เร่งโอนซ้ำเงินหมื่น2แสนราย

“เผ่าภูมิ” กางยอดกลุ่มเปราะบางชวดรับเงินหมื่นรอบแรก 2 แสนราย หลังพบปัญหาไม่ได้ผูกพร้อมเพย์-ข้อมูลไม่อัปเดต กระทุ้งเร่งแก้ปัญหาให้ทันโอนซ้ำ 3 ครั้ง ปัดหั่นจ่ายเฟส 2 เหลือ 5,000 บาท ชี้เป็นตัวเลขที่ถูกโยนเข้าไปถามในสังคม แจงไม่เคยถกฟื้น “โครงการคนละครึ่ง” ด้าน "จิราพร" ชี้ผลโพล "นายกฯ อิ๊งค์" นำโด่งที่ 1 ยังไม่รวมคะแนนนิยมจากแจกเงินหมื่น ยันรัฐบาลเดินหน้าทำนโยบายเพื่อประชาชนต่อไป

เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2567 นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล  รมช.การคลัง เปิดเผยถึงภาพรวมการโอนเงิน 10,000 บาท ในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและผู้พิการว่า ในวันที่ 30 ก.ย. 2567 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการโอนเงินนั้น ภาพรวมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ขณะที่มีประชาชนที่โอนเงินไม่สำเร็จราว 2 แสนราย ซึ่งเป็นตัวเลขที่ไม่เยอะ อยู่ในเป้าหมายที่กระทรวงการคลังประเมิน เนื่องจากไม่ได้มีการผูกพร้อมเพย์กับเลขบัตรประจำตัวประชาชน และกลุ่มคนพิการบางส่วนที่อาจจะไม่ได้มีการอัปเดตข้อมูล ขอให้เร่งติดต่อกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  (พม.) ให้เรียบร้อย เพื่อให้ทันการโอนเงินซ้ำ (Retry) อีก 3 ครั้งหลังจากนี้

ทั้งนี้ หลังจากนี้จะต้องมีการประเมินผลของโครงการในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ว่าลงไปอย่างไร แรงกระเพื่อมอยู่ในระยะเวลาที่เท่าไหร่ และระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับการกระตุ้นในรอบต่อๆ ไปควรจะเป็นตอนไหน ด้วยจำนวนเงินเท่าไหร่ และด้วยลักษณะใด ซึ่งจะมีการหารือเรื่องนี้กันในการประชุมคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งคาดว่าจะมีการหารือในเร็วๆ นี้

 “จะเห็นตัวเลขการกดเงินสดจากตู้ ATM มีนัยสำคัญ  โดยเฉพาะของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่ตัวเลขพุ่งไปถึง 18 เท่า เพราะว่าคนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มเปราะบางที่แท้จริง ทันทีที่โอนเงินเข้าไป 10,000 บาท ก็ถอนทันที 10,000 บาท คือตื่นมาเจอเงินก็มีแต่รอยยิ้ม และเงินหมื่นจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ สะท้อนจากสิ่งที่เห็นคือตลาดและชุมชนมีความคึกคักมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด” นายเผ่าภูมิกล่าว

นายเผ่าภูมิกล่าวอีกว่า กรณีที่มีกระแสข่าวว่าการดำเนินโครงการในเฟส 2 รัฐบาลจะปรับลดวงเงินเหลือ 5,000 บาทนั้น ยืนยันว่าคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจยังไม่ได้มีการหารือ หรือพูดคุยเกี่ยวกับตัวเลขที่เป็นข่าวออกมาแต่อย่างใด โดยอาจจะเป็นเพียงข้อเสนอที่โยนเข้าไปในสังคม ซึ่งท้ายที่สุดเรื่องนี้จะต้องมีการพูดคุย ต้องหารือกันก่อน

