คนเยอะกว่าเก้าอี้! ‘ภูมิธรรม’ ยอมรับบางรายเสนอชื่อไปแล้วเกรงมีปัญหาจริยธรรม

 

"ภูมิธรรม" เผยตั้งรัฐบาลยังไม่สะเด็ดน้ำ ไทยอยู่ในกระบวนการที่กำลังดูกันอยู่ เพราะคนเยอะกว่าตำแหน่ง ยอมรับตรวจเข้มกลัวมีปัญหาในเชิงจริยธรรม ว่าที่ รมต.ทยอยส่งประวัติ  "จิราพร" กรอกแล้ว "พิชัย-นฤมล" ส่งตรวจสอบ  ส่วน "เอกนัฏ" แนบคำตัดสินศาลเกือบ 200 หน้า  ขณะที่ "จตุพร" ชี้วิสัยทัศน์ทักษิณ ยิ่งเกิดความเสียหายกับรัฐบาล ฉุดดึงนายกฯ ให้เดินไปถึงจุดสลบได้เร็วยิ่งขึ้น

เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2567 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี  ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าเรื่องการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีว่า วันนี้ให้เกิดความชัดเจนก่อน รอให้มีการโปรดเกล้าฯ เรียบร้อยก่อน ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการรวบรวมชื่อให้พร้อม ซึ่งขณะนี้ยังไม่เรียบร้อย ยังไม่ครบ

ผู้สื่อข่าวถามว่า ต้องเร่งให้แต่ละพรรคส่งชื่อ เพราะขณะนี้ปัญหาประชาชนรออยู่ รองนายกฯ ตอบว่า ไม่ได้รอ ก็เร่งอยู่แล้ว เพราะเราต้องการให้จบเร็ว ถ้าดูจากไทม์ไลน์ และสามารถควบคุมได้ทั้งหมด หรืออย่างบางพรรคที่รายชื่อยังไม่มา ก็เป็นเรื่องที่ต้องรับผิดชอบกันเอง

เมื่อถามย้ำว่า ขณะนี้รายชื่อทุกพรรคการเมืองมาครบแล้วหรือยัง นายภูมิธรรมกล่าวว่า ยังไม่ครบดี

ซักว่าขาดพรรคไหน นายภูมิธรรมตอบว่า มีบางส่วน แต่ยังไม่ได้เลย ต้องถาม นพ.พรหมินทร์  เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และเลขาฯ คณะรัฐมนตรี ในส่วนของพรรคเพื่อไทยอยู่ในกระบวนการที่กำลังดูกันอยู่

เมื่อถามต่อว่า สาเหตุเป็นเพราะคนเยอะกว่าตำแหน่งใช่หรือไม่ นายภูมิธรรมยอมรับว่า คนเยอะกว่าตำแหน่ง และเราต้องระมัดระวัง บางคนที่เราเสนอชื่อไปแล้วอาจมีปัญหาได้ในเชิงจริยธรรม ซึ่งคำนี้ตีความได้กว้างมาก เมื่อต้องตีความกว้างก็ต้องเอาคนที่เหมาะสม ส่วนใครที่จะได้หรือไม่ได้ที่พวกเราเข้าใจกันได้อยู่แล้ว

ผู้สื่อข่าวถามกรณีมีชื่อไปนั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รองนายกฯ ถึงกับยิ้มพร้อมกล่าวว่า “ผมก็ได้ฟังจากกระแสข่าว ตั้งแต่เป็นรองนายกรัฐมนตรี ควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นรองนายกฯ อย่างเดียว แลดูความมั่นคง เป็นรองนายกฯ ควบกระทรวงพาณิชย์ พรุ่งนี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะมีอะไรอีก ต้องฟังนักข่าวเพราะหูดี ได้ฟังอะไรต่างๆ มา”

ซักว่าถ้าอยู่กระทรวงกลาโหมแล้วทำงานได้หรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า ยังไม่มีถ้า ไม่ว่าอยู่ที่ไหนเราก็ต้องศึกษางาน รัฐมนตรีก็ทำหน้าที่บริหาร และประสานงานกับคนที่เราต้องทำงานด้วย ดังนั้นจะทำงานที่ไหนก็ได้ ทุกคนในพรรคต่างก็มีความรู้ความสามารถ

เมื่อถามว่า แล้วได้ศึกษางานของกระทรวงกลาโหมแล้วหรือไม่ นายภูมิธรรมตอบว่า ยังไม่ได้ศึกษา เพราะยังไม่รู้ว่าจะต้องไปที่นี่

