แจกสด1หมื่นเติมบัตรคนจน

สะพัด แจกเงินสดหมื่นบาทเข้าบัตรคนจน "จุลพันธ์" รับมีโอกาสเปลี่ยนแปลงรายละเอียด "ดิจิทัลวอลเล็ต" ด้าน "ภูมิธรรม" ยันเดินหน้าไม่ลดขนาดโครงการ "พิชัย" รอรัฐบาลใหม่สรุป "ฝ่ายค้าน" จี้ "นายกฯ อิ๊งค์" รีบแถลงนโยบายต่อสภา

เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม นายภูมิธรรม เวชยชัย  รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงโครงการดิจิทัลวอลเล็ตว่า จะเดินหน้าให้บรรลุวัตถุประสงค์  แต่จากการเปลี่ยนแปลงในขณะนี้อาจปรับให้เหมาะสมกับสถานการณ์และข้อวิพากษ์วิจารณ์  เพื่อให้ทุกคนสบายใจ โดยยังคงจุดมุ่งหมายเดิม คือเพิ่มกำลังซื้อของประชาชน ทำให้เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ และเกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนผลจะเป็นอย่างไร ต้องรอให้พรรคร่วมกับพรรครัฐบาล ซึ่งขณะนี้ยังไม่ชัดเจนว่าจะเป็นทีมเดิมหรือทีมใหม่นั้น ไปตกลงก่อนที่จะแถลงนโยบายต่อรัฐสภา

 “ความชัดเจนทั้งหมดจะมีหลังจากที่โปรดเกล้าฯ และถวายสัตย์ฯ เรียบร้อยแล้ว ซึ่งต้องดำเนินการภายใน 15 วัน หลังแถลงนโยบายต่อสภาทั้งหมด ยืนยันว่าจะทำให้ตรงตามวัตถุประสงค์อย่างครบถ้วน ไม่ลดขนาดโครงการ แต่จะทำอย่างไรขอให้ฟังเรา” นายภูมิธรรมกล่าว

นายภูมิธรรมกล่าวว่า หลังจากนี้รัฐบาลก็เริ่มนับหนึ่งในดำเนินการตามนโยบายที่กำหนดไว้  โดยจะรักษาสัญญากับประชาชน อะไรที่ทำได้จะทำเต็มที่ พรรคเพื่อไทยตัดสินใจอย่างไร ไม่เคยทิ้ง ส่วนจะมีมาตรการเสริมอื่นๆ ในการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือไม่นั้น เป็นหน้าที่อยู่แล้ว โดยจะต้องไปดูรายละเอียดเพื่อให้ประชาชนพอใจ

ด้านนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี  และ รมว.การคลัง กล่าวว่า ให้รัฐบาลใหม่ที่กำลังจัดตั้งสรุปรายละเอียดอีกที ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่าจะมีการเปลี่ยนวิธีการแจกเป็นเงินสดแทนนั้น อยากให้รอดูความชัดเจนอีกทีว่าจะเป็นเส้นทางไหนจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด และต้องเป็นไปตามกฎหมายด้วย

นายพิชัยกล่าวอีกว่า ส่วนตัวเห็นว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตจะนำมาซึ่งดิจิทัลแพลตฟอร์มทั้งหลาย ถือเป็นสิ่งจำเป็นของระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ ดังนั้นเมื่อเป็นสมัยใหม่ การที่รัฐบาลจะทำเรื่องนี้ผลประโยชน์สำคัญที่ได้ไม่เพียงแค่กระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ดิจิทัลแพลตฟอร์มยังเป็นเส้นทางที่จะเชื่อมต่อระหว่างประชาชนกับรัฐบาล ตรงนี้เป็นอีกประโยชน์ที่เห็นได้อย่างชัดเจน