 “เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกัน คือตัวเลข 5,000 บาทที่ถูกโยนเข้าไปในสังคมนั้น ถือว่ายังไม่มีนัยสำคัญ เพราะว่ายังไม่ได้มีการพูดคุยกันในคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งตัวเลขดังกล่าวทุกคนมีสิทธิ์เสนอ ทุกคนมีสิทธิ์พูด และทุกคนมีสิทธิ์จะให้ความเห็น ดังนั้นเมื่อยังไม่ได้มีการพูดคุยกัน ก็อาจจะไม่เป็นประโยชน์ที่จะมาพูดถึงตัวเลขนี้ตอนนี้ อยากให้รอคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจประชุมกันก่อน หลังจากนั้นจะมีการแถลงอย่างเป็นทางการ ตรงนั้นจะมีความชัดเจนกว่า จะได้ไม่สับสน” รมช.การคลังระบุ

นอกจากนี้ ภายในสัปดาห์นี้หรือสัปดาห์หน้า นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง จะมีการพูดคุยเป็นการส่วนตัวกับนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลเศรษฐกิจในเชิงลึกเพื่อให้เข้าใจตรงกัน เพราะต้องยอมรับว่าระหว่างหน่วยงานตอนนี้ยังมองภาพเศรษฐกิจที่ไม่ตรงกันอยู่ โดยเบื้องต้นคาดว่าจะมีการพูดคุยกันในเรื่องภาพรวมเศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ย กรอบเงินเฟ้อต่างๆ

สำหรับกรณีที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มีข้อเสนอว่าอยากได้โครงการเราเที่ยวด้วยกันกลับมานั้น มองว่าเรื่องนี้เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ซึ่งจะต้องมาหารือร่วมกัน ส่วนอำนาจการตัดสินใจเป็นหน้าที่ของแต่ละกระทรวง ซึ่งคงไม่มีการก้าวก่ายกัน  ส่วนมาตรการอื่นๆ เช่น โครงการคนละครึ่งนั้น เป็นการโยนความเห็นเข้าไปในสังคม ซึ่งยืนยันว่าเรื่องนี้กระทรวงการคลังยังไม่ได้มีการพิจารณา โดยการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งหมดนั้น จะเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะต้องมาหารือร่วมกัน

ด้านนางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงผลการสำรวจคะแนนนิยมทางการเมืองรายไตรมาส ครั้งที่ 3/2567 ของนิด้าโพล ซึ่งปรากฏว่านางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้รับความนิยมมาเป็นอันดับ 1 ว่า แรงสนับสนุนของประชาชนเป็นกำลังใจสำคัญให้นายกฯ และรัฐบาลมุ่งมั่นที่จะทำงานแก้ไขปัญหาของประชาชนอย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมาแม้ต้องเผชิญกับอุปสรรคหลายประการ แต่รัฐบาลได้มุ่งมั่นฝ่าฟันปัญหาและดำเนินการตามนโยบายที่แถลงไว้ ซึ่งหลายนโยบายมีความคืบหน้าเป็นอย่างมาก อาทิ นโยบายเรือธง เงิน 10,000 บาท เพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยตั้งแต่ระดับชุมชน, การพักหนี้เกษตรกร 3 ปี, การลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน, การขยายโครงการ "30 บาทรักษาทุกที่" ให้ครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศ, การผลักดันกฎหมายสมรสเท่าเทียมที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 22 มกราคม 2568

