"ประภัตร" เชื่อหมูแพงเพราะการกักตุนสินค้าในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2564 ซึ่งเป็นฤดูกาลท่องเที่ยว ประสานกระทรวงพาณิชย์สอบข้อเท็จจริง กรมปศุสัตว์เตรียมจัดตั้งวอร์รูมทั่วประเทศ เพื่อสแกนพื้นที่เสี่ยงในการเกิดโรคระบาด ASF
วันที่ 15 มกราคม 2565 นายประภัตร โพธสุธน เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีกระแสข่าวว่าต้นเหตุที่ทำให้ราคาเนื้อสุกรแพงขึ้นนั้น เกิดจากการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) จึงขอชี้แจงว่า จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่าตั้งแต่ปี 2564 มีลูกสุกรเข้าคอกเลี้ยงเฉลี่ยราว 350,000 ตัว ซึ่งปัจจุบันปริมาณลูกสุกรเข้าเลี้ยงก็ยังคงมีตัวเลขใกล้เคียงกัน อีกทั้งจำนวนสุกรที่เข้าโรงเชือดยังมีปริมาณคงที่มาโดยตลอด จึงเป็นที่น่าสนใจว่าเหตุใดราคาเนื้อสุกรจึงแพงขึ้น
โดยหนึ่งในปัจจัยสำคัญอาจมาจากการกักตุนสินค้าในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2564 ซึ่งเป็นฤดูกาลท่องเที่ยว จึงได้ประสานงานกับกระทรวงพาณิชย์ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
อย่างไรก็ตาม กรณีพบการระบาดของโรค ASF นั้น กรมปศุสัตว์จะจัดตั้งวอร์รูมขึ้นทั่วประเทศเพื่อสแกนพื้นที่เสี่ยงในการเกิดโรคระบาด ASF พร้อมเข้าช่วยเหลือผู้เลี้ยงสุกร โดยเฉพาะรายเล็กและรายย่อย ในการยกระดับมาตรการควบคุมป้องกันโรคอย่างเข้มข้น ซึ่งการดำเนินการในครั้งนี้จะมีอาสาปศุสัตว์เข้ามาเป็นส่วนสำคัญในการช่วยเหลือการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่
"ขอยืนยันว่าหากตรวจพบการเกิดโรค ASF กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมปศุสัตว์จะเร่งเข้าควบคุมโรคโดยทันที ภายใต้มาตรการต่างๆ อย่างรัดกุม และจำกัดวงเพื่อให้เกิดผลกระทบต่อเกษตรกรน้อยที่สุด"
นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิดเผยว่า ตามที่ประเทศไทยได้ประกาศพบโรค ASF ในสุกร พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยอย่างมาก ได้เรียกประชุมด่วนเพื่อเร่งแก้ปัญหาโรคระบาดในหมู โดยได้มอบนโยบายให้กรมปศุสัตว์เร่งตรวจสอบการขึ้นทะเบียนเกษตรเจ้าของฟาร์มผู้เสียหายให้ครอบคลุมทั้งรายย่อยและรายใหญ่
โดยให้ประสานความร่วมมือไปยังกระทรวงมหาดไทย, องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น, กำนันและผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ และให้กรมปศุสัตว์ลงพื้นที่ตรวจสอบคุณภาพการเลี้ยงสุกร ทั้งโรงฆ่าสัตว์และเขียงหมูโดยเร็ว รวมทั้งให้ปศุสัตว์จังหวัดและสัตวแพทย์ติดตามพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค เพื่อเร่งสอบสวนหาสาเหตุและควบคุมโรคได้โดยเร็ว และให้เพิ่มช่องทางและเน้นการประชาสัมพันธ์สื่อสารข้อมูล เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องแก่เกษตรกรผู้เลี้ยงหมู รวมทั้งการช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรผู้เสียหาย เพื่อลดผลกระทบและความเสียหายแก่เกษตรกรและอุตสาหกรรมการผลิตสุกรให้เกิดขึ้นน้อยที่สุดนั้น