ด้านนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข  และแกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ยังไม่รู้ว่าตัวเองจะไปอยู่ตรงไหน เพราะการจัด ครม.คำว่าลงตัวก็มาจากการที่ไม่ลงตัวตั้งแต่แรก ก็ต้องปรับให้ลงตัว  โดยอาจต้องปรับคนนั้นคนนี้ เลยทำให้ยังไม่รู้ความคืบหน้าเรื่องนี้ เพราะไม่ได้เป็นคนจัด แต่ถึงตอนนี้ในส่วนของพรรคเพื่อไทยก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร

ใครจะไปรู้ตัวเอง

"การจัดตั้งรัฐบาลคิดว่าคงไม่ล่าช้า ผมเองเป็นรัฐมนตรีมาหลายครั้ง ที่ผ่านมาการตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี จะตรวจสอบโดยสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี แต่วันนี้ต้องเพิ่มคณะกรรมการกฤษฎีกาเข้ามาด้วย ที่ปรึกษากฎหมายต้องออกแบบการสอบถามตรวจเพิ่มขึ้น ทำให้ต้องใช้เวลาตรวจสอบลงรายละเอียด มีการสอบถามเพิ่มขึ้น เพราะเรื่องนี้มีผลถึงขั้นตัดสิทธิทางการเมือง การตรวจสอบจึงเป็นเรื่องสำคัญ

เมื่อถามว่า คนที่ถูกเสนอชื่อเป็น รมต. แต่มีปัญหาเรื่องนี้ควรถอนตัวหรือไม่ นายสมศักดิ์ชี้แจงว่า ใครจะไปรู้ตัวเอง เพราะตัวเองมองตัวเองก็ไม่ค่อยเห็นอยู่แล้ว ถ้าไม่มีกระจกเงา เราก็มองไม่เห็นหน้าเรา แต่หน้าคนอื่นเรามองเห็น

ต่อข้อถามที่ว่า มีกระแสข่าวว่า รมช.สาธารณสุขอาจจะมีการปรับเปลี่ยน จะมีผลกระทบอะไรหรือไม่ นายสมศักดิ์ตอบว่า เราเดินไปตามนโยบายก็คงไม่มีอะไร อย่างตอนนี้ทำเรื่อง NCDs (non-communicable diseases กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง) เรื่องอื่นหมอก็ทำหมดแล้ว ถ้าเราทำได้ก็ถือว่าเป็นชัยชนะ

ถามต่อไปว่า ที่มีกระแสข่าวว่านายเดชอิศม์ ขาวทอง เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ จะมาเป็น รมช.สาธารณสุข จะทำงานกันได้หรือไม่ เขาตอบว่า โดยส่วนตัวก็คุ้นเคยกัน เขามาเยี่ยมตนที่สุโขทัยเมื่อสองเดือนที่แล้ว เขาเป็นคนโอภาปราศรัย แต่ว่าเขาจะมาที่นี่หรือ กลัวจะไม่อยากมา

นายสมศักดิ์ยังกล่าวหลังถูกถามว่านายกรัฐมนตรีบอกว่ารัฐบาลชุดใหม่อาจจะเริ่มทำงานปลายเดือนกันยายน โดยตอบว่า มันอาจเป็นข้อเท็จจริง แต่ก็อาจเร็วกว่านั้น นายกฯ ไม่ได้บอกว่าต้องปลายกันยายน เพราะมันเป็นบรรทัดฐานใหม่ เป็นหลักสูตรใหม่แล้ว

ขณะที่ นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี สมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีกระแสข่าวนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค รทสช. เป็นผู้ให้ปากคำในคดี 112 ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และประเด็นคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีนั้น ขอชี้แจงว่า ประเด็นการให้ปากคำนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ได้มีหมายเรียกนายเอกนัฏไปให้ปากคำ  จึงเป็นหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องไปให้ปากคำแก่พนักงานสอบสวนตามข้อเท็จจริง มิใช่เสนอตัวไปให้การเอง อีกทั้งการให้ปากคำดังกล่าวยังอยู่ในช่วงต้นปี ไม่ใช่ในช่วงเวลานี้ จึงไม่เกี่ยวข้องกับการต่อรองตำแหน่งใดๆ ปัจจุบันอัยการสั่งฟ้องคดีไปแล้ว อยู่ในชั้นศาลที่จะตัดสินตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป

คุณสมบัติ 'เอกนัฏ' ไม่มีปัญหา

สำหรับประเด็นคุณสมบัติรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญนั้น ถ้าดูตามตัวอักษรในกฎหมาย วิ.อาญา มาตรา 15 ประกอบ วิ.แพ่ง มาตรา 145 วรรค 1 ได้วางหลักว่า คำพิพากษาหรือคำสั่งให้ถือว่าผูกพันคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลที่พิพากษาหรือมีคำสั่ง นับตั้งแต่วันที่ได้พิพากษาหรือมีคำสั่ง จนถึงวันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นได้ถูกเปลี่ยนแปลง แก้ไข กลับหรืองดเสีย ถ้าหากมี ซึ่งศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมายกฟ้องนายเอกนัฏแล้ว

“เมื่อพิจารณาตามข้อกฎหมายเบื้องต้นหมายความว่า หากยังไม่มีคำพิพากษาของศาลฎีกาเห็นเป็นอย่างอื่นออกมา นายเอกนัฏเป็นผู้บริสุทธิ์และไม่เคยต้องคำพิพากษาจำคุกมาก่อน ดังนั้นประเด็นเรื่องคุณสมบัติของนายเอกนัฏจึงไม่มีปัญหาอย่างใด นอกจากนี้ยังมีกระบวนการตรวจสอบของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่มีผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายจำนวนมากอีก คาดว่าจะชัดเจนเร็วๆ นี้ ข้อกฎหมายชัดเจนว่านายเอกนัฏเป็นรัฐมนตรีได้  ใจผมอยากให้คนรุ่นใหม่ได้เข้าบริหารบ้านเมืองบ้าง” นายอรรถวิชช์กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าการตั้งรัฐบาล “ครม.แพทองธาร 1" น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ภายหลังที่นายกฯ ออกมาให้สัมภาษณ์ว่ารายชื่อรัฐมนตรีส่งมาครบแล้ว โดยมีรายงานข่าวว่าที่รัฐมนตรีได้รับเอกสารให้กรอกประวัติตั้งแต่วันที่ 21 ส.ค.ที่ผ่านมาแล้ว อาทิ  น.ส.จิราพร สินธุไพร นอกจากนี้ ยังมีว่าที่รัฐมนตรีบางส่วนได้ส่งประวัติไปที่ตึกสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ทำเนียบรัฐบาล ให้ตรวจสอบแล้ว อาทิ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้กรอกประวัติและส่งเอกสาร พร้อมแนบคำตัดสินของศาลเกือบ 200 หน้าไปด้วย

ขณะเดียวกัน นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และ รมว.การคลัง ที่มีข่าวว่าจะได้นั่งในตำแหน่งเดิม รวมถึงนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ หัวหน้าพรรคกล้าธรรม ที่มีข่าวว่าจะมาดำรงตำแหน่ง รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในโควตาของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ส่งประวัติให้ สลค.ตรวจสอบแล้วเช่นกัน

ส่วนนายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ว่า การปล่อยให้พ่อผู้ครอบครองนายกฯ เพ่นพ่านยุ่งโชว์วิสัยทัศน์ กล้าชงนโยบายการเมืองบริหารประเทศ ยิ่งจะเกิดความเสียหายกับรัฐบาล และเท่ากับฉุดดึงนายกฯ ให้เดินไปถึงจุดสลบได้เร็วยิ่งขึ้น

“ต้องถาม (ทักษิณ ชินวัตร) ก่อนว่า คุณเป็นใคร เมื่อเป็นคนต้องห้าม เป็นสมาชิกพรรคการเมืองไม่ได้ และยังถูกตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต แล้วถลำ (โชว์วิสัยทัศน์) มาขณะนี้ รัฐบาลควรทำกฎหมายนิรโทษกรรมให้เลยเพื่อจะได้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง”

คอร์รัปชันไม่มีความหมาย

อีกทั้งถามว่า หากบ้านเมืองคิดปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันจริงจัง คนในชาติบ้านเมืองมาสรรเสริญเยินยอคนต้องคดีทุจริตคอร์รัปชันไม่ได้ ดังนั้น บ้านเมืองกำลังอยู่ในช่วงมึนงงกับคนต้องคดีทุจริตคอร์รัปชันจากถูกศาลพิพากษา และตัวเองยอมรับว่าทำผิดจริง

“เหตุนี้จึงไม่ใช่ว่าใครจะมาพูดว่า จะทำอะไร ถ้าไม่ดูภูมิหลังจะเข้าใจอะไรผิดมาก หรือทำให้คนลืมว่าคอร์รัปชันไม่มีความหมาย ถ้ามีวิชั่นไทยแลนด์ คนไทยอยู่ในสภาพถูกสะกดจิตหรืออย่างไร”

รวมทั้งกล่าวว่า ปัญหาคือคนไทยจะยอมให้แต่ละเรื่องที่เป็นปัญหาสร้างความเสียหายต่อชาติบ้านเมืองเกิดขึ้นมาได้หรือไม่ เช่น เรื่องบ่อนกาสิโน เรื่องที่ดิน 99 ปี เรื่องดิจิทัลวอลเล็ต แม้ยอมจ่ายเป็นเงินสดจำนวนหนึ่ง แต่ส่วนที่เหลือจำนวนมากยังจ่ายเป็นดิจิทัลอยู่ และเป็นส่วนที่เอื้อกลุ่มทุนได้ประโยชน์ อยู่กับเป้าหมายการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องการฟอกเงินให้เข้าระบบเทคโนโลยี

พร้อมเชื่อว่า เหตุนี้บ้านเมืองกำลังเข้าสู่ความหายนะอย่างใหญ่หลวงมากที่สุด ดังนั้นหวังว่าเรื่องคุณสมบัตินายกฯ และเรื่องกรณีชั้น 14 รพ.ตำรวจ คนมีหน้าที่อย่าปล่อยไว้เนิ่นนาน เพราะถ้ายิ่งเกิดความเสียหายจะแก้ไขปัญหายากขึ้น ขอถามว่า ขณะนี้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ภาพจากกล้องวงจรปิดแล้วหรือยัง เพราะเมื่อกล้าขอภาพในสิ่งที่ รพ.ตำรวจบอกกล้องเสีย แสดงว่ามีภาพบางส่วนอยู่ในมือแล้ว

"ประเทศเดินมาถึงจุดเสียหายมาก เพราะแต่ละเรื่องราวนั้นเป็นเรื่องเก่า แต่เรื่องกำลังจะทำให้เกิดความหายนะและจะเป็นผลประโยชน์ชาติได้อย่างไร ดังนั้น ประเทศเดินมาถึงจุดเสียหายมาก เพราะแต่ละฝ่ายปล่อยปละละเลย”

นายจตุพรเชื่อว่า หลังจากรัฐบาลแถลงนโยบายแล้ว กรณีสนามกอล์ฟอัลไพน์จะเป็นจุดสลบของนายกฯ และจะเป็นอื่นไม่ได้เลยเมื่อเทียบเคียงจะเข้าสู่เรื่องจริยธรรม จึงย่อมหลุดรอดยากมาก จะดิ้นมุมไหนก็ดิ้นไม่ออก สิ่งสำคัญอยากรู้เหมือนกันว่าคนมีหน้าที่จะทำกันอย่างไร

ส่วนทักษิณ พูดถึงเรื่องคดี ม.112 ก็บอกไม่รู้ว่าถูกนักข่าวเกาหลีใต้อัดบันทึกวิดีโอไว้ อีกอย่างยังกล้าการันตีเรื่องการรัฐประหาร ซึ่งจะเอาอะไรมาการันตี เมื่อตัวเองยังเอาตัวไม่รอด เพราะการยึดอำนาจที่ผ่านมาสองครั้งล้วนมาจากตัวเองเป็นสาเหตุทั้งสิ้น และครั้งนี้ถ้าจะมีรัฐประหารอีก ตัวเองก็จะเป็นสาเหตุอีกแน่

“เมื่อถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ต้องไปคิดเป็นอื่นว่าใครมีอำนาจตัวจริงในทางปฏิบัติ อยากให้ออกมาพูดให้มากขึ้นทุกวัน เราจะได้ดูน้ำยาของสังคมนี้เช่นกันว่า จะเอากันยังไง เพราะถ้อยคำพูดโชว์วิสัยทัศน์ เมื่อ 22 ส.ค. หลายคนบอกประเทศกำลังพลิกฟื้น แต่ถ้าพิจารณาให้ดีจะเห็นว่า บ้านเมืองกำลังเกิดวิกฤตรอบใหม่ คนมีสติสัมปชัญญะจะยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นไม่ได้ ดังนั้น การลุแก่อำนาจ เหิมเกริม ไม่รู้จักสถานะของตัวเองนั้น จะนำไปสู่หายนะกันอีกรอบหนึ่ง” นายจตุพรกล่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'คปท.' ชุมนุมหน้าทำเนียบฯ จ่อปักหลักยาว หาก 'ภูมิธรรม' ได้นั่งประธาน 'JTC'

ที่สะพานชมัยมรุเชฐ บริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล กลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) พร้อมรถเครื่อ