"เป็นผลจากการสำรวจความเห็นของประชาชน ที่ยังไม่รวมกระแสตอบรับจากประชาชนต่อนโยบายเรือธง 'เงินหมื่นฟื้นเศรษฐกิจ' ซึ่งเริ่มดำเนินการในวันที่ 25 กันยายน 2567 เสียด้วยซ้ำ โดยเชื่อว่าผลของการแจกเงินหมื่นสู่มือพี่น้องประชาชนให้ได้จับจ่ายใช้สอย จะทำให้เศรษฐกิจหลังจากนี้ถูกกระตุ้นตั้งแต่ระดับฐานรากให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง และจะมีการต่อยอดด้วยนโยบายเศรษฐกิจ ที่จะช่วยสร้างความกินดีอยู่ดีแก่พี่น้องประชาชนในระยะยาว ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้ประชาชนพอใจในผลงานของรัฐบาลที่นำโดยนางสาวแพทองธารอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับผลการสำรวจผลงานของรัฐบาลที่ประชาชนชื่นชอบประจำเดือนกันยายน 2567 ของสวนดุสิตโพล ที่พบว่านโยบายเงินหมื่นเป็นผลงานเด่นของรัฐบาลที่ประชาชนกว่าร้อยละ 61 ชื่นชอบ ตามมาด้วยการลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย  และการตรึงราคาก๊าซหุงต้มต่ออีก 3 เดือน ซึ่งที่กล่าวมาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของนโยบายที่ได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่เป็นรัฐบาล และจะได้มีการดำเนินการเพื่อสานต่อความสำเร็จต่อไป" นางสาวจิราพรกล่าว

ขณะที่นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) กล่าวว่า วันนี้ น.ส.แพทองธารเข้ามาเป็นนายกฯ คนก็จะเห็นว่าเป็นผลบวกขึ้นทุกด้าน เช่น หุ้นขึ้นจำนวนมาก หลังจากออกไปเยี่ยมเยียนประชาชนจากปัญหาอุทกภัย ทำงานอย่างหนัก ได้รับคำชื่นชม รวมถึงเงิน 10,000 บาท ล็อตแรกที่ออกไปชาวบ้านก็เฮกันทั้งประเทศ มีความสุข ขณะนี้กำลังรอล็อต 2 ถ้าล็อต 2 ออกมาได้ประมาณ 25 ล้านคน เศรษฐกิจก็จะดีกว่านี้ พ่อค้าแม่ค้าน่าจะขายของดีขึ้น จะเห็นได้ว่าตลาดนัดคนเต็มไปหมด ซื้อขาวของกันมากมาย แม้แต่ตลาดวัวควายในภาคอีสาน  บางบ้านได้เงินถึง 40,000-50,000 บาท ก็ไปซื้อวัวมาเลี้ยง ทุกอย่างหมุนไปหมด

 “ผมเชื่อว่าต่อไปก็จะยิ่งดีขึ้นกว่านี้ ไม่ใช่บารมีท่านทักษิณ ลูกสาวท่านทำงานได้อย่างเต็มที่ เต็มความสามารถ ผมเชื่อว่าท่านทักษิณคงให้คำแนะนำเป็นเรื่องปกติ เราห้ามไม่ได้ ก็เป็นเรื่องที่ดี เป็นเรื่องบวกต่อประเทศชาติ” ประธานวิปรัฐบาลกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า ในส่วนของพรรคเพื่อไทยต้องปรับอะไรหรือไม่ เนื่องจากผลโพลยังไม่สามารถตีตื้นพรรคประชาชน (ปชน.) ขึ้นมาได้ นายวิสุทธิ์ตอบว่า มันย้อนแย้งอยู่ระหว่างโพลพรรคกับตัวบุคคล ตนมั่นใจว่าวันนี้ที่เราทำงานในรัฐบาลทั้งหมด เชื่อว่าอยู่ในหัวใจประชาชน  จะเห็นได้จากรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคทุกพรรค ลงพื้นที่ไปช่วยประชาชนที่ประสบอุทกภัยทั้งหมด จะเห็นได้ว่าความสามัคคียังมีอยู่ ชาวบ้านอยากให้รัฐบาลเข้มแข็ง ทำงานเป็นทีม ไม่ใช่ว่าเลือกคนไม่เลือกพรรค มันไม่ใช่ ตนฟังกระแสจากประชาชน มันตรงข้ามกับโพลที่ออกมา.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง