“เด็จพี่” จวกม็อบ 17 ก.ย. พวกหน้าเดิมที่ฉุดรั้งประเทศไม่ให้เดินหน้า “เด็ก ทสท.” ชี้ทักษิณเดินเกมการเมืองผิด สร้างศัตรูรอบด้าน “สหายใหญ่” หนาว เรืองไกรร้อง กกต.สอบนายกฯ ชงชื่อนั่ง รมว.กลาโหม ผิดจริยธรรมหรือไม่ อดีตอธิการบดี มธ.แนะจับตากองทัพ “เทพไท” บอกให้ทำใจ เจอเคสมินิฮาร์ตอีกแน่
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน 2567 ยังคงมีความต่อเนื่องในกรณีเครือข่ายต้านระบอบทักษิณ ได้แก่ เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.), กลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) และกลุ่มกองทัพธรรม สันติอโศก นัดหมายชุมนุมเปิดโปงระบอบชินวัตร 1 “หยุดระบอบชินวัตร ครม.ญาติกา” ในวันอังคารที่ 17 ก.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล
โดยนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีตโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวในเรื่องนี้ว่า เป็นม็อบเจ้าเก่าขาประจำ เครือข่ายค้าความขัดแย้งที่มีไอ้โม่งชักใยคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ซึ่งหากเห็นหน้าเห็นชื่อม็อบแล้วไม่ต้องเดาว่าต้องการอะไร เจตนาปั่นป่วน ขัดขวางการทำงานและล้มล้างรัฐบาล น่าอเนจอนาถใจ มาถึง พ.ศ.นี้ยังไม่หยุดใช้วิธีการเดิมๆ ถ่วงรั้งการพัฒนา สงสารประเทศไทยและคนไทยที่ต้องมาติดกับดักความขัดแย้งไม่รู้จบสิ้น กติกาของประเทศไทย คือประชาธิปไตยรู้กันทั่วไปชัดเจน ใครอยากมีอำนาจก็ต้องลงสนามเลือกตั้ง ประชาชนจะเป็นคนตัดสินทุกๆ 4 ปี เย็นให้พอ รอให้ได้ หรือว่ารอไม่ไหวพรุ่งนี้ ปีนี้จะตายแล้วหรืออย่างไร
ขณะที่ นายปริเยศ อังกูรกิตติ โฆษกพรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) กล่าวว่า การเดินเกมการเมืองของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี รวมถึงคณะทำงานรอบข้าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ นั้น เป็นไปในทิศทางที่ผิดทิศผิดทาง เพราะนอกจากไม่เป็นประโยชน์กับประชาชนแล้ว ยังสร้างศัตรูทางการเมืองขึ้นมาอย่างต่อเนื่องโดยไม่จำเป็นอีกด้วย การดูด สส.ฝ่ายค้านเข้าไปเป็นรัฐบาล การสร้างภาพผู้นำคนใหม่ว่ามีประชาชนรักใคร่และมีความเป็นมืออาชีพ รวมถึงการโยนพรรคร่วมรัฐบาลเก่าออกจากเรือ เป็นการเมืองที่น่าขยะแขยง น่าเห็นใจประชาชนที่กำลังเจอสถานการณ์การกินรวบทั้งด้านเศรษฐกิจและด้านการเมือง ส่วนด้านหน้าใช้วิธีการฉาบหน้าเป็นคนดีศรีสังคม การทำการเมืองแบบนี้ล่อแหลมมาก เพราะถือเป็นการสร้างความขัดแย้งระลอกใหม่โดยไม่จำเป็น ทั้งที่การเมืองมาถึงจุดที่ควรสู้กันทางด้านนโยบายแล้วในปัจจุบัน
“เหตุการณ์ของรัฐบาลเพื่อไทยในปัจจุบัน เป็นเหมือนสายล่อฟ้า ให้เกิดการใช้นิติสงครามเข้ามาในการเมืองโดยไม่จำเป็น ทั้งด้านการผิดจริยธรรมนักการเมือง รวมถึงการถูกร้องเรียนด้านการยุบพรรค เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการกระทำของทีมผู้บริหารพรรคเพื่อไทยในยุคปัจจุบันทั้งสิ้น” นายปริเยศระบุ
