พ่อคิดลูกทำเอื้อ3นาย ปชน.จัดหนักนโยบายไร้อนาคต/‘อิ๊งค์’โต้อย่าเป็นฝ่ายแค้น!

นายกฯ อิ๊งค์ดอดเข้าทำเนียบฯ ตั้งแต่เช้าตรู่ จัดเครื่องสักการะชุดใหญ่ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก่อนเข้าสภา ใช้เวลา 58 นาทีอ่านนโยบาย "พ่อคิด-ลูกทำ" ย้ำ 10 ข้อเร่งด่วน ลั่นคนไทยมีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี "เท้ง" โชว์มาดว่าที่ผู้นำฝ่ายค้าน   ตั้งฉายารัฐบาล 3 นาย "นายใหญ่-นายทุน-นายหน้า" จี้ "นายกฯ" ตอบนอกสคริปต์แสดงความเป็นผู้นำ "ภท." หนุนดึงสถานบันเทิงครบวงจรสร้างรายได้ ปท. "ทวี" ฟุ้งดันแก้ปัญหายาเสพติดเป็นวาระแห่งภูมิภาค "สว.อังคณา" กระตุก รบ.ปราบยาอย่าซ้ำรอยฆ่าตัดตอน ประท้วงวุ่น! สส.ใต้ "ปชน." โชว์ภาพ "ทักษิณ" ซักนโยบายแก้ไฟใต้ "ศิริกัญญา"  เหน็บนโยบายอิ๊งค์เหมือนวิสัยทัศน์พ่อเป๊ะ ถามยังแจกหมื่นดิจิทัลฯ อยู่หรือไม่ "รมว.คลัง" ลั่น 25 ก.ย. กลุ่มเปราะบางรับเงินแน่นอน

ที่รัฐสภา วันที่ 12 ก.ย.2567 มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภา วาระสำคัญคณะรัฐมนตรี (ครม.)  แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 162 ในวันแรก เริ่มเวลา 09.00 น. จากกำหนดการ 2 วัน ระหว่างวันที่ 12-13 ก.ย.2567

ทั้งนี้ ตั้งแต่เวลา 04.30 น. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายปิฎก สุขสวัสดิ์  สามี เดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาล โดยเวลา 05.30 น. นายกฯ สักการะพระพรหมบนตึกไทยคู่ฟ้า ก่อนสักการะศาลพระภูมิ และศาลตาศาลยาย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำทำเนียบรัฐบาล เป็นการส่วนตัว  ซึ่งนายกฯ ได้เตรียมเครื่องสักการะมาเอง เป็นชุดผลไม้ 9 อย่าง อาทิ องุ่น ทับทิม แอปเปิล กล้วยไข่  สาลี่ แก้วมังกร เป็นต้น

พร้อมกันนี้ ยังได้มีการจัดโต๊ะสีขาว แยกวางต่างหากที่หน้าศาลพระภูมิ โดยบนโต๊ะมีการจัดวางชุดตุ๊กตาช้างม้าเบญจรงค์คู่ พร้อมพวงมาลัย และพานดอกบัว 2 พาน ขณะที่บนศาลพระภูมิได้มีการนำชุดตุ๊กตาช้างม้าเบญจรงค์คู่และตุ๊กตานางรำชุดใหม่มาวางเพิ่ม ทั้งนี้ มีพราหมณ์เป็นผู้ทำพิธีดังกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การเข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำทำเนียบรัฐบาลของนายกฯ ในวันเดียวกันนี้ ตรงกับวันพฤหัสบดี ซึ่งวันพฤหัสบดีเป็นวันเกิดของนายกฯ ส่วนกำหนดการเดิมในการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำทำเนียบฯ วันที่ 13 ก.ย. ยังคงมีเช่นเดิม ในเวลา 07.30 น.