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.การคลัง กล่าวถึงกระแสข่าวจะแจกเงินดิจิทัลให้กับกลุ่มเปราะบางที่ลงทะเบียนไว้ก่อนเป็นอันดับแรก วงเงิน 122,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 เพิ่มเติม และเป็นการแจกเงินสด ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือบัตรคนจนในครั้งเดียว จำนวน 10,000 บาท ว่าขณะนี้ยังมีหลายแนวคิด แต่ยังไม่ขอตอบในรายละเอียด ยืนยันว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตยังสามารถเดินหน้าต่อไปได้ คณะรัฐมนตรีชุดนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี กำหนดรูปแบบไว้ ได้มีมติไปแล้ว และยังไม่มีคำสั่งเปลี่ยนแปลง จึงยังคงเดินหน้าต่อไปตามปกติก่อน แต่เมื่อมีรัฐบาลชุดใหม่ และได้แถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาแล้ว อาจจะมีการปรับเปลี่ยนได้

นายจุลพันธ์กล่าวอีกว่า การจัดตั้งรัฐบาลรวมถึงการแถลงนโยบายจะต้องเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้ทันกับกรอบงบประมาณปี 67 ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 30 ก.ย.นี้ ซึ่งตนก็ได้แจ้งกับนายกรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้ว และเชื่อว่าจะดำเนินการได้ทัน

เมื่อถามว่า งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมปี 67 จะใช้ได้ทันใช่หรือไม่ นายจุลพันธ์ระบุว่า เป็นไปตามกรอบของกฎหมายที่อนุมัติมา ถ้าใช้ไม่ทันก็พักไป เป็นไปตามกฎหมาย ดำเนินการอย่างอื่นไม่ได้

จ่อปรับแจกเงินสดแทน

ถามต่อว่า จะมีการเปลี่ยนไปแจกเงินสดหรือไม่นั้น นายจุลพันธ์กล่าวว่า มีโอกาสเปลี่ยนเป็นทุกอย่าง เราคิดแล้ว และมีการพูดคุยบ้างแล้ว แต่เมื่อยังไม่มีข้อตกลงออกมาจากพรรคร่วมรัฐบาล  ตนคงพูดมากกว่านี้ไม่ได้ แต่คาดว่าจะทราบเร็วๆ  นี้ และเชื่อว่าการแถลงนโยบายจะเกิดขึ้นในช่วงต้นเดือน ก.ย.นี้

นอกจากนี้ นายจุลพันธ์ยังกล่าวถึงความคืบหน้าการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ว่า ในวันที่ 22 ส.ค. จะมีการสงวนความเห็นของ สส. และจะมีการพิจารณาในส่วนของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ได้ขอจัดสรรงบประมาณในวันที่ 23 ส.ค. และสัปดาห์หน้าจะเป็นการทบทวนรายงานและลงมติรายมาตรา และเข้าใจว่าวันที่ 4-6 ก.ย.นี้ จะเข้าสู่การพิจารณาวาระ 2 และวาระ 3

นายจุลพันธ์กล่าวด้วยว่า ส่วนสาเหตุที่ต้องโยกงบชำระหนี้คืนมาเป็นงบกลางนั้น เป็นการเสนอจากส่วนงานมาเอง ในการปรับลดเพื่อโอนถ่ายภารกิจมายังโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เป็นสิ่งที่ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายทุกประการแน่นอน ส่วนหนึ่งเพราะเรารู้ว่ามีความจำเป็นต้องใช้เม็ดเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการนี้ จึงมีการขยับส่วนงบประมาณที่ไม่กระทบ ตามที่เคยถามกันไว้ว่า การบริหารงบประมาณจำนวนกว่า 122,000 ล้านบาทจะทำอย่างไร นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งในกลไกที่สามารถดำเนินการได้ตามกฎหมาย

มีรายงานว่า โครงการเติมเงิน 10,000 บาท  ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งเป็นนโยบายเรือธงของพรรคเพื่อไทยในสมัยรัฐบาลเศรษฐา แต่เมื่อมาถึงรัฐบาลของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร กลับมีกระแสข่าวจะล้มโครงการนั้น ภายหลังนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ให้สัมภาษณ์ว่ายังเดินหน้าต่อนั้น ซึ่งสอดคล้องกับที่นายจุลพันธ์ให้สัมภาษณ์ว่าดิจิทัลวอลเล็ตมีทางออกที่ดี แต่ขอยังไม่เปิดเผยรายละเอียด

