณะแรก ผู้ถูกร้องทั้งสองมีพฤติการณ์การกระทำที่เป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายพระเกียรติยศของสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นการทำให้สถาบันฯ สูญเสียสถานะที่จะต้องอยู่เหนือการเมืองหรือดำรงความเป็นกลางทางการเมือง  ย่อมเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันฯ  เป็นเหตุให้ชำรุด ทรุดโทรม เสื่อมทราม หรืออ่อนแอลง

ลักษณะที่สอง ถูกร้องทั้งสองมีการกระทำอันมีเจตนาเซาะกร่อนบ่อนทำลายระบบพรรคการเมืองที่เป็นสถาบันทางการเมืองที่มีความสำคัญของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ให้ชำรุด ทรุดโทรม เสื่อมทราม หรืออ่อนแอลง

สำหรับ 6 พฤติการณ์ที่ปรากฏในคำร้องคดีดังกล่าวมี ดังนี้ 1.นายทักษิณได้รับพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณให้อภัยลดโทษ ให้นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณเหลือโทษจำคุกต่อไป 1  ปี โดยพบว่านายทักษิณใช้พรรคเพื่อไทยเป็นเครื่องมือควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน สั่งการผ่านกระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ โรงพยาบาลตำรวจ ให้เอื้อประโยชน์แก่นายทักษิณ ระหว่างต้องโทษจำคุก ได้พักอาศัยอยู่ที่ห้องพักชั้นที่ 14 โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อไม่ต้องรับโทษในเรือนจำแม้แต่วันเดียว โดยเป็นการฝ่าฝืนการรับโทษในเรือนจำตามพระบรมราชโองการ การกระทำของนายทักษิณ จึงเป็นการกระทำที่ไม่บังควรอย่างยิ่ง อันอาจเป็นการกระทำที่ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท และเป็นการกระทำที่อาจเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ส่งผลให้เกิดการเซาะกร่อนบ่อนทำลายพระเกียรติยศของสถาบันฯ ในที่สุดได้

ชี้ 6 พฤติการณ์ 'ทักษิณ-พท.'

อีกทั้งปรากฏหลักฐานจากการให้สัมภาษณ์ของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ว่าได้ไปพบนายทักษิณที่โรงพยาบาลตำรวจ ชั้น 14 โดยนายทักษิณไม่ได้เป็นผู้ป่วยวิกฤตแต่อย่างใด ปรากฏตามคลิปและคำถอดคลิปรายการคลุกวงในอินไซด์ข่าว เรื่องคดีชั้น 14 ไม่มีคำว่า "คุก" แผนเผ่น พร้อม! เมื่อวันที่ 26 ก.ย.2567

2.นายทักษิณมีพฤติกรรมฝักใฝ่ร่วมคิดกับสมเด็จฮุน เซน อดีตผู้นำทางการเมืองประเทศกัมพูชา ซึ่งมีระบอบการปกครองที่ฝ่ายการเมืองมีอำนาจเหนือสถาบันฯ และนายทักษิณมีพฤติการณ์เป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง ผู้ครอบงำ และเป็นผู้สั่งการให้พรรคเพื่อไทยเป็นเครื่องมือการบริหารราชการแผ่นดิน สั่งการรัฐบาลให้เอื้อประโยชน์กับผู้นำกัมพูชา กรณีอาจละเมิดอธิปไตยทางทะเลของไทย โดยให้มีการเจรจาพื้นที่ทางทะเลที่ฝ่ายกัมพูชา อ้างว่าเป็นเขตพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ( MOU ปี 2544) เพื่อแบ่งผลประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติและก๊าซในทะเล  ซึ่งเป็นอธิปไตยทางทะเลของไทยให้แก่กัมพูชา  ด้วยปรากฏหลักฐานว่า เมื่อวันที่ 21 ก.พ.2567 สมเด็จฮุน เซน พร้อมคณะได้เดินทางไปพบนายทักษิณ และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า โดยสมเด็จฮุน เซน ได้โพสต์เฟซบุ๊กเผยภาพถ่ายคู่กับนายทักษิณ อีกทั้งสมเด็จฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีของกัมพูชาและทายาทสมเด็จฮุน เซน เดินทางมาเยือนประเทศไทยในฐานะแขกรัฐบาลเมื่อวันที่ 7 ก.พ.2561 โดยได้มีการเจรจากับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น พร้อมลงนาม MOU 5 ฉบับ เช่น การเจรจาเรื่องพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ความเป็นไปได้ที่เรื่องก๊าซธรรมชาติและทรัพยากรใต้ทะเลจะถูกนำไปต่อยอดใช้ประโยชน์ในทางธุรกิจ