จากนั้นเวลา 08.30 น. เดินทางมายังอาคารรัฐสภา เพื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำรัฐสภา  ได้แก่ พระสยามเทวาธิราช พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระภูมิชัยมงคล และศาลตายายประจำรัฐสภา เพื่อความเป็นสิริมงคล และสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย  รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม รวมทั้งรัฐมนตรีและ สส.เพื่อไทยร่วมด้วย

กระทั่งเวลา 09.00 น. ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุมได้เริ่มขึ้น โดย น.ส.แพทองธารเป็นผู้นำแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา เริ่มเวลา 09.10 น. 

น.ส.แพทองธารกล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายเร่งด่วน 10 นโยบาย 1.การปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบ  โดยเฉพาะกลุ่มสินเชื่อบ้านและรถ ช่วยเหลือลูกหนี้นอกระบบและในระบบที่ไม่ขัดต่อวินัยการเงินและไม่ทำให้เกิดภาวะภัยทางจริยธรรม 2.ส่งเสริมและปกป้องผลประโยชน์ของผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะเอสเอ็มอี จากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมของคู่แข่งต่างชาติ โดยเฉพาะแพลตฟอร์มออนไลน์ 3.ออกมาตรการเพื่อลดราคาพลังงานและสาธารณูปโภค ด้วยการปรับโครงสร้างราคาพลังงานและเร่งปรับปรุงกฎหมายระเบียบที่เกี่ยวข้อง เช่น ทำสัญญาซื้อขายพลังงานโดยตรง พัฒนาระบบสำรองน้ำมันเชื้อเพลิง สำรวจหาแหล่งพลังงานเพิ่มเติม และเจรจาประเด็นพื้นที่ทับซ้อนกับกัมพูชา (OCA) เพื่อลดต้นทุนด้านพลังงาน    ด้านขนส่งมวลชน จะกำหนดโครงสร้างอัตราค่าโดยสารร่วมใน กทม. เพื่อรองรับนโยบายค่าโดยสารราคาเดียวตลอดสาย

ลั่นคนไทยมีกินมีใช้มีศักดิ์ศรี

4.สร้างรายได้ใหม่นำเศรษฐกิจนอกระบบภาษีและเศรษฐกิจใต้ดินเข้าสู่ระบบภาษี เพื่อจัดสรรสวัสดิการด้านการศึกษา สาธารณสุขและสาธารณูปโภค 5.เร่งกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการผลักดันโครงการดิจิทัลวอลเล็ต โดยให้ความสำคัญกับกลุ่มเปราะบางเป็นลำดับแรก 6.ยกระดับการทำเกษตรแบบดั้งเดิมให้เป็นเกษตรทันสมัย และเร่งเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรและราคาพืชผลการเกษตร 7.เร่งส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ เพิ่มแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น สถานบันเทิงครบวงจร (เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์) 8.แก้ปัญหายาเสพติดอย่างเด็ดขาดและครบวงจร 9.เร่งแก้ปัญหาอาชญากรรม อาชญากรรมออนไลน์ มิจฉาชีพ และอาชญากรรมข้ามชาติ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน โดยเพิ่มการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ช่วยเหยื่อของมิจฉาชีพอย่างทันท่วงที และ 10.ส่งเสริมศักยภาพและจัดสวัสดิการสังคมให้สอดคล้องกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลง สร้างความเท่าเทียมทางโอกาสและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง คนไร้รัฐไร้สัญชาติ กลุ่มชาติพันธุ์

น.ส.แพทองธารยังแถลงนโยบายการพัฒนาประเทศในระยะกลางและระยะยาวว่า รัฐบาลจะต่อยอดการพัฒนาของภาคการผลิตและการบริการ  เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน เพื่อวางรากฐานสู่การพัฒนาประเทศในอนาคต โดยปรับโครงสร้างของเศรษฐกิจและพัฒนาเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจใหม่ๆ สร้างโอกาสต่อยอดจากอุตสาหกรรมเดิม เร่งดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศให้มาตั้งฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศอย่างต่อเนื่อง และรัฐบาลจะส่งเสริมการยกระดับภูมิปัญญาไทยไปสู่วัฒนธรรมสร้างสรรค์ เพื่อส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ เช่น อาหารท้องถิ่น ผ้าไทย มวยไทย สุราชุมชน รวมทั้งจะสนับสนุนการสอดแทรกทุนทางวัฒนธรรมในภาพยนตร์ไทยและสื่อทุกรูปแบบ