โดยมีข่าวว่า การเดินหน้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตจะมีการปรับเงื่อนไข เบื้องต้นจะเป็นการแจกเงินให้กับกลุ่มเปราะบางที่ลงทะเบียนไว้ก่อนเป็นอันดับแรก ในวงเงิน 1.22 แสนล้านบาท ตามที่สภาเห็นชอบอนุมัติงบประมาณเพิ่มเติม 1.22 แสนล้าน มาใช้แจกเงินหมื่นดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งจะเป็นการแจกเงินสดผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐครั้งเดียวเลย 10,000 บาท โดยไม่สนใจว่าบัตรสวัสดิการฯ เป็นบัตรที่มาจากนโยบายของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งเป็นการเปลี่ยนจากการใช้เงินผ่านระบบดิจิทัล เป็นการเติมเงินสดลงไปในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อเป็นการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่ต้องการความช่วยเหลือจากภาครัฐก่อน

ขณะที่ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ในเรื่องเดียวกันว่า ต้องให้ ครม.ใหม่คอนเฟิร์มว่าจะเปลี่ยนเกณฑ์การแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตเป็นการเติมเงินสดลงในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐหรือไม่ ผ่านการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา แต่ทางออกทางนี้ก็เป็นทางออกที่เราได้มีการพูดกันมาสักพักหนึ่งแล้ว ในการที่จะต้องใช้เงินจากงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ 2567 ซึ่งไม่สามารถใช้ข้ามปีได้ ภายใน 30 ก.ย. ฉะนั้น ทางออกที่จะต้องแจกให้กับกลุ่มเปราะบางก่อน โดยใช้งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี 2567 คือการจ่ายเป็นเงินสดจะเป็นทางออกเดียวที่จะสามารถใช้งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมกับงบประมาณประจำปีบางส่วนได้ จึงเป็นเรื่องที่ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่รัฐบาลจะมีตัวเลือกนี้อยู่ในมือ  ซึ่งเป็นเรื่องที่เราพอคาดเดาได้

 “ตอนนี้ความไม่แน่นอนมีอยู่สูงมากสำหรับโครงการนี้ ซึ่งไม่ได้มีเฉพาะเรื่องของการแจกเงินสดให้กับกลุ่มเปราะบางเท่านั้น แต่วันนี้คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 กำลังจะมีการลงมติเพื่อเปลี่ยนแปลงงบประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาท เพื่อไปใส่ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต  โดยการที่จะไปตัดลดงบประมาณที่ใช้ชำระหนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร  (ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสิน เอ็กซิมแบงก์ และธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) หากยังจำกันได้เขาบอกว่าจะบริหารจัดการงบปี 68 อีก 1.32 แสนล้านบาท ก็จะมาจากตรงนี้ด้วย แม้จะยังไม่ครบตามจำนวน 1.32 แสนล้านบาท แต่เราก็ไม่เห็นด้วยที่จะไปตัดลดงบชำระหนี้ของธนาคารรัฐ  เพราะเงินจำนวนนี้เป็นเงินที่ต้องชำระหนี้วาระแรกตามมาตรา 28 ของ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง และเราก็ติดหนี้ธนาคารรัฐมาอย่างยาวนาน  บางโครงการก็ยังไม่มีการใช้หนี้ แต่มาวันนี้จะมีการปรับลดงบที่จะใช้ชำระหนี้" น.ส.ศิริกัญญา กล่าว

บี้ รบ.แถลงนโยบายให้ชัด

น.ส.ศิริกัญญากล่าวทิ้งท้ายว่า รีบแถลงนโยบายเพื่อให้ความไม่แน่นอนจบลง และตอนนี้มีข่าวลือเข้ามาเยอะว่าจะใช้งบประมาณทั้งปี 67 และปี 68 ทุกอย่างอยู่ในภาวะที่ชะงักงันไปหมด   เพราะยังไม่รู้ว่านโยบายใหม่ของรัฐบาลจะเป็นอย่างไร เดี๋ยวจะถอย เดี๋ยวจะเดินหน้า งงไปหมดแล้ว จึงขอให้รีบมาแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเพื่อให้เกิดความชัดเจน

นายวรภพ วิริยะโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวเสริมถึงกรณีการตัดลดงบชำระหนี้ธนาคารสุ่มเสี่ยงจะผิดกฎหมายหรือไม่ว่า  ตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง เมื่อรัฐบาลสั่งให้ธนาคารแห่งรัฐไปดำเนินนโยบายจนเสร็จสิ้นแล้ว จะต้องมีการตั้งชำระหนี้คืน ที่ผ่านมาทุกรัฐบาลก็ไม่ได้ดำเนินการอย่างเคร่งครัดตามเจตนารมณ์ แต่วันนี้อยู่ๆ จะมาเปลี่ยนแปลงจำนวน 30,000 กว่าล้านบาท เพื่อนำมาใส่ในงบกลาง ที่ยังไม่มีมติคณะรัฐมนตรีด้วยซ้ำ รวมถึงความชัดเจนและนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ จึงคิดว่ามีความเสี่ยงที่จะขัดต่อวินัยการเงินการคลัง และจะขอความเห็นใน กมธ.งบฯ วันนี้เพื่อความชัดเจน เพราะหากปล่อยไป อาจทำให้กฎหมายวินัยการเงินการคลังไม่มีความหมายอีกต่อไป

เมื่อถามว่า จะมีวิธีสกัดกั้นก่อนที่จะมีการโหวตหรือไม่ นายวรภพกล่าวว่า ตามสัดส่วนของ กมธ. คงยึดเสียงข้างมากเป็นหลัก หากมีการโหวตกัน เสียงข้างน้อยก็คงไม่ชนะ แต่ด้วยเพราะเราอยากรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย เราจึงไม่อยากปล่อยให้เกิดพฤติกรรมอย่างนี้ต่อไป

ผู้สื่อข่าวถามว่า หากมีมติเห็นชอบไปแล้วฝ่ายค้านจะมีการยื่นตรวจสอบหรือไม่ นายวรภพกล่าวว่า คงจะต้องหารือกันภายในพรรค เพราะเรื่องนี้เป็นหัวใจที่สำคัญ แต่เจตนาตนค่อนข้างไม่เห็นด้วย ทั้งนี้ เราไม่อยากให้การใช้อำนาจโดยเสียงข้างมากทำอะไรก็ได้ หรือตีความกฎหมายให้เป็นคุณกับรัฐบาลเอง และไม่สนใจการมีอยู่ของกฎหมายวินัยการเงินการคลัง

นายวรภพกล่าวด้วยว่า มีหลายเรื่องที่เราเคยเสนอไป เช่นเงื่อนไขที่อยากให้รายย่อยเข้ามาได้ประโยชน์มากที่สุด ซึ่งหากยังไม่มีการเปลี่ยนเงื่อนไขผลประโยชน์ทั้งหมดก็จะไปตกกับร้านค้าสะดวกซื้อ เจ้าสัวขนาดใหญ่ที่จะได้ประโยชน์   ขณะที่ร้านค้าขนาดย่อยก็จะเข้าร่วมโครงการน้อยกว่าที่ควรจะเป็น และอยากฝากว่าหากจะกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็ให้คำนึงถึงร้านค้ารายย่อย ไม่ใช่นึกถึงร้านค้าสะดวกซื้ออย่างเจ้าสัว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

คนขอนแก่นหนุนแจกเงินสด แทนดิจิทัลวอลเล็ต ไม่ต้องเขินทำตามลุงตู่

คนขอนแก่นเห็นด้วยรัฐบาล "อุ้งอิ้ง" แจกเงินสดกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมแนะจ่ายรายงวด เพราะขนาดคนถูกรางวัลที่ 1 ยังใช้เงินหมดและกลับมาจนเหมือนเดิม

'ภูมิธรรม' ทำหน้าที่แทนนายกฯ อิ๊งค์สั่งเร่งแก้ปัญหาน้ำท่วมภาคเหนือ

'ภูมิธรรม' ห่วงใย ปชช. ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมสูงในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือ สั่งการระดมช่วยเหลือ เร่งคลี่คลายสถานการณ์