3.นายทักษิณสั่งการให้พรรคเพื่อไทย ร่วมมือเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญกับพรรคประชาชน ซึ่งเป็นพรรคที่ก่อตั้งโดยกลุ่มการเมืองที่เป็นพรรคก้าวไกลเดิม ซึ่งมีพฤติการณ์ล้มล้างการปกครองฯ  ตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ และนายทักษิณมีพฤติการณ์เป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง ผู้ครอบงำ และเป็นผู้สั่งการให้พรรคเพื่อไทยเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อเอื้อประโยชน์แก่นายทักษิณและพรรคพวก

4.นายทักษิณมีพฤติการณ์เป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง ผู้ครอบงำ และเป็นผู้สั่งการให้พรรคเพื่อไทย ในการเจรจากับแกนนำของพรรคการเมืองอื่นที่ร่วมรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ เพื่อหารือเสนอบุคคลที่สมควรเป็นนายกฯ คนใหม่ เมื่อ 14 ส.ค.2567 โดยปรากฏข้อเท็จจริงและเผด็จการของนายทักษิณ ที่สาธารณชนต่างรู้กันโดยทั่วไปว่า นายทักษิณมีพฤติกรรมเป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง และเป็นผู้สั่งการแทนพรรคเพื่อไทยในการเจรจากับแกนนำของพรรคการเมืองอื่นที่ร่วมรัฐบาลนายเศรษฐา  เพื่อหารือการเสนอบุคคลผู้สมควรเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ตามปรากฏภาพข่าวเรื่องแกนนำรัฐบาลทยอยออกจากบ้านจันทร์ส่องหล้า

5.นายทักษิณมีพฤติการณ์เป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง ผู้ครอบงำ และเป็นผู้สั่งการให้พรรคเพื่อไทย มีมติขับพรรคพลังประชารัฐออกจากพรรคร่วมรัฐบาล และเทียบเชิญพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาล โดยให้พรรคเพื่อไทยยินยอมกระทำการตามที่นายทักษิณสั่งการ

6.นายทักษิณมีพฤติการณ์เป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง ผู้ครอบงำ และเป็นผู้สั่งการให้พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นพรรคแกนนำรัฐบาล ให้นำนโยบายของนายทักษิณ ซึ่งแสดงวิสัยทัศน์ไว้เมื่อ 22 ส.ค.2567 ไปดำเนินการให้เป็นนโยบายคณะรัฐมนตรีที่แถลงต่อรัฐสภาเมื่อ 12 ก.ย.2567

คำร้องสรุปว่า  6 พฤติการณ์ดังกล่าว เห็นว่า เป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ชำรุดทรุดโทรม เสื่อมทราม หรืออ่อนแอลง ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญได้เคยมีคำวินิจฉัยเป็นบรรทัดฐานไว้ในหลายคำวินิจฉัย  

อาทิ คำวินิจฉัยสั่งให้พรรคก้าวไกลยุติการกระทำและยุบพรรคก้าวไกล

ขอศาลฯ สั่งเลิก 8 การกระทำ

นอกจากนี้ ในท้ายคำร้องของนายธีรยุทธ ได้ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการตามมาตรา 49 วรรคสอง ใน 8 ประเด็น ประกอบด้วย 1.ให้นายทักษิณเลิกกระทำการใช้พรรคเพื่อไทยเป็นเครื่องมือกระทำการอันเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายพระเกียรติยศของสถาบันพระมหากษัตริย์ 2.ให้ผู้ถูกร้องที่ 1 เลิกกระทำการเป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง ผู้ครอบงำ และเป็นผู้สั่งการการดำเนินงานของพรรคผู้ถูกร้องที่ 2 3.ให้ผู้ถูกร้องที่ 1 เลิกใช้พรรคผู้ถูกร้องที่ 2 เป็นเครื่องมือควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน สั่งการรัฐบาลให้ดำเนินการตามความต้องการของผู้ถูกร้องที่ 1              4.ให้ผู้ถูกร้องที่ 1 เลิกกระทำการใช้พรรคผู้ถูกร้องที่ 2 เป็นเครื่องมือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการที่มิได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ 5.ให้พรรคเพื่อไทย ผู้ถูกร้องที่ 2 เลิกยินยอมให้ผู้ถูกร้องที่ 1 ใช้เป็นเครื่องมือกระทำการอันเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายพระเกียรติยศของสถาบันพระมหากษัตริย์ 6.ให้ผู้ถูกร้องที่ 2 เลิกยินยอมให้ผู้ถูกร้องที่ 1 ใช้เป็นเครื่องมือกระทำการเป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง ผู้ครอบงำ และเป็นผู้สั่งการ การดำเนินงานของพรรคผู้ถูกร้องที่ 2