นอกจากนี้ รัฐบาลส่งเสริมการใช้กัญชาเพื่อการแพทย์ที่สร้างมูลค่าเพิ่มในทางเศรษฐกิจ และควบคุมผลกระทบทางสังคม โดยการตรากฎหมาย การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อขยายโอกาส รัฐบาลจะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านวิจัยและนวัตกรรม เดินหน้าลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่อง สร้างรถไฟทางคู่และรถไฟความเร็วสูง ยกระดับท่าเรือในการเชื่อมต่อการขนส่งสินค้า ขับเคลื่อนโครงการแลนด์บริดจ์ เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการที่ดินของรัฐ

นายกฯ กล่าวว่า รัฐบาลจะเร่งจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นโดยเร็วที่สุด จะยึดมั่นในหลักนิติธรรมและความโปร่งใส จะปฏิรูประบบราชการและกองทัพเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ จะยกระดับการบริการภาครัฐให้ตอบสนองความต้องการของประชาชนมากยิ่งขึ้น

น.ส.แพทองธารกล่าวทิ้งท้ายว่า รัฐบาลมีความมุ่งมั่นที่จะพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ สร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติพระราชกรณียกิจของสถาบัน และดำเนินงานตามแนวพระราชดำริอย่างต่อเนื่อง

 “ในนามนายกฯ ของคนไทยทุกคน ในนามรัฐบาล ขอให้ความมั่นใจกับรัฐสภาแห่งนี้ว่า จะมุ่งมั่นตั้งใจบริหารราชการแผ่นดินด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง พร้อมประสานพลังจากทุกภาคส่วน จากทุกช่วงวัย จากทุกความเชี่ยวชาญ ขับเคลื่อนนโยบายที่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง ซึ่งตอบสนองสถานการณ์ปัจจุบันให้สำเร็จ พัฒนาเศรษฐกิจ  สังคม การเมืองของประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้า  เพื่อสร้างโอกาสอย่างเท่าเทียม ทำให้คนไทย มีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี เพื่อนำพาความภูมิใจกลับมาสู่คนไทย และประเทศไทย เพื่อสร้างความหวังและอนาคตที่ดีกว่าให้ประเทศไทย จากวันนี้ไปถึงอนาคต” นายกฯ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกฯ ใช้เวลาอ่านคำแถลงนโยบายรัฐบาลรวม 58 นาที

ฉายายุคอิ๊งค์ 'รัฐบาล 3 นาย'

จากนั้น เวลา 10.20 น. นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) อภิปรายว่า 1 ปีที่สูญเปล่าของการจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้วโดยที่ไม่มีประชาชนอยู่ในสมการ และ 3 ปีต่อจากนี้ ตนจะตั้งชื่อเรียกเล่นๆ  ว่า รัฐบาล 3 นาย คือนายใหญ่ นายทุน และนายหน้า ที่มีแต่เจ๊ากับเจ๊ง หรือพูดง่ายๆ  คือไม่มีอนาคตที่ดีขึ้น หากเราอยู่ในระบบการเมืองเช่นนี้ เพราะพวกท่านกำลังสยบยอมกระบวนการนิติสงคราม ที่ทำลายหลักนิติรัฐนิติธรรมของประเทศไปสูญสิ้น

นายณัฐพงษ์กล่าวว่า หากมองย้อนกลับไป 1 ปีที่ผ่านมา ถามว่าประชาชนได้อะไรจากคำมั่นสัญญาของรัฐบาลชุดที่แล้วบ้าง เช่น เรื่องโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ที่หาเสียงไว้ว่าหากเป็นรัฐบาลจะแจกทันที แต่ตอนนี้กลับเลื่อนแล้วเลื่อนอีก จนตอนนี้ก็ยังไม่จ่าย ตอนแรกบอกจะให้พร้อมกันเพื่อสร้างพายุหมุนทางเศรษฐกิจ แต่รัฐบาลกลับปรับแผนมาเป็นทยอยจ่าย โดยจ่ายเป็นเงินสดผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ไม่ได้จ่ายเป็นดิจิทัลวอลเล็ต ทั้งหมดที่รัฐบาลมุ่งหวังว่าจะเป็นโครงสร้างทางดิจิทัล  ตอนแรกบอกจะใช้เป็นระบบบล็อกเชน เพื่อความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ว่าสุดท้ายแล้วเงินจะหมุนไปเข้ากระเป๋าใคร แต่ตอนนี้ตอนเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าระบบบล็อกเชนจะยังอยู่ในโครงการนี้หรือไม่ สรุปแล้วโครงการเรือธงนี้แทบจะไม่เหลือเค้าโครงเดิมอะไรแล้ว และไม่แน่ใจว่านโยบายเรือธงนี้จะให้ใครขึ้น ประชาชนหรือนายคนใดขึ้น

นอกจากนี้ เรื่องของหนี้เก่าที่ยังไม่แก้ เป็นนโยบายที่รัฐบาลเก่าตั้งโต๊ะแถลงไว้ใหญ่โตประกาศจะแก้หนี้เมื่อปลายปีที่ผ่านมา แต่หากดูตัวเลขหนี้ครัวเรือนล่าสุดจากธนาคารแห่งประเทศไทย  จะพบว่า 90.8 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีนั้น เป็นหนี้ของครัวเรือนที่ยังไม่ได้มีแนวโน้มลดลง และเกษตรกรไทยปัจจุบัน 1 ใน 3 ก็มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน ส่วนเรื่องค่าแรงขั้นต่ำที่เคยอยู่ในคำแถลงของรัฐบาลชุดที่แล้ว และเป็นเรื่องเร่งด่วนของรัฐบาลชุดที่แล้ว แต่กลับไม่ปรากฏในการแถลงนโยบายชุดนี้

"สิ่งที่ผมอยากเห็นมากกว่าคำแถลงนโยบายคือเรื่องรายละเอียดที่อยากให้ ครม.ลุกขึ้นตอบ เพราะยิ่งเป็นนโยบายเร่งด่วน 10 ข้อ ยิ่งต้องมีรายละเอียด รัฐบาลต้องรู้ลึก รู้จริง พร้อมนำไปปฏิบัติได้ทันที นโยบายเรือธงที่เรามีคำถามว่า เป็นนโยบายเรือธงเพื่อใคร เพื่อประชาชนหรือเพื่อ 3 นาย เช่น เรื่องดิจิทัลวอลเล็ต ที่มีการกลับไปกลับมา จนถึงวันนี้เงินก็ยังไม่เข้า พวกผมสนใจว่าเป็นนโยบายเรือทุนที่ให้นายใหญ่ขึ้นหรือไม่ นโยบายเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ มีข้อครหาว่าจะมีการเปิดกว้างในขณะประมูลหรือล็อกการประมูลเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เป็นนโยบายเรือธงให้กับนายทุนใช่หรือไม่ นโยบายแลนด์บริดจ์ ที่มีการตั้งข้อสงสัยถึงใช้งบประมาณของรัฐ การเวนคืนที่ดิน และมีการตั้งคำถามว่าเป็นนโยบายที่เอื้อให้กับนายหน้าค้าที่ดินใช่หรือไม่ สรุป 3 นโยบายเรือธงของรัฐบาล มีประชาชนอยู่ตรงไหนในสมการ วันนี้พวกผมอยากได้ยินคำตอบจากทุกท่าน" นายณัฐพงษ์กล่าว

หัวหน้าพรรค ปชน.กล่าวว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อสร้างนิติรัฐและหยุดยั้งกระบวนการนิติสงคราม ที่นักการเมืองผู้ซึ่งได้รับเลือกตั้งโดยตรงมาจากประชาชนผู้ที่ทรงอำนาจสูงสุดกำลังถูกถอดถอน ถูกทุบทำลาย ด้วยกลไกทางจริยธรรม สิ่งที่อยากเห็นอยู่ในหัวข้อแรกๆ ที่ไม่ได้มีอยู่ในนโยบายเร่งด่วน 10 ข้อ และควรจะเป็นนโยบายเรือธงเช่นเดียวกัน เพื่อให้เจ้านายของท่าน ไม่ใช่ 3 นาย แต่เป็นประชาชนผู้ทรงอำนาจสูงสุด นั่นคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