กรมปศุสัตว์เร่งดำเนินการทันทีตามนโยบายนายกรัฐมนตรี โดยได้ประชุมด่วนกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลังจากประชุมกับนายกรัฐมนตรีเสร็จเมื่อวันที่ 14 ม.ค.ทันที ทั้งส่วนกลางและภูมิภาคทั่วประเทศผ่านระบบออนไลน์ ประกอบด้วยสำนักงานปศุสัตว์เขต 1-9, สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดทุกจังหวัด, ด่านกักกันสัตว์, สำนักควบคุม ป้องกันและบำบัดโรคสัตว์, กองสารวัตรและกักกัน, สำนักพัฒนาระบบและรับรองมาตรฐานสินค้าปศุสัตว์, สำนักพัฒนาพันธุ์สัตว์, สำนักพัฒนาอาหารสัตว์, สถาบันสุขภาพสัตว์แห่งชาติ, ศูนย์วิจัยและพัฒนาการสัตวแพทย์ เป็นต้น
เพื่อเร่งดำเนินการตามนโยบายนายกรัฐมนตรี และดำเนินการตามมาตรการควบคุมโรคของกรมปศุสัตว์อย่างเคร่งครัด โดยได้สั่งการให้ทุกเขตและจังหวัดจัดตั้งวอร์รูม เพื่อสื่อสารข้อมูลกับประชาชนและรายงานการดำเนินงานทุกวันต่อผู้บริหารอย่างทันท่วงที ทุกพื้นที่ให้การบังคับใช้กฎหมายในการควบคุมป้องกันและการเคลื่อนย้ายสัตว์ต้องโปร่งใส ไม่มีการสร้างเงื่อนไข
"นายกฯ สั่งการให้คำนึงถึงผลประโยชน์ของเกษตรกรเป็นหลัก ไม่สร้างความเดือดร้อนหรือภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มแก่เกษตรกร สำรวจการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูและปริมาณหมูที่คงเหลือในระบบ พร้อมทั้งสำรวจปริมาณความต้องการของประชาชนต่อการบริโภคและใช้เนื้อหมูในประเทศ รวมทั้งปริมาณการส่งออก เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์บริหารจัดการแก้ไขปัญหาความต้องการสุกรทั้งระบบ ให้ศึกษาการเพิ่มผลผลิตสุกรแม่พันธุ์และลูกหมูในระบบการเลี้ยงที่มีความปลอดภัยทางชีวภาพ และการช่วยเหลือบริการเกษตรกรผู้เลี้ยงรายย่อยและรายใหญ่"
อธิบดีกรมปศุสัตว์เผยว่า นายกฯ ยังเร่งให้มีการช่วยเหลือด้านอาหารสัตว์และศึกษาวิจัยด้านอาหารสัตว์ เพื่อเป็นการลดต้นทุนในการผลิต การร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ เช่น พาณิชย์ในการตรวจสอบห้องเย็น เพื่อป้องกันการกักตุนสินค้าในช่วงเทศกาลตรุษจีนที่กำลังจะมาถึง การรายงานโรคตามระบบรายงานโรคระบาดในสุกรให้ดำเนินการตามมาตรการที่แจ้ง
โดยจังหวัดที่พบโรคให้รีบรายงานแจ้งไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดและส่วนกลางทันที บูรณาการกับหน่วยงานในพื้นที่เพื่อสอบสวนโรคทางระบาดวิทยาและหาสาเหตุเพื่อควบคุมโรคโดยเร็ว ทำการประเมินความเสี่ยงและการตรวจสอบให้แน่ใจว่าปลอดเชื้อโรค ASF ในสุกรก่อนทำการลงเลี้ยงรอบใหม่ และสิ่งสำคัญที่สุดคือ การผลักดันให้เกษตรกรผู้เลี้ยงรายย่อยทำการเลี้ยงโดยปรับปรุงฟาร์มให้มีระบบความปลอดภัยทางชีวภาพให้ได้มากที่สุด เพื่อเป็นการป้องกันโรคเข้าฟาร์มได้ดีที่สุด เนื่องจากโรคนี้ไม่มีวัคซีนและยารักษาที่จำเพาะ
โดยทำฟาร์มที่มีระบบการป้องกันโรคและการเลี้ยงสัตว์ที่เหมาะสม (GFM: Good Farming Management) เพื่อเป็นการลดความเสียหายและสามารถป้องกันการเกิดโรคได้ ทั้งเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนเพื่อยกระดับเป็นฟาร์มที่มีการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (Good Agricultural Practices: GAP) และการรายงานผลตรวจโรคหากตรวจพบผลบวกต่อเชื้อ ASF ในสุกรให้ในใบรายงานผล เพิ่มข้อแนะนำและมาตรการดำเนินการให้เกษตรกรทราบ เพื่อจะได้ดำเนินการได้ถูกต้องและลดความเสียหายจากการแพร่กระจายโรคด้วย
นายสัตวแพทย์สรวิศขอย้ำให้ทุกเขตทุกจังหวัดทำการสื่อสาร สร้างความรู้ความเข้าใจกับเกษตรกรรายย่อยให้ปรับปรุงฟาร์มให้มีความปลอดภัยทางชีวภาพ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากในการป้องกันโรค หากพบโรคให้จังหวัดรายงานและดำเนินการสอบสวนทันที ถ้าไม่ทำตามจะถือว่ามีความผิดละเลยการปฏิบัติงานในหน้าที่ การปฏิบัติงานและการรายงานของวอร์รูมในทุกเขตและจังหวัด ให้ดำเนินการทุกวันไม่เว้นแม้ในวันหยุดราชการและเสาร์-อาทิตย์ จนกว่าสถานการณ์โรคจะคลี่คลาย
พร้อมเร่งช่วยเหลือเยียวยาให้บริการเกษตรกร และจ่ายเงินชดใช้ค่าเสียหายจากการทำลายสุกรเพื่อป้องกันโรคโดยเร็ว โดยขอให้ทุกคนร่วมมือกันเพื่อผ่านสถานการณ์นี้ไปให้ได้ การดำเนินงานทุกอย่างให้คำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชน ส่วนรวม และประเทศชาติเป็นสำคัญ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
แฉระบบเด็กฝาก ทำลายองค์กรตร. ดับฝัน‘ดาวฤกษ์’
เช็ก 41 รายชื่อแต่งตั้งนายพลสีกากี ระดับรอง ผบ.ตร.-ผบช.
ยธ.เมินแจงกมธ. ปมนักโทษเทวดา รพ.ตำรวจชั้น14
ชั้น 14 น่าพิศวง "โรม" กวักมือเรียก “ทักษิณ” ไปสภา เข้าแจง กมธ.มั่นคงฯ
แจกเฟส2เอื้อเลือกอบจ. เตือนร้องถอดถอนครม.
นายกฯ โชว์วิชั่น Forbes ยันไทยสงบ สันติ หวังแม้รัฐบาลเปลี่ยน
ฟ้อง9บิ๊กมท.ทุจริตที่เขากระโดง
เรื่องถึงศาล "ณฐพร" ฟ้องกราวรูด "บิ๊ก ขรก.มหาดไทย"
ลุ้นศาลรับคดีล้มล้าง ตุลาการถก6ประเด็น‘ทักษิณ-พท.’/ดันแก้ประชามติไม่รอ180วัน
"ทักษิณ-พท." ระทึก! 9 ตุลาการศาล รธน.ยืนยันนัดประชุมวาระพิเศษ 22 พ.ย.นี้
สั่งประหารชีวิต ‘แอม ไซยาไนด์’ คุกผัวเก่า-ทนาย
ศาลพิพากษาประหารชีวิต "แอม ไซยาไนด์" วางยาฆ่าก้อย พร้อมชดใช้ 2.3 ล้าน