7.ให้ผู้ถูกร้องที่ 2 เลิกยินยอมให้ผู้ถูกร้องที่ 1 ใช้พรรคผู้ถูกร้องที่ 2 เป็นเครื่องมือควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน สั่งการรัฐบาลให้ดำเนินการตามความต้องการของผู้ถูกร้องที่ 1 และ 8.ให้ผู้ถูกร้องที่ 2 เลิกยินยอมให้ผู้ถูกร้องที่ 1 ใช้เป็นเครื่องมือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการที่มิได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้

ถามว่า การมายื่นคำร้องครั้งนี้มีใครอยู่เบื้องหลังหรือไม่ นายธีรยุทธยืนยันว่า การยื่นคำร้องในครั้งนี้ไม่ได้มีใครสั่งการ หรือรับงานใครมา แม้กระทั่ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค พปชร. ตนก็ไม่เคยรู้จักหรือพบหน้ากันมาก่อน แต่เกิดจากการที่ได้ศึกษาคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ข้อกฎหมาย และมองเห็นถึงปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งยอมรับว่าได้มีการไปขอคำปรึกษาจากนายไพบูลย์ว่าสิ่งที่ตนคิดมันเป็นไปได้หรือไม่ โดยเฉพาะจากที่เห็นการยุบไทรักธรรมและพรรคก้าวไกล นายไพบูลย์ก็มองว่าเป็นไปได้ รวมถึงได้ปรึกษานักกฎหมายคนอื่นๆ ซึ่งไม่ขอเปิดเผยชื่อ ก่อนที่จะยกร่างคำร้องนี้ ซึ่งใช้เวลาในการรวบรวมข้อมูล 2-3 เดือน ในขณะนี้ก็ยังไม่ได้หวังผลไปถึงขั้นยุบพรรค เพียงแต่คาดหวังให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งการให้นายทักษิณและพรรคเพื่อไทยยุติการกระทำ

ถามถึงเรื่องชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ นายธีรยุทธกล่าวว่า กรณีเรื่องชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ตนยึดรายงานการสอบสวนของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เป็นหลัก และได้เตรียมพยานบุคคล 3-4 คน ซึ่งมีชื่อตามรายงานดังกล่าวมาให้ศาลเรียกพิจารณาเรียกตัวมาไต่สวน เพราะถือว่าเป็นพยานบริสุทธิ์ เมื่อเทียบกับคลิปเสียงหรือรูปภาพที่มีการเผยแพร่มาก่อนหน้านี้ เพราะถ้านำเข้ามาประกอบสำนวน หากไม่ได้รับการยินยอมก็อาจผิดกฎหมาย

ซักถึงพยานบุคคลจะรวมไปถึง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทยด้วยหรือไม่ เพราะเป็นผู้ออกมาเปิดเผยว่าเข้าพบนายทักษิณ นายธีรยุทธกล่าวว่า มิอาจก้าวล่วงศาล ศาล เห็นอยู่แล้วว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ออกมาดำเนินการอย่างไร ตนก็จะยึดตามรายงานของ  กสม.เป็นหลัก

ทั้งนี้ นายธีรยุทธคือบุคคลที่ร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล เลิกการแสดงความเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น เพื่อให้ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และร้องให้ยุบพรรคก้าวไกล  รวมถึงยื่นต่อ ป.ป.ช.ให้ดำเนินการเอาผิดจริยธรรมร้ายแรงต่อนายพิธา และ 44 สส.พรรคก้าวไกล

ไพบูลย์ปัด พปชร.อยู่เบื้องหลัง

ด้านนายไพบูลย์ให้สัมภาษณ์ว่า เรื่องที่นายธีรยุทธไปร้องศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งหมดอยู่ที่ดุลยพินิจของศาล รธน. ตนไม่ขอก้าวล่วง แต่ตัวนายธีรยุทธเองมีความมั่นใจมาก ก่อนหน้านี้ตนออกมาระบุวันที่ 10 ต.ค. จะเป็นจุดเริ่มต้นการล่มสลายของพรรคแกนนำรัฐบาลนั้น เนื่องจากได้พูดคุยกับนายธีรยุทธ เขาได้เล่าให้ฟังว่าได้ไปยื่นอัยการสูงสุดในเรื่องนี้ตามมาตรา 49 มาเมื่อวันที่ 24 ก.ย.67 ตนจึงออกมาบอกต่อในที่ประชุมพรรคเพื่อเป็นการแจ้งข่าว ซึ่งวันนี้ชัดเจนแล้วหลังจากมีผู้ไปร้องต่อศาล รธน.เรียบร้อย

"ยืนยันว่าการที่นายธีรยุทธไปร้องครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพรรค พปชร. และพรรคไม่ได้อยู่เบื้องหลัง โดยนายธีรยุทธเป็นทนายอิสระ ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคการเมืองไหน เขายื่นในฐานะประชาชน ย้ำว่าที่ผมรู้ว่าเขาจะไปยื่น เพราะเรามีการพูดคุยกันตลอด เนื่องจากผมมีคดีส่วนตัวและคดีทั่วไปที่ให้เขาดูแลอยู่" นายไพบูลย์กล่าว

เลขาธิการพรรค พปชร.กล่าวว่า เท่าที่ดูคำร้องถือว่ามีน้ำหนักมากพอ ครบถ้วนสมบูรณ์ มีการดำเนินตามขั้นตอนกฎหมายถูกต้อง มีการไปยื่นให้อัยการสูงสุดก่อน และเมื่ออัยการสูงสุดไม่ได้ดำเนินการ ก็มายื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ส่วนประเด็นที่เขาขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณานั้น ส่วนตัวมองว่ามีความครบถ้วน มีข้อเท็จจริง มีหลักฐาน

 ถามว่า พล.อ.ประวิตรรู้เรื่องนี้หรือไม่ เลขาธิการพรรค พปชร.กล่าวว่า นายธีรยุทธไม่เคยเจอกับ พล.อ.ประวิตร แต่ พล.อ.ประวิตรจะรู้ก็จากที่ตนได้ให้สัมภาษณ์ทั่วไปหมด ซึ่งตนก็พูดไปตามเท่าที่ทราบว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของอะไรต่างๆ

เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้หลายคนรอว่าอาจจะมีคลิปบ้านจันทร์ส่องหล้าหรือคลิปชั้น 14 รพ.ตำรวจ แต่สุดท้ายไม่มี เลขาธิการพรรค พปชร.กล่าวว่า ทราบมาว่าเขามีพยานบุคคลทั้ง 2 กรณีทั้งบ้านจันทร์ส่องหล้าและชั้น 14 รพ.ตำรวจ ซึ่งมีการเขียนไว้ในคำร้อง หากศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้อง ก็คงมีการเชิญพยานบุคคลไปไต่สวน ซึ่งมีน้ำหนักมากกว่าคลิปที่ผิดกฎหมาย โดยพยานดังกล่าวเป็นผู้เห็นเหตุการณ์

ขณะที่ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯ และ รมว.ดิจิทัลเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะแกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายธีรยุทธร้องศาล รธน. ขอให้วินิจฉัยประเด็นนายทักษิณและพรรคเพื่อไทยให้เลิกการกระทำที่นำไปสู่การล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยฯ ว่า ยังไม่ทราบรายละเอียด เห็นเพียงแต่ข่าว

"ยืนยันในพรรคไม่ได้กังวล และไม่ได้หนักใจอะไร เรื่องต่อสู้ทาง กม. เราขอดูประเด็นก่อน แต่ทางพรรคก็มีทีมกฎหมายเพื่อดำเนินการในเรื่องนี้อยู่แล้ว และเบื้องต้นพรรคไม่ได้หนักใจอะไร"  นายประเสริฐกล่าว

ส่วนนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่า เห็นพูดกันตลอดว่านายทักษิณครอบงำพรรค ตนเป็นประธานในที่ประชุมพรรค เป็นประธาน สส. เป็นประธานวิปรัฐบาล ก็ยังไม่เห็นท่านมาสั่งการเลยสักครั้ง จะถือว่าเป็นการครอบงำได้อย่างไร ยืนยันว่าไม่เคยได้รับคำสั่งการว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้