"ผมอยากให้ท่านนายกรัฐมนตรีพูดนอกสคริปต์ที่เจ้าหน้าที่เตรียมมา ซึ่งผมเข้าใจว่าต้องทำ เพราะข้อบังคับตามกฎหมาย แต่ท่านสามารถลุกขึ้นตอบได้นอกสคริปต์ ผมอยากให้ท่านแสดงบทบาทความเป็นผู้นำ ผู้นำที่ดีนอกจากการฟังสมาชิกหรือรับฟังความเห็นแล้ว ต้องชี้นำความคิดที่ถูกที่ควรให้กับสมาชิกและสังคมด้วย ผมอยากให้ท่านชี้นำรัฐบาลของท่านด้วยการลุกขึ้นตอบว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเป็นวาระเร่งด่วนของประเทศนี้” หัวหน้าพรรค ปชน.กล่าว

นายณัฐพงษ์กล่าวตอนท้ายว่า การที่อภิปรายถึงคำถาม และ 1 ปีที่สูญเปล่า เนื่องมาจากการฟอร์ม ครม.ที่ไม่มีประชาชนอยู่ในสมการ และ 3 ปีต่อจากนี้ ที่ตนมีคำถามว่าจะเจ๊าหรือจะเจ๊ง เพราะนอกเหนือจากการจัดตั้งรัฐบาลแบบเดิมๆ ที่มีการจัดสรรโควตาเก้าอี้รัฐมนตรีแล้ว ยังมีการจัดตั้งรัฐบาลแบบตัวแทน ทั้งหมดเป็นสิ่งที่ตนรอฟังคำตอบจากนายกฯ

'ทวี' ดันปราบยาวาระภูมิภาค

ต่อมา นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย อภิปรายว่า เรื่องเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ อยากจะย้ำจุดยืนของพรรคภูมิใจไทยให้เกิดความชัดเจนเข้าใจให้ตรงกันว่า ไม่ได้ขัดข้องถ้ารัฐบาลอยากจะส่งเสริมการท่องเที่ยว  อยากจะสร้างรายได้ให้ประเทศไทยด้วยการทําเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ สิ่งที่อยากจะเห็นคือการควบรวมเอาสถานบันเทิงเริงรมย์ทั้งหลายที่เคยหลบๆ ซ่อนๆ  เอาขึ้นมาบนดิน เอามารวมกันให้เป็นแหล่งบันเทิงและควบคุมโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ

เวลา 11.35 น. นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายถึงปัญหายาเสพติดว่า จำเป็นต้องคลายปมปัญหา 3 ปม หากเอาแต่จับผู้เสพรายเล็กรายน้อยเพื่อสร้างภาพ การแก้ไขปัญหานี้ต้องจับตัวใหญ่แล้วยึดทรัพย์ ส่วนตัวเล็กตัวน้อยเอาเข้าสู่การบำบัดฟื้นฟู อย่าหลอกประชาชนด้วยจำนวนคดีและจำนวนผู้ต้องหาที่เพิ่มมากขึ้น แต่เต็มไปด้วยผู้ต้องหาปลาซิวปลาสร้อย  ขยายไปสู่ตัวใหญ่ไม่ได้

เวลา 12.00 น. การอภิปรายเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล เป็นคิวของ สส.พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งพรรคดังกล่าวมีการแบ่งฝ่ายอย่างชัดเจน โดยนายอัครแสนคีรี โล่ห์วีระ สส.ชัยภูมิ ซึ่งเป็น สส.ที่อยู่ในก๊วนของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สส.พะเยา ลุกขึ้นอภิปรายสนับสนุนรัฐบาล สวนทางกับนายชัยมงคล ไชยรบ สส.สกลนคร ที่อภิปรายโจมตีรัฐบาล

นายชัยมงคลกล่าวว่า เมื่อรายชื่อ ครม.ออกมา เปรียบเสมือนเหล้าเก่าในขวดใหม่ที่เขียนสลากเพิ่มเติม พ่อแทนลูกบ้าง ลูกแทนพ่อบ้าง น้องแทนพี่บ้าง อยากฝากถึงคนที่มาแทนว่าอาจเป็นคนดี แต่จะสามารถบริหารราชการแผ่นดินได้หรือไม่ คนใหม่ก็สืบทอดโดยสายเลือด จึงได้เห็นการขนานนามว่าญาติกาบ้าง ผู้สืบสันดานบ้าง ทำให้เห็นปลายทางนโยบายรัฐบาล

 “ที่มาของรัฐบาล ภาพที่ประชาชนรับรู้คือตระบัดสัตย์ พรรคที่ยกมือให้ 39 เสียงให้เป็นฝ่ายค้าน เปรียบเสมือนหุงข้าวด้วยกัน แต่พอข้าวสุกข้าพเจ้าขอกินคนเดียว แต่พรรคที่งดออกเสียงเชิญมาเป็นรัฐบาล” นายชัยมงคลกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างนั้น นายอรรถกร ศิริลัทธยากร สส.ฉะเชิงเทรา พรรคพลังประชารัฐ ลุกขึ้นประท้วง โดยอ้างถึงข้อประชุมรัฐสภาข้อที่ 45 ว่า จริงๆ แล้วตั้งแต่เริ่มต้นเพื่อนสมาชิกทำผิดข้อบังคับในการเสียดสีซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้นายชัยมงคลโต้ตอบว่า ตนทำหน้าที่ฝ่ายค้าน สำรวจตรวจสอบรัฐบาล ไม่อยากเห็นรัฐบาลชุดนี้มาจากคนชนชั้นสูง เพื่อชนชั้นสูง อาศัยมือประชาชนอ้างประชาธิปไตย แล้วมากอบโกยผลประโยชน์อย่างตะกละตะกลาม ทำให้นายไชยวัฒนา ติณรัตน์ สส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ประท้วงนายชัยมงคล เพราะใช้คำพูดเสียดสี และขอให้ถอนคำพูดที่ว่ากอบโกยและชนชั้นสูง ที่สุดท้ายนายชัยมงคลได้ถอนคำพูด

จากนั้นเวลา 12.55 น. พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ชี้แจงเป็นคนแรก ของสัดส่วนคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า รัฐบาลจะแก้ปัญหายาเสพติดอย่างเด็ดขาดครบวงจรเริ่ม โดยขอยืนยันอีก 3 ปีหลังจากแถลงนโยบายแล้ว สิ่งที่จะต้องทำต่อไปคือยาเสพติด เป็นวาระของภูมิภาค ไม่ใช่เป็นวาระแห่งชาติแล้ว เพราะยาเสพติดไม่ใช่ทำลายแค่คนไทย แต่ทำลายคนทั้งโลก ทั้งนี้ การแก้ไขปัญหายาเสพติด รัฐบาลฝ่ายเดียวคงไม่สามารถทำได้ แต่ต้องอาศัยความร่วมมือของทุกคน

เวลา 13.20 น. นางอังคณา นีละไพจิตร  สมาชิกวุฒิสภา (สว.) อภิปรายตอนหนึ่งว่า การแก้ปัญหายาเสพติดอย่างเด็ดขาด จะมีหลักประกันได้อย่างไรว่าการแก้ปัญหายาเสพติดจะไม่ซ้ำรอยนโยบายในช่วงสงครามยาเสพติดที่ผ่านมา มีคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นเป็นจำนวน 2,604 คดี และมีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 2,873 ราย นอกจากนั้นยังมีคนถูกบังคับให้สูญหายอีกจำนวนหนึ่ง

เวลา 13.27 น. พ.ต.อ.ทวีชี้แจงว่า รัฐบาลนี้แถลงนโยบายว่าเราจะยึดหลักนิติธรรม จะยกระดับหลักนิติธรรมของเราให้เข้มแข็ง การแก้ปัญหายาเสพติดอย่างเด็ดขาด คือดำเนินการตามกฎหมาย ไม่ได้มีการดำเนินการนอกกฎหมาย

ซัดนโยบายเหมือนทักษิณเป๊ะ

จากนั้น เวลา 13.15 น. นายรอมฎอน ปันจอร์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายถึงความขัดแย้งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งบางช่วงมีการประท้วงจากนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.การคลัง ในฐานะ สส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย (พท.) ที่หยิบยกเอาเรื่องเก่าใน 1 ปีที่ผ่านมามาพูด รวมทั้งเมื่อนายรอมฎอมมีการขึ้นสไลด์ที่มีหน้าของนายทักษิณ ก็ถูกประท้วงอีก ก่อนที่นายรอมฎอนจะอภิปรายต่อว่า ตนแค่อยากพูดถึงเฉยๆ ว่า การขอโทษและขออภัยต่อพี่น้องชาวตากใบ เมื่อสองปีที่แล้วสำคัญมาก เพราะตอนนั้นเหลืออายุความของคดีอีกสองปี และถือว่าเป็นคำขอโทษของอดีตผู้นำประเทศนี้

เวลา 14.10 น. นายชัยชนะ เดชเดโช สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ อภิปราย โดยกล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ได้บรรจุ 3 เงื่อนไขของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ได้เสนอไว้ในการเข้าร่วมรัฐบาล เรามีรัฐบาลใหม่แล้วมีนายกรัฐมนตรีใหม่แล้ว เรามาร่วมกันทำหน้าที่ให้ประเทศไทยดีที่สุด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การอภิปรายนโยบายรัฐบาลในช่วงบ่าย มีการสลับกันขึ้นพูดอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งในเวลา 17.05 น. น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชน. อภิปรายถึงนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลว่า ตกใจมากที่โครงการดิจิทัลวอลเล็ตในการแถลงนโยบายรอบนี้ คำว่า 10,000 บาทหายไป รีบตอบมาว่าตกลงได้ 10,000 บาทอยู่หรือไม่ เพราะประชาชนทวงถามมา รวมถึงการเพิ่มเติมโครงการรถไฟฟ้า 20 บาทเพิ่มขึ้นมา ที่แปลงร่างเป็นค่าโดยสารราคาเดียวตลอดสาย 20 บาท ทำไมไม่ใส่เหมือนกับที่เคยหาเสียงไว้แล้ว แต่กลับเหมือนอย่างอื่นแทน คือวิสัยทัศน์ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 ส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งมีความตรงกันทั้งหมด 11 จาก 14 ประเด็น ซึ่งไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะหลายนโยบายเหมือนกันเป๊ะ

"ความเหมือนไม่ใช่ปัญหาเรื่องครอบงำ แต่เป็นเรื่องความรับผิดชอบที่ตกลงไม่รู้ว่าใครเป็นคนวางนโยบายตัวจริง ต้องถามใคร หรือเชื่อใครกันแน่ หากสุดท้ายยังเป็นแบบนี้ ต่อไปการประชุม ครม.จะเป็นเพียงพิธีกรรม เรื่องใหญ่ๆ อาจไม่ถูกตัดสินจากที่ประชุม แต่ถูกตัดสินมาแล้วจากที่อื่น เช่นในเซฟเฮาส์” น.ส.ศิริกัญญากล่าว

เวลา 17.43 น. นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง ชี้แจงเกี่ยวกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ตอนหนึ่งระบุว่า ไม่มีใครแก้ไขค่าราคาพลังงานลดลงได้ เพราะราคาพลังของบ้านเรา นำเข้า 90% ของน้ำมัน และนำเข้ากว่า 65% ของก๊าซธรรมชาติ ใครจะแก้ให้ลดลงได้จะแก้ได้อย่างเดียวคือไม่เก็บภาษีเลย แต่โครงสร้างบ้านเราทำไม่ได้ เพราะเราติดลบอยู่ ถ้าไม่เก็บภาษีเลยจะหายเกือบไป 3 แสนล้าน

นายพิชัยชี้แจงเรื่องดิจิทัลวอลเล็ตว่า รัฐบาลคิดแล้วว่าจะทำให้เร็วที่สุด โดยรอบแรกจะเป็นเงิน 10,000 บาท จำนวน 14.2 ล้านคน วงเงิน 1.4 แสนล้านบาท ซึ่งเราน่าจะสามารถกดปุ่มเคาะระฆังให้เงินก้อนแรกไหลได้วันที่ 25 ก.ย.นี้

จากนั้นเวลา 18.05 น. น.ส.แพทองธารลุกขึ้นชี้แจงครั้งแรกว่า ขอบคุณทุกข้อเสนอแนะจากสมาชิกรัฐสภาทุกท่าน ขอยืนยันว่าหลายนโยบายที่ได้มีการหยิบยกขึ้นมา ซึ่งบางนโยบายได้ทำเสร็จสิ้นไปแล้ว บางนโยบายกำลังจัดการอยู่ และได้เริ่มทำไปแล้ว

น.ส.แพทองธารกล่าวว่า ปัญหาของยาเสพติดตนได้รับรายงานจาก สส.พื้นที่เสมอว่าพี่น้องประชาชนมีความหนักใจในเรื่องนี้ ซึ่งได้เจอกับชาวบ้านพูดขึ้นมาว่าไม่เอาดิจิทัลวอลเล็ตแล้ว เอาเรื่องยาเสพติดก่อน ซึ่งชาวบ้านสะท้อน สส. และ สส.ก็มาบอกตน แต่แน่นอนว่าเราต้องดูแลในทุกส่วน ในเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เราเริ่มทำแล้วเช่นกัน โดยจะเร่งรัดผ่านกระบวนการรัฐสภาที่ทุกท่านมีส่วนร่วม ก็จะทำไปพร้อมๆ กัน

"ในวันนี้การที่พรรคเพื่อไทยถูกเลือกมาประชาชนถึง 10.9 ล้านคนที่เลือกเรามา ซึ่งคือเสียงของประชาชน เช่นเดียวกัน พรรคร่วมรัฐบาลก็ได้เสียงของประชาชนเลือกมาเช่นกัน ทุกเสียงคือเสียงของประชาชน คนไทยทั้งนั้น ไม่มีเสียงไหนที่มีศักดิ์ศรีหรือด้อยศักดิ์ศรีไปกว่ากันและกันเลย ขอให้ร่วมกันสร้างการอภิปรายที่สร้างสรรค์ ไม่สร้างวาทกรรมเกลียดชัง ไม่อยากให้ฝ่ายค้านมีเรื่องคับแค้นใจเป็นฝ่ายแค้นแทน เราไม่ต้องแค้นกัน แต่เราต้องเข้าใจกัน เราสามารถอยู่ในสภาแห่งนี้ด้วยหลักของความเข้าใจที่ถูกต้องจริงๆ” น.ส.แพทองธารกล่าว

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ชำแหละนโยบายเรือธงเอื้อ3นาย? ม็อบรอพลาดนิติสงครามรอล้ม

การแถลงต่อรัฐสภาพิจารณาเรื่องด่วน คณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อแถลงนโยบายต่อรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 162 ผ่านนโยบาย 10 ข้อเร่งด่วนของ “อุ๊งอิ๊ง”-แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในวันที่ 12-13 กันยายน

นายกฯอิ๊งค์ ไม่อยากเห็นฝ่ายค้านกลายเป็นฝ่ายแค้น ขอหยุดสร้างวาทกรรมเกลียดชัง

แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลุกขึ้นชี้แจงว่า ตนขอขอบคุณทุกข้อเสนอแนะจากสมาชิกรัฐสภาทุกท่าน และขอยืนยันว่าได้รับฟังทุกท่านอย่างชัดเจน และขอยืนยันว่าหลายนโยบายที่ได้มีการหยิบยกขึ้นมา

ทัวร์ลงยับ 'ไอจีมาดามแพ'! โพสต์อวยตัวเองไม่สนใจน้ำท่วมเชียงราย มิน่าสืบสันดาน

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์ภาพในไอจี ingshin21 เมื่อวันจันทร์ โดยสวมเสื้อสี พร้อมเขียน ข้อความว่า เหลืองส