ด้านนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เผยว่า ได้ส่งหนังสือทางไปรษณีย์ด่วนพิเศษ (อีเอ็มเอส) ถึงคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อขอให้ตรวจสอบนายกรัฐมนตรี ว่ากรณีเสนอชื่อนายภูมิธรรม เวชยชัย เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าข่ายมีความไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) หรือไม่ และการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรม ข้อ 8 หรือไม่ และเข้าข่ายเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามความในรัฐธรรมนูญมาตรา 170 (4) ประกอบมาตรา 160 (4) (5) หรือไม่
นายเรืองไกรกล่าวว่า การที่ น.ส.แพทองธารเลือกนายภูมิธรรมให้ดำรงตำแหน่ง รมว.กลาโหม ถูกวิพากษ์วิจารณ์ทั้งก่อนและหลังการแต่งตั้ง และมีข่าวปรากฏตามสื่อมวลชนทั่วไป จนนายภูมิธรรมระบุว่าขออย่ารื้อฟื้นอดีตสมัยเข้าป่า และบอกว่าจำภาพสหายใหญ่เมื่อ 50 ปีไม่ได้ นอกจากนี้ยังให้สัมภาษณ์ว่า เหตุผลอะไรที่นายกฯ ให้มานั่งในตำแหน่ง รมว.กลาโหม ต้องไปถามนายกฯ เอง ดังนั้น น.ส.แพทองธารจะปฏิเสธว่าไม่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติของนายภูมิธรรมดังกล่าวย่อมมิอาจรับฟังได้
“น.ส.แพทองธารย่อมต้องรู้ หรือควรรู้ประวัติของนายภูมิธรรม ซึ่งเป็นคนของพรรคเพื่อไทยเคยมีชื่อสหายใหญ่ ซึ่งตามข่าวที่ปรากฏโดยทั่วไป สหายใหญ่เคยร่วมกระทำการในลักษณะที่อาจจะเข้าข่ายเป็นการล้มล้างหรือเป็นปฏิปักษ์ต่อระบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งการกระทำดังกล่าวไม่อาจยกเลิกเพิกถอนได้ ประกอบกับต้องรู้ว่าคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 21/2567 มีผลผูกพันคณะรัฐมนตรีด้วย ดังนั้น การที่ น.ส.แพทองธารเสนอชื่อนายภูมิธรรมเป็น รมว.กลาโหมนั้น จึงมีเหตุอันควรขอให้ กกต.ตรวจสอบว่าความเป็นรัฐมนตรีของนายกฯ มีเหตุสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 (4) ประกอบมาตรา 160 (4) (5) หรือไม่” นายเรืองไกรระบุ
รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า ยากจะเดาได้ว่าพรรคเพื่อไทยวางตัวนายภูมิธรรมให้เป็น รมว.กลาโหมด้วยเหตุผลอะไร แต่ที่แน่ก็คือการทำเช่นนี้เป็นการแสดงความไม่สนใจว่ากองทัพ หรือทหาร จะรู้สึกอย่างไร หรือจะเรียกว่าเป็นการหยามกองทัพก็คงไม่ผิด ไม่ว่าตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม เพราะเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 แม้จะถือว่าเวลาผ่านมานานมากแล้ว น่าจะลืมทุกอย่างที่ผ่านมาได้แล้ว แต่การส่งคุณภูมิธรรมไปนั่งเป็นผู้บังคับบัญชาของกองทัพทั้ง 3 เหล่า เหมือนกับเป็นการบอกว่า อำนาจอยู่ที่ฉัน ฉันจะเลือกใครเป็น รมว.กลาโหมก็ได้ ไม่มีใครหยุดฉันได้ ดังนั้นจะไม่ให้มีทหารคนใดเลยมีความรู้สึกไม่ดีต่อเรื่องนี้คงเป็นไปไม่ได้ อย่างน้อยก็มีความรู้สึกไม่สนิทใจที่จะทำงานภายใต้การบังคับบัญชาของคนคนนี้
“ลองดูกันต่อไปว่าการส่งคุณภูมิธรรมไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะเกิดผลที่ตามมาอย่างไรบ้าง หวังว่าจะไม่เป็นตัวเร่งให้เกิดการทำรัฐประหารในอนาคตอันใกล้อย่างที่หลายคนกลัวกัน หรือบางคนเรียกร้องกัน เพราะการปัดกวาดบ้านเมืองให้สะอาด ไม่ควรจะต้องใช้การรัฐประหารเป็นเครื่องมือ แต่ควรเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด ชนิดที่ผู้ถูกปัดกวาดแทบไม่รู้ตัวเลยทีเดียว”
ส่วน ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า เรื่องที่ รมว.กลาโหมคนใหม่ยังคิดฝักใฝ่อุดมการณ์คอมมิวนิสต์อยู่หรือไม่ ยังไม่น่ากังวลเท่ากับพฤติกรรมในปัจจุบันมากกว่า ถ้าเขาเข้ามาแล้วไม่ไปแทรกแซงกองทัพ ก็ไม่น่ามีปัญหา แต่ประเด็นที่สำคัญและต้องช่วยกันจับตามองมากที่สุดคือ เกาะกูด อย่าได้ยุ่ง อย่าได้ทำให้ชาติเสียประโยชน์เชียว
วันเดียวกัน ยังคงมีความต่อเนื่องในกรณีคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถ่ายรูปหมู่หน้าตึกไทยคู่ฟ้าทำเนียบรัฐบาล โดย น.ส.แพทองธารเชิญชวนให้ชูมือทำสัญลักษณ์มินิฮาร์ต จนเจ้าหน้าที่ต้องตะโกนห้ามปรามว่าอยู่ในชุดขาว ทำมินิฮาร์ตถ่ายรูปไม่ได้ โดยนายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ “วันแรกก็โดนเสียแล้ว อาปูกับหลานอิ๊งค์แตกต่างกันอย่างไร” ระบุว่า การใส่ชุดเครื่องแบบปกติขาวถ่ายรูปมินิฮาร์ต ไม่ได้ผิดกฎหมายหรือระเบียบใดๆ แต่เป็นเรื่องของความเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมเท่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่า น.ส.แพทองธารยังขาดวุฒิภาวะ เหมือนกับที่หลายฝ่ายได้เคยแสดงความเห็นมาก่อนหน้านี้ ซึ่งหากเปรียบเทียบ น.ส.แพทองธาร กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในตำแหน่งนายกฯ จะเห็นได้ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์พูดน้อย มีความสุขุมและสำรวมมากกว่า อะไรที่ไม่มั่นใจและไม่รู้จริง ก็จะไม่พูด สงบปากสงบคำ มีบางครั้งจะพูดออกมาผิดพลาดถูกสังคมล้อเลียนไปบ้าง แต่ก็ได้ใช้ความระมัดระวังอย่างเต็มที่แล้ว ซึ่งผิดกับ น.ส.แพทองธาร ที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง กล้าพูด กล้าแสดงออก ซึ่งเป็นบุคลิกส่วนตัว การพูดอะไรโดยไม่มีฐานความรู้อย่างแท้จริงก็เสี่ยงเกิดความผิดพลาดได้ง่าย
“วันนี้เป็นแค่จุดเริ่มต้นของการรับตำแหน่งนายกฯ ของ น.ส.แพทองธาร สังคมได้เห็นความผิดพลาด หรือการขาดวุฒิภาวะแล้ว นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป คงเห็นอะไรผิดพลาดไม่เหมาะสมอีกหลายครั้ง ก็ต้องทำใจ เพราะประเทศไทยในตอนนี้เปรียบเสมือนสถานที่ฝึกงานการเมืองของลูกสาวนายทักษิณ ชินวัตร ไปแล้ว”.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
พ่อนายกฯเคลียร์MOUสยบม็อบ
อิ๊งค์พร้อม! จัดชุดใหญ่แถลงผลงานรัฐบาล ลั่นรอจังหวะไปตอบกระทู้
พปชร.ขับก๊วนธรรมนัส ตัดจบที่ดิน‘หวานใจลุง’
"บิ๊กป้อม" ไฟเขียว พปชร.มีมติขับ 20 สส.ก๊วนธรรมนัสพ้นพรรค "ไพบูลย์" เผยเหตุอุดมการณ์ไม่ตรงกัน
รบ.อิ๊งค์ไม่มีปฏิวัติ! ทักษิณชิ่งสั่งยึดกองทัพ เหน็บอนุทินชิงหล่อเกิน
"ทักษิณ" โบ้ยไม่รู้ "หัวเขียง" ชงแก้ร่าง กม.จัดระเบียบกลาโหม
คิกออฟแพ็กเกจแก้หนี้ ลุ้นบอร์ดขึ้นค่าแรง400
นายกฯ เผยข่าวดี ครม.คลอดชุดใหญ่แก้หนี้ครัวเรือน "คลัง-แบงก์ชาติ"
ศาลรับคำร้อง ให้สว.สมชาย หยุดทำหน้าที่
ศาลรัฐธรรมนูญสั่ง “สมชาย เล่งหลัก” หยุดปฏิบัติหน้าที่ สว.
เร่งตั้ง‘สสร.’ให้ทันปี70
รัฐสภาจัดงานวันรัฐธรรมนูญคึกคัก แต่พรรคประชาชนเมินเข้าร่วม