"เราไม่ได้ฟังเรื่องที่จะไปยุบพรรคเลย ไม่ได้ให้ความสำคัญ ไม่ได้ใส่ใจ ไม่มีใครวิตกกังวล เพราะวิตกกังวลแต่เรื่องที่ประชาชนได้รับความยากลำบาก" นายวิสุุทธิ์กล่าว

ซักเรื่องการเชื่อมโยงกับกระแสข่าวนายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เข้าไปรับประทานอาหารที่บ้านจันทร์ส่องหล้าหรือไม่ นายวิสุทธิ์กล่าวว่า ท่านเนวินและท่านอนุทินจะไปพบท่านทักษิณก็ไม่ได้ครอบงำพรรค พท. อันนั้นพรรคภูมิใจไทยตนไม่ทราบว่าครอบงำพรรคภูมิใจไทยอย่างไร

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีตโฆษกพรรค พท. กล่าวว่า การที่นายไพบูลย์ออกมาเปิดประเด็นแล้วโยงไปถึงนายธีรยุทธ ตนก็มีประเด็นเหมือนกันว่านายธีรยุทธมีความใกล้ชิดกับใคร มาจากไหน ตนมีหลักฐานอยู่พอสมควร เดี๋ยวคงจะมีการเปิดเผยกันต่อว่านายธีรยุทธน่าจะมีค่าใช้จ่ายมาจากใคร

นายพร้อมพงศ์ยังกล่าวด้วยว่า ในวันที่ 11 ต.ค. เวลา 10.00 น. ตนจะไปยื่นร้องเรียนให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบพฤติกรรมการเดินทางไปต่างประเทศของ พล.อ.ประวิตร ในช่วงเดือน มี.ค. 3 วัน เดือน มิ.ย. 3 วัน เดือน ก.ค. และเดือน ส.ค.อีกเดือนละ 2 วัน รวมทั้งหมด 8 วัน ซึ่งมีข้อมูลและหลักฐานพบว่า พล.อ.ประวิตรน่าจะกินหรูอยู่สบาย และน่าจะเข้าข่ายการรับทรัพย์เกินกว่า 3,000 บาท

"ในสัปดาห์หน้าผมก็จะไปยื่นเอาผิดจริยธรรมของ พล.อ.ประวิตร ต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร เพราะการที่ พล.อ.ประวิตรคืนเงินประจำตำแหน่ง สส. ในทางกฎหมายการคืนเงินไม่ได้บรรเทาโทษ" อดีตโฆษกพรรค พท.ระบุ

ขณะที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ปฏิเสธว่าไม่ได้ติดตามเรื่องที่นายธีรยุทธร้องศาล รธน.วินิจฉัยประเด็นนายทักษิณและพรรคเพื่อไทย

เมื่อถามว่า หากพรรค พท.ถูกยุบพร้อมที่จะขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า  อย่าไปพูดถึงตรงนั้นเลย ทุกวันนี้บอกแล้วว่าตนมีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลแพทองธาร และทำหน้าที่ให้ดีที่สุด อย่าคิดว่าการเข้ามาบริหารงานของ น.ส.แพทองธารจะเป็นรัฐบาลใหม่แล้วมีเวลาเหลือเฟือ อีก 2 ปีตนก็จะแซยิดแล้ว 60 แล้ว ทำให้มันดีๆ ก่อน เผื่อจะได้เลิก

ส่วนนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะหัวหน้าพรรค ปชน. ปฏิเสธแสดงความเห็นเรื่องนายธีรยุทธร้องศาล รธน.วินิจฉัยประเด็นนายทักษิณและพรรคเพื่อไทยว่า ผู้ร้องเองยังไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับคำร้อง จึงขอรอให้มีการแถลงข่าวก่อนจะให้ความเห็นเพิ่มเติม

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า ขอให้พรรคก้าวไกลเป็นพรรคสุดท้ายที่เจออะไรแบบนี้ ขอให้การกระทำแบบนี้ ถ้าเลิกไปเลยได้ก็ดี แต่หากจะให้มีอะไรแบบนี้  โทษที่ได้ต้องได้สัดส่วน ไม่ใช่ปลดนายกฯ ที่ประชาชนเลือกมา หรือยุบพรรคที่ประชาชนตั้งกันมา.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง