หุ้นดีดแรง38จุด ขานรับการเมือง เร่งขายวายุภักษ์

หุ้นไทยดีดแรงปิดบวก 38.79 จุด ยืนเหนือ 1,400 จุด นักวิเคราะห์ต่างชาติชี้พุ่งสูงสุดนับตั้งแต่ มี.ค.67 รับความเชื่อมั่นฟื้นตัว หลังตั้ง ครม.ชุดใหม่ ประกอบกับเงินบาทแข็งค่าขึ้น “พิชัย" ปลื้มขานรับการเมืองชัดเจน ดีเดย์ 16  ก.ย. เปิดขายกองทุนวายุภักษ์

เมื่อวันที่ 5 กันยายน นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยที่ดัชนีช่วงเช้าปรับขึ้นมาเกือบ 30 จุดว่า ถือเป็นเรื่องที่ดี และน่ายินดี ส่วนผลการตอบรับของตลาดหุ้นมาจากสถานการณ์ทางการเมืองที่มีความชัดเจนขึ้นคงมีส่วนด้วย แต่มีหลายประเด็นที่เป็นปัจจัยเกี่ยวข้องกัน นอกจากนี้ กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างพิจารณารายละเอียดเกี่ยวกับข้อเสนอจากกระทรวงแรงงานเกี่ยวกับมาตรการทางภาษี  เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่จะได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาททั่วประเทศ ในวันที่ 1 ต.ค.นี้ ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆ นี้

นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง  เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังเตรียมออกหนังสือชี้ชวน เสนอขายหน่วยลงทุนกองทุนรวมวายุภักษ์  หนึ่ง ประเภท ก. วงเงินรวม 1.5 แสนล้านบาท เปิดให้ประชาชนรายย่อยจองซื้อได้ในช่วงวันที่ 16-20 ก.ย.67 และจากนั้นจะเปิดให้นักลงทุนสถาบันจองซื้อได้วันที่ 18-20 ก.ย.67 โดยจะทราบผลการจัดสรรหน่วยลงทุนในวันที่ 23 ก.ย.นี้ และกองทุนรวมวายุภักษ์จะเริ่มเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.67 เป็นต้นไป ด้านหน่วยลงทุน จะเข้าไปเทรดได้ไม่เกินวันที่ 10 ต.ค.67

ทั้งนี้ ปัจจุบันกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิกว่า 300,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 15 ภายหลังแปรสภาพกองทุนเมื่อปี 2556 โดยมีการลงทุนส่วนใหญ่ในตราสารทุนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และบางส่วนลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น และช่วงที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้รับเงินปันผลจากกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง กว่า 40,000 ล้านบาท โดยกองทุนมีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการกองทุน

ด้านนายกวี ชูกิจเกษม Head of Research and Content บล.พาย กล่าวว่า ตลาดหุ้นที่ปรับขึ้น รับเงินทุนต่างชาติไหลเข้า หลังค่าเงินบาทแข็งค่า และกระแสข่าวกองทุนวายุภักษ์เตรียมเปิดขายในวันที่ 16 ก.ย.นี้ รวมทั้งตอบรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ใหม่ ที่มีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งเงินดิจิทัลกว่าแสนล้านบาทที่จะแจกกลุ่มเปราะบางในเดือน ก.ย.นี้ จะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยโต สวนทางเศรษฐกิจโลก ในขณะที่กองทุนวายุภักษ์ที่จะออกมา 1.5 แสนล้านบาท ลงทุนในหุ้นไทย จะเป็นผลบวกต่อตลาดทุน และยังจะมีนโยบายกระตุ้นอื่นๆ เช่น ภาคอสังหาริมทรัพย์และการท่องเที่ยวออกมากอีก คาดปีนี้ไตรมาส 4 จีดีพีไทยจะขยายตัวเกือบร้อยละ 5 และผลดีก็จะมีไปถึงไตรมาส 1 ปีหน้า ซึ่งใน 3 เดือนแรกคาดว่ารัฐบาลเดินหน้าทำงาน เรื่องฟ้องร้องต่างๆ จะยังไม่กระทบเสถียรภาพในระยะนี้

รายงานข่าวจาก บล.กรุงศรี (KSS) แจ้งว่า  ภาพการลงทุนภายในปัจจุบันค่อนข้างจะคล้ายกับในอดีต ผสานการเมืองภายในเดินหน้า ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยช่วงที่เหลือของปีนี้ในทางบวก ประเมินว่าเม็ดเงินใหม่ที่กำลังเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยหลักๆ 2 ส่วน ซึ่งส่วนใหญ่น่าจะเข้ามาในช่วงไตรมาส 4 สูงถึงราว 1.2-1.7 แสนล้านบาท (กองทุนวายุภักษ์ 1.0-1.5 แสนล้านบาท ผสานเม็ดเงินกองทุน ThaiESG มีผล 3 เดือน เดือนละ 6-7 พันล้านบาท) ต่อยอดด้วยเม็ดเงิน ThaiESG เต็มปีในปี 68 อีก 7.8 หมื่นล้านบาท จะหนุน SET เดินหน้าสู่เป้าหมายสิ้นปีนี้ ประเมินที่ 1,540 จุด

ความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ 5 ก.ย.2567 ปิดการซื้อขายภาคบ่ายที่ระดับ 1,404.28 จุด เพิ่มขึ้น 38.79 จุด หรือเปลี่ยนแปลง 2.84% จุด ในช่วงระหว่างวันดัชนีพุ่งขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ระดับ 1,406.49 จุด ก่อนที่จะย่อตัวลงมาทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 1,371.49 จุด โดยมีมูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้นที่ 81,736.15 ล้านบาท

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยว่า ต้องยอมรับว่าจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีตลาดหุ้นไทยในวันนี้เป็นเรื่องที่น่าตกใจมาก เพราะภายในวันเดียวเพิ่มขึ้นได้เกือบ 40 จุด ทะลุแนวต้าน 1,400 จุดไปเรียบร้อยแล้ว โดยที่มูลค่าซื้่อขายในวันนี้ที่ระดับกว่า 8 หมื่นล้านบาท นับว่าสูงที่สุดนับตั้งแต่เปิดต้นปี 2567 เป็นต้นมา

โดยมองว่าด้วยปัจจัยเชิงบวกจากทั้งต่างประเทศและโดยเฉพาะในประเทศมารวมกันพอดีในวันนี้ ทำให้ความคาดหวังมาสะท้อนในตลาดหุ้นไทยวันนี้อย่างท่วมท้น ซึ่งปัจจัยในประเทศหลักๆ เป็นผลบวกมาจากการ Set-up รัฐบาลชุดใหม่ที่ดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว และเป็นช่วงจังหวะที่มีเม็ดเงินจากงบประมาณลงทุนให้พร้อมใช้งานได้ทันที และต้องเร่งเบิกจ่ายภายใน 30 ก.ย.นี้ กว่า 1.22 แสนล้านบาท ซึ่งในนัดแรกที่จะได้เห็นเม็ดเงินออกมากระตุ้นเศรษฐกิจและกำลังซื้อได้เลยคือ โครงการแจกเงินให้กับกลุ่มที่เปราะบาง ในช่วงสิ้นเดือน ก.ย.2567 นี้ ขณะเดียวกันกระทรวงการคลังจะออกหนังสือชี้ชวน เสนอขายหน่วยลงทุนกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง ประเภท ก. วงเงินรวม 1.5 แสนล้านบาท

นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บล.กสิกรไทย กล่าวว่า แนวโน้มในวันที่ 6 ก.ย. คาดว่าตลาดหุ้นไทยน่าจะย่อตัวเพื่อขึ้นต่อ โดยให้แนวต้านที่ 1,444 จุด แนวรับที่ 1,390 จุด

วันเดียวกัน สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า "ตลาดหุ้นไทย" พุ่งสูงสุดนับตั้งแต่เดือน มี.ค.2566 โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นจากสัญญาณความต่อเนื่องของนโยบายหลังมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ดัชนี SET ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 2.9% โดยหุ้นกลุ่มบรรจุภัณฑ์ เทคโนโลยีสารสนเทศ และปิโตรเคมี เป็นหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากที่สุด ขณะที่ค่าเงินบาทปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 1.5% เทียบกับดอลลาร์สหรัฐ สู่ระดับ 33.69 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน พ.ค.2566

โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นจะทำให้หุ้นไทยน่าสนใจยิ่งขึ้นสำหรับนักลงทุนต่างชาติ กองทุนทั่วโลกได้ทุ่มเงิน 133 ล้านเหรียญสหรัฐ เข้าซื้อในพันธบัตรไทยในเดือน ก.ย.2567 นับเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกันที่มีเงินไหลเข้าสุทธิจากต่างประเทศ

นอกจากนี้ ได้รับแรงหนุนจากสัญญาณการเปลี่ยนแปลงของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เช่นเดียวกับการลดความเสี่ยงทางการเมืองในประเทศ หลังจากการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่และคณะรัฐมนตรีชุดใหม่

Tareck Horchani หัวหน้าฝ่ายซื้อขายหลักทรัพย์ชั้นนำของ Maybank Securities Pte. กล่าวว่า "นักลงทุนมีความเชื่อมั่นเพิ่มมากขึ้น หลังจากที่รัฐบาลพิจารณานโยบายแล้ว จะเริ่มนโยบายโครงการดิจิทัลวอลเล็ตแจกเงินสดและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆ".

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง